ย้อนกลับไปประมาณปี 2540 เหตุเกิด ณ รีสอร์ทแห่งหนึ่ง ในอำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นช่วงปลายปีกำลังจะเข้าปีใหม่ ผมทำงานในรีสอร์ทแห่งนั้น ซึ่งลักษณะรีสอร์ท เป็นบ้านไม้เรือนไทยเก่า ทั้งรีสอร์ทจะติดไฟแสงเหลือง แบบเก่าๆ ช่วงไม่มีลูกค้า จะเปิดเป็นจุดๆ ไม่เปิดให้สว่างทั้งรีสอร์ท ดูแล้วก็ขลังดี ผมพักที่รีสอร์ทนี้ด้วย ช่วงเวลากลางคืน จะเงียบมาก เงียบกระทั่งพื้นไม้ลั่นไกลๆยังได้ยิน ผมชอบจะถามแม่บ้าน กับยามที่นี่ ว่าเคยเจอผีหรือเปล่า เค้าก็จะยิ้มๆ ไม่ตอบอะไร….เวลาผ่านไป ประมาณ 3 ปี ที่ทำงานอยู่ที่นี่ ก็ไม่เคยเห็นผี ไม่เคยเจออะไรแปลกๆแม้แต่นิดเดียว จนกระทั่งวันหนึ่ง…
มีโทรศัพท์จาก กทม. เป็นเสียงจากเพื่อนรัก อยากมาเที่ยวหา ช่วงนั้นก็ตรงกับวันปีใหม่พอดี เราก็บอกว่าไม่มีห้องพัก เต็มหมดแล้ว เจ้าเพื่อนก็จะมาให้ได้ บอกกับเราว่านอนไหนก็ได้ ไม่เป็นไร จะไปกับแฟน 2 คน เราก็ทนรบเร้าไม่ไหว ก็ตอบตกลงไป
ปีใหม่ที่เขาค้อ ที่พักส่วนใหญ่จะเต็มหมด ซึ่งที่นี่ก็ไม่เว้น เมื่อเพื่อนกับแฟนมาถึงเขาค้อ ประมาณสองทุ่ม เราก็ยังยุ่งๆอยู่ ยังไม่ได้พาเข้าที่พัก ปีใหม่ ลูกค้าเยอะมาก แม้กระทั่งห้องที่เรานอนอยู่ก็ยังปล่อยให้ลูกค้าเข้าพัก เพื่อนก็นั่งเล่น เดินเล่นแถวๆร้านอาหาร จนกระทั่งลูกค้าเข้าที่พักหมด เราก็พาเพื่อนเข้าที่พัก ซึ่งพักที่เดียวกับผม
ห้องที่เราพากันเข้าไปพัก เป็นเรือนพิพิธภัณฑ์ ซึ่งลักษณะจะเป็นเรือนไม้ชั้นเดียว ยกพื้นสูงขึ้นมาจากพื้นดินประมาณ 1 ฟุต เป็นห้องโล่งกว้าง เดินเข้าไปในห้องจะเป็นที่เก็บของเก่า อาวุธเก่าๆ ช่วงสงครามเขาค้อกับคอมมิวนิสต์ มีส่วนหางเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์ ปลอกกะสุนปืนใหญ่ ปืนแก๊ปเก่าๆ ด้านขวาของห้องจะเป็นห้องเก็บของ มีเตียงไม้สักเก่าๆหนึ่งตัวตั้งอยู่ในห้อง กับข้าวของ เครื่องใช้สารพัด ซึ่งก่อนหน้านี้เราก็เข้ามาจัดให้เข้าที่เข้าทาง พอนอนพักได้
เพื่อนเราสองคน จัดให้นอนบนเตียง ส่วนเราคนเดียวนอนที่พื้น ใช้ที่นอนปิคนิคปูนอน ห่างกันประมาณ 2 เมตร เวลาผ่านไปประมาณเที่ยงคืน อาบน้ำกันหมดแล้วก็พากันเข้ามานอน เจ้าสองคนถามมาคำนึง เอ เตียงใครวะ (ผมชื่อเอ) สวยขนาดนี้ ทำไมเอามาเก็บในห้องเก็บของ ไม่เอาไปโชว์ข้างนอก “ไม่รู้จริงๆ” ผมตอบ อยู่มาสามสี่ปี ไม่เคยถามใครเหมือนกัน สองคนก็เงียบไป แยกย้ายกันไปนอน ผมหัวถึงหมอนก็หลับสนิท เหนื่อยมาทั้งวัน ไม่ได้คุยกับเพื่อนเลย
