ต่อไปนี้เป็นเรื่องราวประสบการณ์ขนหัวลุกของแม่ ในทุกๆครั้งที่แม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้เราและน้องสาวฟัง ทำให้เราเองและน้องสาวไม่กล้าที่จะนอนคนเดียวในช่วงเวลาตอนกลางคืน (ทุกวันนี้ยังไม่กล้านอนคนเดียว กลัวเกิ๊นน..)
เรื่องราวเกิดขึ้นที่บ้านพักราชการแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ ถ้าย้อนไปในสมัยก่อนก็ผ่านมาประมาณ 25 ปีได้ ซึ่งตอนนั้นเราอายุได้ราวๆ 1 ขวบเศษๆ และมีน้องสาวอีกหนึ่งคนที่อายุไม่กี่เดือน (พี่น้อง ห่างกันหัวปี ท้ายปีเท่านั้น)
เราขอเล่าลักษณะของบ้านราชการก่อนน่ะ บ้านราชการจะเป็นบ้านที่เรียงยาวติดกัน มีเพียงพนังห้องที่กั้นเอาไว้เท่านั้น ซึ่งมีทั้งหมด 8 ห้อง ต่อ 1 ตึกแถว ซึ่งเรียกว่าบ้านพักห้องแถว แต่ในหน่วยงานราชการมีบ้านหลากหลายชนิดมีแบบตึกแถว ที่ได้อธิบายได้ข้างต้น มีแบบบ้านฝาแฝด และแบบบ้านเดี่ยว ซึ่งบ้านแต่ละแบบนั้นเราไม่มีสิทธิที่จะเลือกได้เอง เพราะบ้านแต่ละบ้านขึ้นอยู่กับตำแหน่งและหน้าที่การงาน ในแต่ระดับชั้น ซึ่งพ่อเป็นเพียงตำแหน่งลูกจ้างประจำ ทำงานฝ่ายส่วนรักษาความปลอดภัย หรือเรียกง่ายๆ ว่า หัวหน้า รปภ. นั้นเอง จึงได้บ้านพักห้องแถว
พ่อของเราจะทำงานรักษาความปลอดภัย ทำงานแบบเป็น กะ ในแต่ละวัน จะมี 2 กะ (กะเช้าช่วงเวลา 08.00 – 20.00 น. และกะช่วงเย็น 20.00 – 08.00 น.) แล้วพ่อของเราจะมีหน้าที่เป็นคนทำตารางการทำงานจัดเวรให้กับลูกน้อง ซึ่งมีลูกน้องทั้งหมด 12 คน จะมีการสับเปลี่ยนกะการเข้าเวร วนเวียนกันไป ซึ่งแต่ละวัน จะมีการเฝ้าจุด 2 จุดใหญ่ จุดที่ 1 ประตูทางเข้าหน่วยงานราชการ และส่วนบนอ่างเก็บน้ำเป็นจุดที่ 2
………ช่วงหัวค่ำ คืนนั้น………
“จันทร์เจ้าเอ๋ย ขอข้าวขอแกง
ขอแหวนทองแดง ผูกมือน้องข้า
ขอช้างขอม้าให้น้องข้าขี่ ขอเก้าอี้ให้น้องข้านั่ง
ขอเตียงตั่งให้น้องข้านอน ขอละครให้น้องข้าดู
ขอยายชูเลี้ยงน้องข้าเถิด ขอยายเกิดเลี้ยงตัวข้าเอง”
ทุกๆคืน หลังจากที่แม่จับเราและน้องสาว รวมถึงตัวของแม่เองทำธุระส่วนตัวเรียบร้อยทั้ง กินข้าว อาบน้ำ แม่จะนอนกล่อมเพลงให้เราและน้องสาวฟัง ในคืนนั้นเองพ่อไม่ได้นอนที่บ้าน ซึ่งเป็นช่วงที่พ่อจะต้องเข้าเวรกะเย็น ช่วงเวลา 20.00 – 08.00 น.
