เรื่องนี้เป็นเรื่องที่คุณเป้ได้รับฟังมาจากเพื่อนอีกที เพื่อนคุณเป้เล่าให้ฟังว่าเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว มีความจำเป็นที่จะต้องไปจังหวัดนครพนม ซึ่งไม่เคยขับรถไปมาก่อนเลย และโดยส่วนตัวแล้วเพื่อนของคุณเป้ไม่ชอบขับรถในตอนกลางวัน เพราะว่าอากาศมันร้อน และรถมันเยอะด้วย จึงตัดสินใจออกเดินทางตอนกลางคืน ไปธุระเรื่องงาน เดินทางไปคนเดียว เพื่ออถรรรสในการอ่านแอดมินจะขอแทนตัวแเพื่อนคุณเป้ว่า ผม นะครับ
วันนั้นช่วงเวลาประมาณ 1 ทุ่ม ผมขับรถออกจากกรุงเทพฯ ขับไปเรื่อยๆ ผ่านจังหวัดสระบุรี ไปเมืองพล เข้ามหาสารคาม จนไปถึงกาฬสินธุ์ ซึ่งผมจะต้องไปอำเภอคำชะอีจังหวัดมุกดาหาร และอาจจะเลยไปต่อที่นครพนม ซึ่งผมนั้นไม่ค่อยชำนาญเส้นทางนี้เท่าไร อาศัยดูป้ายนำทางเอา เพราะสมัยเมื่อสิบกว่าปีก่อนนั้นไม่มี GPS เหมือนสมัยนี้
เวลาประมาณเที่ยงคืน ตี 1 ผมขับไปเรื่อย ๆ จนไปถึงกาฬสินธุ์ จะมีทางแยกอยู่ทางหนึ่ง ซึ่งถ้าตรงไปจะไปสกลนคร แต่ถ้าเลี้ยวขวาจะไปมุกดาหารได้ สมัยนั้นเป็นทาง 2 เลน และเปลี่ยวมาก ผมเลี้ยวไปทางขวา เส้นที่บอกว่าจะไปมุกดาหาร ขับไปได้ประมาณ 10 กิโลเมตร ก็มีความรู้สึกว่าเส้นทางนั้นมืดสนิทไม่มีไฟแม้แต่ดวงเดียว แม้บ้านคนสักหลังก็ไม่มี
แต่ผมยังคงขับไปเรื่อยๆ โดยส่วนตัวแล้วผมไม่ค่อยกลัวเรื่องพวกผีสางนางไม้สักเท่าไหร่ เพราะว่าไม่เคยเจอ และโดยสัญชาตญาณคนเวลาขับรถในตอนกลางคืน เมื่อไม่มีรถสวนมา จะต้องเปิดไฟสูง เพื่อจะดูเส้นทางข้างหน้าว่ามีโค้งหรืออะไรหรือป่าว
ระหว่างที่ขับรถไปอยู่นั้น ก็สังเกตเห็นบางสิ่งบางอย่าง อยู่ไกล ๆ ของถนนอีกเลนนึง ก็คือเลนขวานั่นแหละ แต่ว่าไม่ชัดมาก จึงค่อยๆชะลอลดลงเล็กน้อย แล้วก็ขับต่อไป พอขับเข้าไปใกล้เรื่อยๆ ก็เห็นว่ามีรถมอเตอร์ไซค์คันนึงล้มอยู่ ที่ริมทางของถนนอีกเลนนึง แล้วก็มีร่างของผู้หญิงคนหนึ่งนอนอยู่ริมถนนข้าง ๆ มอเตอร์ไซต์ ในใจตอนนั้นก็คิดว่า อะไรวะ!! สองจิตสองใจ ว่าเป็นคนเจ็บจริง ๆ หรือเป็นโจรกันแน่ แต่พอมองไปที่ร่างผู้หญิงคนนี้ดีๆ ก็สังเกตเห็นว่ามีเลือดไหลอยู่เต็มหน้าของผู้หญิงคนนั้นเลย
จังหวะที่กำลังขับเลยไปนิดนึง แต่คิดยังไงก็ไม่รู้ ตัดสินใจจอดรถ เพราะคิดว่าที่เห็นอยู่นั้นไม่น่าจะเป็นโจรหรือนกต่อ แต่น่าจะเป็นชาวบ้านแถวนั้นขับรถมาแล้วประสบอุบัติเหตุจริงๆ มากกว่า ผมจึงถอยหลังรถมาเทียบใกล้ ๆ ผู้หญิงคนนั้น แล้วก็เปิดไฟฉุกเฉิน แล้วเปิดประตูลงมาดู ว่าอาการเขาเป็นอย่างไรบ้าง พอลงมาถึง ผมก็ถามเขาว่า คุณ ๆ แล้วผู้หญิงคนนั้นก็ร้อง โอ๊ย!! ขึ้นมา ผมจึงไปจับตัวผู้หญิงคนนั้นแล้วถามว่าเป็นอะไรบ้างไหม ซึ่ง ณ ตอนนั้นผมยังอยู่ในอาการตกใจอยู่ด้วย ว่าจะทำยังไงดี โทรศัพท์ก็ไม่มี
ผมถามผู้หญิงคนนั้นต่อว่า คุณ ๆ เป็นไรมากไหม ผู้หญิงคนนั้นก็ตอบกลับมาว่า พี่… ช่วยพาหนูไปโรงพยาบาลที หนูเจ็บ… ผมยืนคิดอยู่พักนึง พร้อมมองไปที่ถนน ตอนนั้นเป็นเวลา น่าจะประมาณ ตี 2 เห็นจะได้ ไม่มีรถผ่านมาแม้แต่คันเดียว จึงบอกกับผู้หญิงว่า เออ..คุณ พอดีผมไม่รู้ทาง ไม่รู้ว่าโรงพยาบาลไปทางไหน พอบอกทางได้ไหม เดี๋ยวผมพาไป ผู้หญิงคนนั้นก็พยักหน้า แล้วเพื่อนคุณเป้ก็เปิดประตูหลังและอุ้มผู้หญิงคนนี้ไปนอนในรถ ที่เบาะะหลัง ส่วนรถมอเตอร์ไซค์ก็ปล่อยไว้ข้างทางอย่างนั้น แล้วเสร็จแล้วก็ออกรถ
ระหว่างที่ขับรถไปอยู่นั้น ผมก็คอยถามอาการของผู้หญิงคนนั้นตลอดว่า คุณไหวไหม คุณโอเคไหม ผู้หญิงคนนั้นก็บอกว่า หนูยังไหวอยู่พี่…
ผมพยายามถามอาการของผู้หญิงคนนั้นตลอดเวลา ขับไปได้สักประมาณ 5 กิโลเมตรกว่าๆ ผู้หญิงคนนี้ก็บอกว่า พี่…ข้างหน้ามันจะมีทางเลี้ยวขวา พี่เลี้ยวไปทางนั้นมันจะลัดตัดไปถึงโรงพยาบาลเลย แต่ถ้าขับไปทางหลัก พี่จะต้องขับไปอีกไกลหลายกิโลมาก เมื่อผมได้ยินดังนั้น เลยเลี้ยวไปตามทางที่ผู้หญิงคนนั้นบอก
ตอนนั้นเวลา ตี 3 ทางที่ผู้หญิงคนนั้นบอกเป็นทางลูกรัง ขับตรงไปเรื่อยๆ พอเธอบอกให้เลี้ยวซ้าย ผมก็เลี้ยว พอบอกให้เลี้ยวขวาผมก็เลี้ยวตาม แต่ตอนนั้นเอะใจอยู่อย่างหนึ่งว่า ทำไมยิ่งขับไปเรื่อย ๆ ทางมันยิ่งแคบลง ถนนยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ ผมจึงถามผู้หญิงคนนั้นว่า คุณ ๆ บอกทางผมผิดหรือเปล่า ทำไมทางมันเริ่มแคบลงเรื่อยๆ แต่กลับไม่มีเสียงตอบกลับมา เรียกครั้งที่ 2 ก็ยังเงียบอยู่ จนผมหันไปดู ปรากฏว่าผู้หญิงคนนั้นหายไปแล้ว