ปัง ปัง ปัง เสียงดังมาก ผมสะดุ้งสุดตัว ในห้องที่มืดมาก มองไม่เห็นอะไร ค่อยๆคลานออกไปหาสวิทไฟ พอไฟติด งัวเงียๆขยี้ตา กำลังจะเรียกเพื่อน อ้าว ไปไหนกันหมดวะ มองไปบนเตียง มีแต่ความว่างเปล่า ประตูห้องเก็บของ ซึ่งเป็นที่พักของพวกเราถูกเปิดทิ้งไว้ ประตูใหญ่ของห้องพิพิธภัณฑ์ ก็เปิดออกอ้าซ่าไว้ มองไปที่พื้นรองเท้าของพวกเรายังอยู่ครบทั้ง 3 คู่ แล้วเพื่อนตูไปไหนวะ…ง่วงก็ง่วง งงก็งง ออกเดินตามหา ที่แรกที่คิดได้ ป้อมยาม ไปหายามดีกว่า
เดินออกมาจากห้องที่เราพักกันห่างออกไปประมาณ 200 เมตร จะเป็นป้อมยาม เมื่อไปถึงหน้าป้อมยาม ยังไม่ได้ถามอะไรเลย ก็ชี้มือให้เราไปดูรถกระบะที่จอดอยู่หน้าร้านอาหาร ซึ่งรถคันนี้เป็นของรีสอร์ท สภาพยังดีอยู่ ใช้ขนขยะ ขนคนงาน จิปาถะ ร้อยมือร้อยเท้าขับ จนไม่สามารถล็อครถได้ ชะโงกหน้าเข้าไปมองในรถ เห็นเพื่อนทั้งสองคนคลุมโปงกอดกันตัวสั่นอยู่ในรถ พี่ยามกับเรา มองหน้ากันงงๆ เราเข้าไปเขย่า ติ๊กๆ ตั๊กๆ ตูเอง (เพื่อนชายชื่อติ๊ก เพื่อนสาวตั๊ก) มันเปิดผ้าห่มออกมา พร้อมกับคำชมเชย สารพัดสัตว์ ที่มัน 2 คน จะสรรหามา บลาๆๆๆๆๆ
เฮ้ย เอ ทำไมไม่บอกวะ เตียงมีเจ้าของ อ้าว ใคร เจ้าของ อะไร ไม่รู้ ผมตอบมันไป ไม่รู้จริงๆ เพื่อนอุตส่าห์มาเที่ยวหา ก็หาที่นอนดีที่สุดให้ รู้มั้ยตูเจออะไร มันถาม…เล่าให้ฟังหน่อย ผมบอกไป อยากรู้เหมือนกัน
หลังจากที่พวกเราเข้านอน พอผมหลับไป แต่สองคนยังนอนคุยกันอยู่ เพราะแปลกที่และก็รู้สึกไม่สบายตัว จะเปิดไฟก็เกรงใจผม ในระหว่างที่สองคนคุยกัน ตั๊กเพื่อนสาว เหลือบไปเห็นคล้ายๆเงามานั่งที่ปลายเตียง มันก็พยายามเพ่งมองในความมืด ซึ่งก็มีแสงลอดเข้ามาตามร่องไม้บ้างนิดหน่อย จากไฟทางเดินด้านนอก สิ่งที่มันเห็น มีรูปร่างลักษณะ เหมือนคน ผมฟูมาก ตัวผอมดำสนิท พยายามหวีผม หวีทีผมก็หลุดออกมาที เจ้าตั๊กเล่า เหมือนโดนสะกดให้มองอยู่อย่างนั้น มองจนสิ่งที่มันเห็นว่าหวีผม จนไม่เหลือผมให้หวีแล้ว หัวโล้นโล่ง จะร้องก็ร้องไม่ออก จนกระทั่งเจ้าติ๊กเห็นผิดสังเกต ว่าคุยกับมันอยู่ดีๆ ไหงเงียบไป เจ้าติ๊กยกตัวขึ้นกำลังจะเขย่าตั๊ก เงาดำนั้นก็ลุกขึ้น ตัวยืดขึ้นจนหัวชนหลังคา ชี้มือมาที่มันทั้งสองคน พร้อมทั้งส่งเสียงไล่ ” ไป๊ ” ทั้งติ๊ก ตั๊ก กระโดดลงจากเตียง ถีบประตูห้องที่นอนอยู่ แล้วก็ถีบประตูใหญ่ วิ่งออกมาทั้งคู่ รองเท้าก็ไม่ใส่ โกยแน่บ มาหายาม ยามก็เลยพามานอนในรถ พร้อมผ้าห่ม ยามก็ดี ไม่ถามอะไรสักคำ สรุปคืนนั้น ไม่มีใครนอน มานั่งที่ร้านอาหารกันจนเช้า