ในตอนนั้นถึงแม้ว่า บ้านพักบ้านห้องแถวนั้นจะมี 2 ชั้น แม่เลยไม่ได้ขึ้นไปนอนชั้น 2 หรอก เพราะว่าช่วงนั้นเป็นช่วงฤดูร้อน แม่ก็เลยตัดสินใจมานอนชั้นล่าง ปูที่นอน กางมุ้ง (กลางตัวบ้าน) นอนด้วยกัน 3 คน แม่ลูก ในห้องมีเพียง ทีวี1เครื่อง พัดลม1ตัว ห้องไม่กว้างมาก
ขอเล่าตัวบ้านก่อนนะ ชั้นล่างนั้นจะมีลักษณะ สี่เหลี่ยมพื้นผ้ายาวเข้าไป โดยมีประตูกั้นกลางบ้านอีก 1 บาน ส่วนด้านหน้าจะเป็นห้องโล่งๆ และมีห้องน้ำในตัว(ห้องน้ำเล็กๆ) และส่วนด้านหลังจะเป็นส่วนห้องหลังบ้านเอาไว้เปลี่ยนเสื้อผ้าแต่งตัว มีตู้เสื้อผ้า ตู้เย็น ตู้กระจก ปิดท้ายด้วยประตูกั้นอีก 1 บาน เมื่อเปิดประตูเดินออกหลังบ้านก็จะเป็นส่วนพื้นที่โล่งๆ เอาไว้ตากผ้า (มองยาวด้าน ซ้าย ขวา ก็เห็นราวตากผ้าของเพื่อนบ้านได้สบายๆ) มีเตาแก๊สเอาไว้ทำกับข้าวกับปลา กับเครื่องซักผ้าเก่าๆ
ตกกลางดึก……..แม่ไม่รู้ว่าช่วงนั้นกี่โมงแล้ว มีบางอย่างทำให้แม่ต้องสะดุ้งตื่น เสียงของหน้าต่าง หน้าบ้านค่อยๆ เปิดออก “แอ๊ดดดดดดดดดดดดดดดดด…” ลากยาวช้าๆ
ในใจแม่ก็คิดว่า คงจะเป็นลมพัดทำให้หน้าต่างเปิดออก ซึ่งแม่ก็ไม่ได้สนใจอะไร กำลังจะนอนต่อ พอได้ที่เคลิ้มๆ กำลังจะหลับตา เหลือบไปเห็นเราคลานอยู่นอกมุ้ง ตรงประตูที่กั้นกลางห้องเอาไว้
แม่จำได้ว่าแม่ปิดประตูกลางห้องเอาไว้แล้ว แต่พอสะดุ้งตื่น เห็นเราคลานไปอยู่ส่วนท้ายบ้านได้ไง แม่ก็พยายามเรียกเราให้กลับมานอน “บี มานอนนี่มา ไปทำอะไรตรงนู้น มาเร็ว” ซึ่งตัวเราก็ไม่ยอมคลานมาหาแม่ แม่ก็เริ่มสังเกตเห็นเราทำท่าแปลกๆ
เรามัวแต่มองไปที่หน้าต่าง หน้าบ้านแล้วก็หลบอยู่หลังกำแพง แล้วก็โผล่หน้าจากหลังทางประตูส่วนกลางบ้าน ทำอยู่แบบนั้น แม่ก็เลยออกจากมุ้ง พร้อมคำบ่น “พุ๊บๆ โพล่ๆ อยู่ได้น่ารำคาญ…ดึกแล้วเล่นอยู่นั้นหละ” แม่ก็อุ้มเราให้กลับเข้าไปนอนในมุ้งเหมือนเดิม ตอนนั้นแม่ก็หลับต่อ….ได้ไม่นาน แม่ได้ยินเสียงประตูหน้าบ้านเปิด เลยทำให้แม่ตื่นขึ้นมาแบบมึนๆ เห็นเงาลักษณะเหมือนพ่อเดินผ่านนอกมุ่งไปยังท้ายบ้าน
ตอนนั้นแม่คิดว่าพ่อกลับมาที่บ้าน คงเดินไปท้ายบ้านหาอะไรกินหรือเปล่า เลยถามว่า “อ่าว…ตัวเองกลับมาแล้วหรอ มาหาอะไรกินหรอ?” ตอนนั้นแม่ก็นอนอยู่ในมุ่งนั้นหละนะคะ แต่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับ แม่ก็เริ่มโมโห ถามพ่ออีก ขอเป็นภาษาพ่อขุนรามคำแหงนะคะ “เอ้า……เป็นเฮียอะไร กูถามก็ไม่ตอบ” (แม่เราเป็นคนอารมณ์ร้อนนิดนึ่ง) ก็ไร้เสียงตอบกลับอีก แม่โมโห เลยไม่ได้ถามพ่อต่อเพราะรำคาญ แม่ก็กะว่าจะนอนต่อ หลับตา เคลิ้มๆ ตอนที่กำลังหลับ จู่ๆ แม่มีความรู้สึกได้ว่าเหมือนที่มุ้งตรงปลายเท้า มันขยับ