เมื่อผมไม่เห็นว่าผู้หญิงคนนั้นอยู่ที่เบาะหลังแล้ว จึงจอดรถทันที ในใจก็คิดว่าหายไปได้ยังไงวะ ซึ่งตอนนั้นยังไม่ได้คิดถึงเรื่องผีสางนางไม้อะไร คิดแต่ว่าเธอเปิดประตูลงจากรถไปตอนไหน หรือกระโดดลงไปหรือเปล่า แต่ก็นึกขึ้นได้ว่า ถ้ามีคนเปิดประตูลงจากรถจริงๆ ไฟในเก๋งมันต้องติดสิ
ผมเริ่มคิดว่าเหตุการณ์นี้มันไม่ปกติแล้ว จะทำอย่างไรดี จะไปต่อก็ไม่กล้าไป จึงตัดสินใจถอยรถกลับไปเส้นทางเดิม โชคดีที่ยังจำทางที่เข้ามาได้
ผมขับรถออกมาเรื่อย ๆ ในใจก็เริ่มมีความกลัวขึ้นมาบ้างแล้ว จนระแวงไปหมด ออกมาจนถึงถนนใหญ่ ผมก็จอดรถคิดว่าจะเอายังไงต่อดี จนตัดสินใจว่าจะขับรถย้อนกลับไปทางกาฬสินธุ์ เพื่อหาปั๊มแวะนอนก่อน แล้วพรุ่งนี้ค่อยเดินทางต่อ
ผมขับรถกลับมาทางเดิมได้แค่ไม่กี่กิโลเมตร ในใจก็กำลังคิดไปด้วยกว่าตัวเองกำลังเจอกับอะไรอยู่ ซึ่งเส้นทางที่กลับมานั้นก็เป็นเส้นทางเดิมที่เจอรถจักรยานยนต์ของผู้หญิงคนนั้นประสบอุบัติเหตุ ขับมาได้ประมาณ 3-4 กม. ไฟหน้าก็ส่องไปเห็น มอเตอร์ไซค์สีแดงคันเดิม กับผู้หญิงคนเดิมนอนขวางอยู่กลางถนน ผมจำไม่ผิดแน่ ๆ ตอนนั้นผมขนลุกไปทั้งตัว ค่อยๆชะลอรถ คิดว่าจะเอายังไงต่อดี จนตัดสินใจว่าเป็นไงเป็นกันวะ ขับเหยียบไปเลยแล้วกัน
พอขับเข้าไปใกล้เรื่อย ๆ ผู้หญิงคนนั้นเธอกลับนอนหงายแล้วหันหน้ามามองมาที่ผม ผมคิดในใจว่าเอาวะ เป็นไงเป็นกัน ถ้าเป็นคนก็เหยียบให้มันตายไปเลย ผมเหยียบคันเร่งเต็มแรงเท้า ผ่านร่างผู้หญิงคนนั้นไป จังหวะนั้นผมรู้สึกได้ว่ารถมันกะดกขึ้นมา เหมือนเหยียบทับอะไรสักอย่าง ทำให้ผมเริ่มสับสน ว่าตกลงแล้วมันเป็นคน หรือผีกันแน่ แต่ถ้ามันเป็นคน มันไม่มีทางกลับมานอนที่จุดเดิมในระยะเวลาที่เร็วขนาดนี้ได้ แต่ผมก็ไม่สนใจอะไรแล้ว ไม่หันกลับไปมอง รีบขับรถกลับเข้ากาฬสินธุ์โดยแล้ว