ต่อไปคิวผม…หลังจากเหตุการณ์คืนนั้นผ่านไป แบบงงๆ เพราเราก็ไม่ได้เจอด้วยตัวเอง พี่ยามก็เงียบ ไม่ปริปากอะไรออกมาเลย เช้ามาเพื่อนทั้งสองคนรบเร้าให้ส่งตัวกลับ กทม ด่วนเลย อยู่ไม่ได้แล้ว เช้าของวันปีใหม่ เป็นอะไรที่วุ่นวายมาก ลูกค้าก็เยอะ เราก็บอกว่ารอก่อนนะขอทำงานให้เสร็จก่อน ให้เด็กโทรจองรถกลับ กทม ได้เที่ยวประมาณสองทุ่ม สมัยก่อนรถปรับอากาศชั้นหนึ่ง ต้องมาขึ้นอีกอำเภอหนึ่ง คืออำเภอหล่มสัก ระหว่างวันเราก็เหมารถสองแถว จากคนรู้จักให้พาเที่ยวฆ่าเวลาไปก่อนระหว่างรอกลับบ้าน เป็นการปลอบใจ ก็เที่ยว รอบๆเขาค้อนั่นแหละ ไม่รู้จะสนุกกันหรือเปล่า
ช่วงเย็น สองเพื่อนรักก็กลับมาที่รีสอร์ท พร้อมจะเผ่นกลับ กทม ทันที ด้วยสีหน้าราบเรียบ วันนี้อากาศดีมาก หนาวเย็น พร้อมกับละอองฝนปรอยๆ ประมาณทุ่มเศษ เราก็จะขับรถ ไปส่งเพื่อนที่ท่ารถในอำเภอหล่อมสัก แต่รู้สึกแปลกๆยังไงพิกล ก็เลยพยายามชวนน้องๆที่ทำงานด้วยกันให้ติดรถนั่งเป็นเพื่อนไปด้วย แต่ไม่มีใครว่างเลย “ไม่เป็นไร คนเดียวก็ได้ฟะ”
ขาไปก็ไม่มีอะไร ส่งเพื่อน ร่ำลากันเรียบร้อย ก็ขับรถกลับ ระยะทางจากเขาค้อ ไปอำเภอหล่มสัก ประมาณ 50 กม. สมัยก่อนถนนก็ไม่ได้ดีมากนัก ไฟส่องสว่างก็แทบจะหาไม่เจอ โค้งก็เยอะ แต่อาศัยว่าขับขึ้นลงจนชิน ใช้ความเร็วได้พอสมควร ฝนก็ตกพรำๆ บรรยากาศดีมาก ในระหว่างที่ขับรถกลับขึ้นเขา เวลาประมาณสามทุ่มนิดหน่อย แวะหาไรลองท้องในตัวอำเภอมาแล้ว
ในขณะที่กำลังขับรถเพลินๆ ไฟจากหน้ารถโฟร์วีลของเรา จับภาพไปที่จักรยานคันหนึ่งกำลังปั่นขึ้นเขา นึกในใจ มืดขนาดนี้ ฝนก็ตก ยังจะมาปั่นจักรยานทำไมว้า…ทิ้งช่วงไปไม่เกินห้านาที เจอจักรยานอีกคัน กำลังปั่นขึ้นเนินสูง อยู่ข้างหน้า รถเราก็กำลังขึ้นเนินนี้เหมือนกัน ความเร็วใช้ได้ไม่มาก เหมือนภาพสโล สายตาเราไล่จดจำภาพจักรยานคันนี้ พร้อมทั้งเสื้อผ้า หมายเลขที่ติดอยู่ที่แผ่นหลัง รวมทั้งหมวกที่สวม แอร์รถที่เย็นจัด พร้อมอากาศที่เย็นจากนอกตัวรถ ไม่ได้ทำให้เราหนาวได้เลย ตอนนั้นรู้สึกตัวร้อน หน้าร้อนไปหมด ช่วงที่รถเราแซงไป ไม่แม้แต่จะมองกระจกมองหลัง คิดในใจ ตรูโดนแล้ว เสียงเพลงเบาๆในรถถูกเร่งขึ้นกลบเสียงทุกอย่างที่คิดว่าจะผ่านเข้ามาได้ กระจกมองหลังถูกดันพับขึ้นไปไม่ใช้แล้ว ไม่อยากมอง ความเร็วของรถก็ขยับให้เร่งขึ้นอีก แต่ยังมีสติอยู่นิดหน่อย พอที่จะเข้าโค้งได้ ไม่เตลิดเปิดโปงจนสติแตก เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ แต่ความรู้สึกตอนนั้น มันนานมาก เมื่อไหร่จะถึงรีสอร์ทซักทีฟะ ได้แค่คิด ไฟสูงจากหน้ารถของเรา ที่จะยกขึ้นลงตลอดเวลาขับกลางคืน จับได้กับอะไรสักอย่างตรงทางโค้ง แว้บๆ ตรงนั้นเป็นทางโค้งอ้อมเขาด้านซ้าย พอพ้นโค้งเข้าทางตรง บิงโก…
ความรู้สึกเหมือนเวลาเรา ท่องสูตรคูณ มันจะเป๊ะๆๆๆ คราวนี้สิ่งที่เราเห็น มันเป๊ะมาก จักรยาน เสื้อ หมายเลข หมวก รูปร่าง มันชัดเจนมาก ไม่ใช่สูตรคูณละ ต่อมน้ำตาแตกไหลออกมาไม่รู้ตัว กัดฟันขับแซงให้พ้นๆไป ใกล้เข้าเขตอำเภอแคมป์สนละ ตรงนั้นไฟจะสว่าง เพราะเริ่มมีรีสอร์ท พอแซงพ้นมาไม่ทันไร หางตาข้างขวา มันรู้สึกเหมือนมีอะไรมาขยับๆด้านนอกรถ พอหันหน้าไปดู จักรยานครับ คันที่แซงมาเมื่อกี้ ปั่นตีคู่มาเลย ถนนช่วงนี้ทางเรียบตรง แล้วหักขึ้นเขาอีกที มันยังอยู่ แรงไม่ตก แข่งมากับโฟร์วีล ช่วงนั้นมีเพียงเราสอง ขับแข่งกันมา ปราศจากรถราชนิดอื่นๆโดยสิ้นเชิง เล่าตอนนี้ ขำๆ แต่ตอนนั้น อยากตายมากกว่า อยากจะสลัดมันไปให้พ้นๆ สวดมนต์เหรอ อย่าหวัง สมองไม่สั่งการอะไรทั้งนั้น แล้วจู่ๆทุกอย่างก็มืดสนิท
ผมมารู้สึกตัวอีกที เมื่อความเย็นจากน้ำมนต์ มาสัมผัสที่หน้าแบบจังๆ ลืมตาขึ้นมาแบบงงๆ คนยืนมุงดูเราเต็มศาลาวัด ทั้งพระ เณร น้องๆจากรีสอร์ท ไม่มีคำพูดอะไร ออกมาจากใครทั้งนั้น เงียบสนิท ได้แต่สบตากันไปมา ช่วงเวลานั้นไม่น่าจะเกินเที่ยงคืน อึดอัดกันอยู่สักพัก โยมคืนนี้พักที่นี่นะ ไม่ต้องกลับไปรีสอร์ท เดี๋ยวให้เณรจัดที่นอนมาให้… ครับ!! แค่นั้น คือคำพูดของผม ท่านเจ้าอาวาส ให้ความเมตตา พรมน้ำมนต์ให้ผมจนฟื้น พร้อมกำชับให้นอนที่วัด คืนนั้น ผ่านไป ผมหลับเป็นตายโดยมีน้องที่รีสอร์ทมานอนเฝ้าผม ที่ศาลาวัดด้วย
