มารับหนูที ผู้หญิงคนนั้น เค้ารอแกกลับมาห้องอยู่

มารับหนูที1

เรื่องนี้เป็นประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจริงกับตัวเองนะคะ ถึงแม้จะไม่เห็นผีตัวเป็นๆ แต่ความรู้สึกที่สัมผัสได้จากเหตุการณ์นั้นมันรุนแรงมาก มากจนถึงขนาดว่าเราจะนอนที่นี่ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว

หลังจากรายการทีวีรายการหนึ่งประกาศว่าจะจัดคอนเสิร์ตที่ห้างเซนทรัลเวิร์ล จูก็ไม่รีรอที่จะรีบซื้อตั๋วทันที ด้วยความที่ไม่อยากรบกวนเพื่อนเลยไม่ได้รบเร้าเพื่อนคนไหนให้ซื้อตั๋วไปดูเป็นเพื่อน หรือแม้กระทั่งไม่ได้คิดจะที่ขออาศัยหอ ห้องพัก หรือบ้านเพื่อนคนไหนเลย (จูอยู่ต่างจังหวัด) 

ดังนั้น หลังจากได้ตั๋วแล้ว จูจึงหาโรงแรมจาก Agoda ใช้หลักเพียงว่า ราคาไม่แพง อยู่ใกล้ห้างเซนทรัลเวิร์ล และแล้วจูก็จองโรงแรมแห่งหนึ่ง ซึ่งราคาไม่ถึงพันค่ะ ดูจากการประมาณกิโลเมตรในแผนที่แล้ว ก็ไม่ไกลเท่าไหร่ จะนั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้างหรือเดินเอาก็คงพอไหวค่ะ

ออกเดินทาง 1 วันก่อนการแสดงคอนเสิร์ต ไม่ว่าจะเดินทางขึ้นเหนือล่องใต้ ข้ามน้ำข้ามทะเล ก็ไม่เคยมีสักครั้งที่จูจะรู้สึกเหมือนวันนี้ ความรู้สึกคือ “อย่าไปเลย กลับบ้านเถอะนะ อย่าไปเลย” แม้ความรู้สึกจะบอกถึงขนาดนี้แล้ว แต่จูก็ยังด้นดั้นไปที่กรุงเทพเพื่อไปชมคอนเสิร์ตนี้เพราะจ่ายเงินทุกอย่างไปหมดแล้ว ความรู้สึกนี้มีตลอดทางจนถึงกรุงเทพเลยล่ะค่ะ

พอถึงกรุงเทพ เราก็ไลน์หาแม่เลยค่ะว่าถึงแล้ว เพราะกลัวท่านจะเป็นห่วง และก็คิดไม่ผิดจริงๆ หลังจากที่แม่อ่านข้อความแล้ว แม่รีบโทรหาเราทันที

แม่: ถึงกรุงเทพแล้วเป็นยังไงบ้าง ไม่หลงทางใช่มั๊ย

จู: สบายมากเลยแม่ นั่งรถไฟฟ้ามาลง แล้วต่อมอไซค์รับจ้างอีกนิดก็คงถึงแล้ว

แม่: เหรอ….ดูแลตัวเองดีๆนะ แม่รู้สึกไม่ค่อยดีเลย ถึงโรงแรมแล้วบอกแม่ด้วยนะว่าโรงแรมเป็นยังไง หรือหนูจะให้แม่โทรหาเพื่อนแม่ ไปนอนบ้านป้าเค้ามั๊ย แล้วพรุ่งนี้ค่อยให้ป้าเค้ามาส่งที่ห้าง

จู: หนูไม่เป็นไรหรอกจะแม่ หนูโอเค เดี๋ยวถึงโรงแรมแล้วหนูไลน์หานะจ๊ะ

แม่: ถ้ามีอะไรรีบโทรหาแม่นะ

จู: จะ ไม่ต้องเป็นห่วงน้า จะรายงานเป็นระยะๆเลย

หลังจากเดินผ่านแหล่งที่ผู้คนเดินกันขวักไขว่หน้าห้างเซนทรัลเวิร์ลแล้ว ตอนนั้นก็เวลาประมาณเกือบ 3 ทุ่มเข้าไปแล้ว สิ่งที่มีในมือคือใบจองห้องพัก รู้แค่เพียงโรงแรมชื่ออะไร อยู่ซอยที่เท่าไหร่ แค่นั้นเลย