แม่เลยลืมตาขึ้นมา มองไปตรงที่ปลายท้าย แม่เปิดตาโตเพราะตกใจ นอนนิ่งขยับตัวไม่ได้ จะลุกหนีก็ไม่ได้ ตอนที่แม่เล่าให้ฟังตอนนั้นแม่บอกว่า ร่างกายมันเป็นเพราะตกใจเกินเหตุ หรืออะไรก็ตามทำอะไรไม่ได้เลย ได้แต่มองที่ปลายมุ้งอย่างเดียว
แม่บอกว่าตอนนั้นแม่กลัวมาก เพราะสิ่งที่แม่เห็นอยู่ตรงปายเท้านอกมุ้ง เป็นเงารูปร่างคนสีดำทมึนยืนอยู่ปลายเท้า จ้องมองมาหาแม่…ครู่หนึ่ง แม่รู้เลยว่าเงาที่เห็นไม่ใช่พ่อแน่นอน ต้องเป็นอะไรที่น่ากลัวกว่านั้น
เงาสีดำทมึนที่แม่เห็น ค่อยๆนั่งลง เงามือข้างหนึ่งก็เปิดมุ้งเพื่อจะเข้ามาหาตัวแม่อย่างช้าๆ แม่รีบหลับตา คิดในใจท่อง นโม 3 จบ (บทสวดพระรัตนตรัย)
อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา
พุทธัง ภควันตัง อะภิวาเทมิ
สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม,
ธัมมัง นะนัสสามิ
สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสัโฆ
สังฆัง นะมามิ.
แม่รู้สึกได้ว่า เงานั้นเริ่มค่อยๆ คลานมาเรื่อยๆจนมานั่งคล่อมตรงกลางตัว ความรู้สึกของแม่ในตอนนั้น คิดอะไรไม่ออกเลย กลัวสุดขีด ท่องบทสวดถูกๆผิดๆ วนไปวนมา คิดบทสวดอะไรได้ก็ท่องมั่วๆไป ในใจก็คิดว่ามันคืออะไร กูไปทำอะไรให้ ผีตัวไหนมาหากูวะ
แม่เรา สูดหายใจเข้าลึกๆเพื่อสงบสติอารมณ์ครู่หนึ่ง…คิดในใจ เป็นไงเป็นกันวะ กลั้นใจลืมตา สิ่งที่แม่เห็นอยู่ตอนนั้นคือ แม่เราสบตาเข้ากับผีเต็มๆ ดวงตา2ดวง ที่ไม่เห็นรูปร่างแม้แต่ใบหน้ามีแต่เงาสีดำที่เหมือนรูปร่างคน รู้แค่ว่าคือเงาผู้ชาย แต่ที่แม่จำได้แม่น คือตา2ดวง ลักษณะเหมือนตาของคนเลยค่ะ นัยน์ตาสีดำ ส่วนด้านนอกนัยน์ตาก็เป็นสีขาว นั่งกลางตัวของแม่ แล้วก็จ้องมองมาที่แม่อยู่อย่างงั้น
พอแม่เริ่มได้สติ ตอนนั้นแม่ไม่กงไม่กลัวอะไรแล้ว แม่โมโหมาก 2 ใช้ฝ่าตีนของแม่ ถีบผีที่เข้ากลางลำตัวสุดแรงเกิด เงาสีดำลอยทะลุผ่านออกนอกมุ้ง หายเข้าไปในกำแพงบ้านไปเลย
เราก็ถามแม่น่ะคะด้วยความสงสัยว่า “เอ้าแม่ แล้วผีทะลุผ่านเข้ากำแพงอีกบ้านหนึ่ง แล้วป้า (นามสมมุติน่ะคะ) ป้าหน่องเขาก็ต้องเจอผีอะดิ” แม่ก็บอกว่ากับเรา “ช่างหัวมันสิ ตอนนั้นใครจะไปสนใจล่ะ?”