ตื่นเช้ามา ทุกอย่างคลี่คลาย น้องที่มานอนเป็นเพื่อน เล่าให้ฟังว่า เพื่อนผมโทรมาบอกที่รีสอร์ทว่า ช่วยตามหาผมด้วยเพราะโทรมาหา สายว่างตลอด แต่ไม่มีคนรับ กลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุ พี่ๆน้องๆที่รีสอร์ท ออกไล่ตามหา ใช้เวลาไม่นานก็เจอรถผมจอดสงบนิ่งชิดไหล่ทาง ด้านขวา ของอีกเลนถนน คืออยู่เลนฝั่งตรงข้ามที่จะขับรถขึ้นมา คือเลนนั้นรถจะขับลงเขา แต่ผมขับย้อนขึ้น (เส้น พิษณุโลก – หล่มสัก) ยังงง ขับไปอยู่ตรงนั้นได้ไง ด้านคนขับชิดติดรั้วกั้นทางโค้ง ประตูด้านคนขับเปิดออกไม่ได้ถัดไปก็เหวล่ะครับ สภาพรถไม่เป็นอะไรเลย เหมือนค่อยๆขับข้ามเลนมาจอดเบียดรั้วกั้น พยายามจะขับลงเหว
น้องๆมาเจอ สภาพผมหน้าฟุบอยู่กับพวงมาลัย มือยังกำหัวเกียร์อยู่ ปากก็พร่ำ จักรยาน ผี จักรยาน อยู่อย่างนั้น เรียกยังไงก็ไม่ตอบ รถที่ขับมา เครื่องดับ แต่ไฟหน้ายังเปิดค้างไว้อยู่ กระจกด้านข้างต้องทุบออก เพื่อที่จะเข้าไปลากผมออกมา รถก็ขับกลับมาได้เป็นปกติ ทุกคนที่ไปตามหาผม ลงมติว่าผมโดนผีหลอก ก็เลยเลี้ยวเข้าวัด นิมนต์พระมารดน้ำมนต์จนฟื้น
สายๆของวันนั้น หลวงพ่อที่รดน้ำมนต์ให้ผม เข้ามาถามไถ่ อาการ แกบอก ไม่ใช่ผมรายแรก ที่เจอ บางคนถึงตาย ตกเหวไปเลยก็มี โยมยังดวงดี ไม่ถึงฆาต แต่จะให้ดี น่าจะบวชอุทิศส่วนกุศล ให้เจ้ากรรมนายเวรบ้างก็ดีนะ อะไรๆ จะได้ดีขึ้น
เหตุการณ์ครั้งนั้น ทำให้ผม ไม่สามารถขับรถตอนกลางคืนได้เลย ตอนกลางวันถ้าจำเป็นจะต้องผ่านเส้นนั้น ผมจะมีคนติดรถไปด้วยตลอด เห็นจักรยานเมื่อไร มันจะแว้บๆ แอบคิดถึงผีตลอด จนในปีนั้นก่อนเข้าพรรษาผมก็ตัดสินใจบวชอยู่ที่วัดนั้น ตลอดหนึ่งพรรษา เกือบๆสี่เดือน
อ้อ…ลืม…สิ่งของที่อยู่ในห้องเก็บของ ในพิพิธภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็น เป็นข้าวของ เครื่องใช้ เตียงไม้สักเป็นของเจ้าของรีสอร์ทที่เป็นผู้หญิง ซึ่งเสียชีวิตไปได้ไม่เกิน 2 ปี ผู้เป็นสามีได้นำมาเก็บไว้ในห้องนั้น เป็นคำบอกเล่าของพี่ยาม ไปหาแกนอกเวลางาน ใช้เหล้าขาวเบิกทาง พอเหล้าเข้าปาก ไหลออกมาเลยทุกเรื่อง โดยเฉพาะผีๆ เรือนพิพิธภัณฑ์ จะเป็นหนึ่งในสองที่ ของรีสอร์ทนั้น ที่แกจะไม่เดินยามไปใกล้โดยเด็ดขาด วันที่พวกผมเข้าไปนอน แกยังชื่นชม พวกผมนี่เจ๋งจริง…แต่เจ๋งไม่เกินครึ่งคืน ก็จ๋อยกันซะแล้ว เล่าไปก็ยิ้มไป (รู้แล้วเจือกไม่บอกตรู น่า)…
ทุกวันนี้ รีสอร์ทแห่งนี้ ได้ปิดตัวลงไปนานแล้ว บางชิ้นส่วน ก็ยังวนเวียนอยู่ในเข้าค้อ เพราะเป็นเรือนไม้สัก ถูกถอดแยกชิ้นขายออกไปแต่เรื่องก็เกิดมาสิบกว่าปีแล้ว ป่านนี้ก็คงไปผุดไปเกิดกันหมดแล้ว….
ที่มาสมาชิกพนทิป35217374
ติดตามอ่านเรื่องเล่าผีต่อได้ที่ คลังหลอน