ถ้าจะเดินแบบไม่รู้ปลายทางแบบนี้ คืนนี้คงจะหาโรงแรมไม่เจอ เราเลยจ้างตุ๊กๆให้ไปส่งที่ซอยที่ว่าค่ะ

ซอยนี้แคบมาก มากแค่รถยนต์ 1 คันเล็กๆวิ่งได้ เรามองตามป้ายเพื่อหาป้ายโรงแรม มีโรงแรมมากมายในซอยเล็กๆแห่งนี้ และมีทั้งใหม่และเก่า ได้แต่หวังในใจว่าโรงแรมที่เราเลือกก็คงจะใหม่อยู่ เพราะดูรูปใน Agoda แล้วใช้ได้ นั่งมาเรื่อยๆจนเจอป้ายโรงแรมก็รีบบอกให้พี่เค้าหยุด และทำการจ่ายเงินไป

ป้ายโรงแรมอยู่ที่ปากซอยเล็กๆในซอยนั้นแหล่ะค่ะ เราต้องเดินเข้าไปข้างในอีกนิดหน่อย ปากซอยมีร้านเสริมสวย ซอยนี้คนไม่พลุกพล่าน มีผู้หญิงนั่งเรียงรายกันแถวข้างทาง (ลักษณะเหมือนรอใคร) แต่เราก็ไม่ได้สนใจ เดินต่อไปจนเจอกับโรงแรม

เมื่อเปิดเข้าไป โรงแรมนี้ก็ไม่ต่างจากโรงแรมอื่นๆทั่วไป มีชายคนหนึ่งเดินมาต้อนรับ พร้อมกับถามว่าได้จองไว้หรือไม่ เราจึงส่งเอกสารการจองให้เขาไป หลังจากเขาจัดการเรื่องเช็คอินให้เราเสร็จ เขาจึงหยิบกุญแจแล้วแจ้งว่าจะพาเราไปยังห้องพัก

เขาพาเราเดินขึ้นบันไดหินอ่อน (ลายออกแนวบ้านคนจีนโบราณอ่ะค่ะ) ขึ้นมายังชั้น 3 มองดูแล้วชั้นนี้มีห้องทั้งหมด 6 ห้อง มีไฟทางเดิน 2 ดวง ดวงแรกอยู่ใกล้บันไดที่เราขึ้นมา ส่วนอีกดวง อยู่สุดทางเดิน 

ลักษณะห้องพักด้านนอกทำเราแปลกใจอยู่ไม่น้อย แต่ละห้องจะมีหน้าต่างบานเกล็ดสองบาน บานเล็กเท่ากับหน้าต่างระบายอากาศในห้องน้ำ อยู่ข้างๆประตูห้อง ไม่มีห้องไหนเลยที่เปิดไฟ มันให้ความรู้สึกที่ว่า  ทั้งชั้นเนี่ย ชั้นอยู่คนเดียวใช่ป่าว

แกร๊กๆๆ สิ้นเสียงไขประตู พนักงานก็รีบเข้าไปเปิดไฟในห้อง เรารีบเดินตามเข้าไป เผื่อมีอะไรหักหรือพัง จะได้บอกให้เขาเปลี่ยนให้ได้ ยังไม่ทันก้าวเท้าเข้าห้องดี เขาก็รีบเปิดไฟในห้องน้ำ แล้วก็บอกด้วยความเร็วว่า “ของทุกอย่างในนี้ใช้ได้หมดนะครับ ทีวี แอร์ ห้องน้ำ มีเครื่องทำน้ำอุ่น หากมีอะไรก็กด 0 โทรลงไปได้ อันนี้กุญแจของคุณครับ” แล้วเขาก็รีบเดินจากไป