เวลาประมาณตี 4 ตี 5 ด้วยความระแวง ผมขับรถไปก็มองกระจกซ้าย กระจกขวา กระจกหลังไปด้วย แต่เส้นทางนั้นมันมืดจนมองอะไรไม่เห็น สองข้างทางมีแต่ป่า จังหวะที่กำลังขับ ๆ อยู่ มองไปมองมา ก็เห็นมีดวงไฟสีแดงตามมาข้างหลัง ผมก็มองว่ามันคือไฟอะไร ขับไปเรื่อยๆ ดวงไฟสีแดงนั้นก็เริ่มสว่างลอยเข้ามาใกล้เลยเรื่อยๆ ตอนแรกผมก็คิดว่าเป็นรถมอเตอร์ไซค์ขี่ตามหลังมา
แต่พอไฟเข้ามาใกล้จนจี้ท้ายรถของผม อยู่ ๆ มันก็แซงขวาขึ้นมา จังหวะนั้นผมมองไม่ค่อยถนัดเท่าไร แต่พอมอเตอร์ไซค์ตบซ้ายเข้ามาอยู่หน้ารถผม ก็เห็นว่าเป็นผู้หญิงคนเดิมขับมอเตอร์ไซค์มาอยู่ด้านหน้า และที่น่ากลัวจนทำให้ผมแทบช็อคก็คือ หัวของผู้หญิงคนนั้นมันพลิกหันกลับมาทางด้านหลัง แล้วจ้องมองมาที่ผมตาเขม่ง พร้อมกับขับรถอยู่ด้านหน้าในระยะที่ไม่ห่างกันมาก
แต่ตอนนั้นผมจากที่กลัวสุดขีดก็เริ่มที่จะประคองสติได้บ้างแล้ว แล้วตะโกนออกไปว่า ถ้ามึงไม่หลบไปนะ เดี๋ยวมึงไปตายรอบสอง แล้วผมก็เร่งเครื่องเหยียบใส่เลย แต่จังหวะที่ผมกำลังเหยียบรถพุ่งใส่ มอเตอร์ไซค์คันข้างหน้าก็รีบบิดหนีหายก็ไปในความมืดเลย
ผมยังคงสับสนงงกับเหตุการณ์ที่เจอ พยายามขับไปให้ถึงทางแยกที่เลี้ยวมาให้ไวที่สุด ขับไปก็สวดมนต์ไปด้วย ด่าไปด้วย เหมือนคนกำลังจะสติแตก ภาวนาว่าอย่าให้เจออะไรอีกเลย
ขับรถไปจนถึงแยกนั้น ก็เริ่มเห็นแสงไฟข้างถนน จนไปเจอปั๊มปั้มหนึ่ง จึงตัดสินใจเลี้ยวเข้าไปจอดรถอยู่ในปั๊ม แล้วก็นั่งรอจนถึงเช้า เพราะว่านอนไม่หลับ
พอท้องฟ้าเริ่มสาง ก็ออกไปหากาแฟหาอะไรกิน งานเงินไม่สนแล้ว ไม่ทำอะไรทั้งนั้น เดินทางกลับกรุงเทพททันที จนไม่ได้ถามประวัติความเป็นมาของผู้หญิงคนนั้น
กลับมาถึงบ้านก็ได้เล่าเรื่องที่เจอให้แม่ฟัง แม่ก็แนะนำว่าให้ไปทำบุญ แต่ผมนั้นไม่สนใจ ไม่ไปทำบุญเด็ดขาด สาเหตุที่ไม่ไปทำบุญนั้น เพราะผมคิดว่า อยู่ดีๆก็มาหลอกกัน ถ้าเกิดประคองสติไม่ได้ แล้วเกิดขับรถลงข้างทางจนเกิดอุบัติเหตุ แล้วจะทำอย่างไร อย่างนี้มันมาแกล้งกันชัดๆ ถ้าจะมาขอส่วนบุญไม่มีทางทำให้เด็ดขาด แถมยังจะแช่งไม่ผุดให้เกิดด้วย แต่ถ้ามาดีๆก็ว่าว่าไปอย่าง ….
ที่มาเดอะช็อคคุณ เป้ สมุย
ติดตามอ่านเรื่องเล่าผีต่อได้ที่ คลังหลอน