แม่จำได้ว่า ตอนเด็กๆเคยได้ยินจากผู้ใหญ่เล่าให้ฟังว่า ถ้าใครเจอผีมาหลอก ให้สาปแช่ง ไม่ต้องให้ผุดให้เกิดกันเลย แล้วผีก็จะกลัวไปเอง (แม่เล่าไปก็โมโหไป ให้เราสาปแช่งไปเลยถ้าเจอผี … อย่าทำแบบนั้นเลยนะคะ บาป TT)
ตอนที่แม่โมโหอยู่ จู่ๆก็คิดได้ว่าต้องเป็น ลุงดาแน่ๆเลย ลุงดาเขาเป็นโรคแอดส์ตาย ซึ่งก็มีลูกสาวฝาแฝด2คน และภรรยา ลูกสาวฝาแฝดก็อายุไล่เลี่ยกันกับเรา ก็เป็นเพื่อนเล่นในกลุ่ม มีเราและน้องสาว รวมกัน แก๊ง4คน แก๊งเริ่มตั้งไข่ หัดเดิน
ลุงดาทำงานหน่วยงานเดียวกับแม่แต่อยู่คนละฝ่าย ซึ่งก็นอนที่บ้านพักราชการที่เป็นตึกแถวเหมือนกัน แต่อยู่อีกตึกหนึ่งซึ่งไม่ห่างกันมาก แม่บอกว่าตอนที่ลุงดาเสียชีวิตได้ไม่ได้ ประมาณสัก 2 อาทิตย์ ภรรยาของลุงดาก็เริ่มเข้าไปจีบ รปภ. คนหนึ่ง ชื่อว่า อาเบียร์ เป็นผู้ชายรูปร่างตัวใหญ่ สูง หุ่นดี แต่อาเบียร์ไม่เอาภรรยาของลุงดา เพราะกลัวว่าจะติดโรคแอดส์ ตกกลางคืนคืนหนึ่ง ภรรยาของลุงดาคิดอะไรไม่รู้ จู่ๆคืนนั้นได้ปีนเข้าหน้าตา เข้าไปหาอาเบียร์ถึงที่ห้อง (คงไม่ต้องคิดนะว่าอะไรจะเกิดขึ้น )
ช่วงเวลานั้นเป็นที่ฮือฮาของพวกพนักงานด้วยกัน คุยกันสนุกปากเลย พอแม่ได้คิดถึงเหตุการณ์นี้เลยแม่นใจว่าต้องเป็นลุงดาที่มาหาแม่แน่ๆ เพราะลุงดาเป็นคนที่หึงภรรยามาก และหวงลูกสาวฝาแฝดทั้ง 2 คน
ลุงดาคงคิดว่าแม่ต้องเป็นแม่สื่อเพื่อให้ภรรยาของลุงดา เพื่อได้ครองรักกับอาเบียร์ ก็อย่างที่รู้ๆ แม่กับภรรยาของลุงดาสนิทกัน เพราะเรา น้องสาวเรา และฝาแฝด2คน เป็นเพื่อนเล่นกัน แต่แม่ยืนยันว่า แม่ไม่รู้เรื่องเลยว่า ภรรยาของลุงดากำลังจะจับอาเบียร์มาเป็นสามีคนใหม่ นี่ก็เพิ่งจะรู้ข่าวพร้อมๆกับคนอื่นว่า ภรรยาของลุงดาปีนหน้าต่างไปหาอาเบียร์
แม่เลยพูดขึ้น ลอยๆ เผื่อลุงดาจะยังอยู่ใกล้ๆ ว่า “ไอ่ดา กูไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรด้วยเลยน่ะ กูไม่ได้จะช่วยให้2คนนั้นได้คบกัน เมียของปีนขึ้นหน้าตาไปหาไอ่เบียร์เอง กูพูดจริง อย่ามายุ่งกันเลย ขอให้ไปสู่สุคติน่ะไอ่ดา” ตั้งแต่เหตุการณ์คืนนั้นผ่านไป แม่ก็ไม่เคยเจอเงาสีดำอีกเลย
ที่มาสมาชิกหมายเลข 1432893
ติดตามอ่านเรื่องเล่าผีต่อได้ที่ คลังหลอน