หลังจากที่พนักงานเดินจากไป ความรู้สึกวูบแรก “ปิดประตูสิ! ข้างนอกน่ากลัวกว่าข้างในเยอะ” พอรู้สึกแบบนั้น ร่างกายก็รีบตอบสนองสั่งให้จูรีบปิดประตูห้องทันที

จูมองไปที่หน้าต่างบานเกล็ด หน้าต่างสองบานนั้นสูงจากพื้นประมาณ 170 เซน ในขณะที่จ้องหน้าต่างอยู่ จู่ๆก็มีเสียง แกร๊ก……..ฟืด……….แกร๊ก……….ฟืดดดดด เสียงคล้ายกับคนที่เดินไม่ถนัดแต่ใช้ไม้เท้าช่วยเดิน ดังมาจากทางบันได เสียงเหมือนกับว่ากำลังเดินมาตามทางเดิน 

ด้วยความตกใจจึง รีบหมุนบานเกล็ดให้พับปิดลงมา แล้วเลื่อนม่านปิดหน้าต่างทันที เสียงนั้นสิ้นดังผ่านหน้าห้องไปทางสุดผนังทางเดิน แต่ก็ไม่ได้ยินว่าจะมีเสียงเปิดเข้าห้องไหนแต่อย่างใด

จูเริ่มสำรวจห้องพัก เปิดไฟทุกดวง แล้วลงนั่งที่ปลายเตียง พลางควานหาโทรศัพท์ในกระเป๋าเป้

“มีคนอยู่ข้างหลัง!” ความรู้สึกนี้มาแรงมาก แรงมากจนเราสะดุ้งตกใจความรู้สึกตัวเอง จูเงยหน้าขึ้นมา มองตรงไปข้างหน้า เงาสะท้อนจากจอทีวีที่ยังไม่ได้เปิด สะท้อนมาว่าไม่มีอะไร แต่ขนที่แขนและหลังกลับตรงกันข้าม ขนลุกตั้งขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผลสักเท่าไหร่ สักพักเราก็ไลน์คุยกับแม่

จู: แม่…หนูถึงโรงแรมแล้ว

แม่: เป็นยังไงบ้างลูก โอเคมั๊ย

จู: รู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก คือลักษณะห้องมันก็ปกตินะ แต่หนูรู้สึกแปลกๆอ่ะ เหมือนผิดที่ผิดทาง

แม่: ให้ป้าไปรับมั๊ย แม่ถามป้าแล้ว ป้าเอ็ดใหญ่เลย บอกว่ามาทำไมไม่บอก ไปนอนโรงแรมทำไม

จู: หนูจ่ายเงินไปแล้ว เสียดายอ่ะ เดี๋ยวหนูอาบน้ำแล้วออกไปหาอะไรกินก่อนนะ หิวมากเลย

แม่: มีอะไรให้รีบโทรมานะ 

จู: ขอบคุณจะ หนูจะรายงานเป็นระยะนะ

จูเก็บเสื้อผ้าแขวนที่ราว จัดข้าวของ รู้สึกตะหงิดในใจว่านี่ชั้นจะนอนไหวไหมสองคืนเนี่ย ในห้องนี้ มีความรู้สึกเหมือนเราไม่ได้อยู่คนเดียวตลอดเวลา เหมือนมีใครอยู่ในห้องกับเราอีกหนึ่งคน ถึงแม้ตาจะมองไม่เห็น แต่ความรู้สึกที่บอกมานั้นแรงมากจริงๆ

จูหยิบผ้าเช็ดตัวเดินเข้าไปในห้องน้ำ “อื้อหือ…….ห้องน้ำทำไมเก่าแบบนี้ล่ะ” สภาพห้องน้ำเก่ากว่าสภาพห้องมาก แปลกมากจริงๆ ฝักบัวจากสีขาวก็กลายเป็นสีเหลืองล่อนๆ รอบอ่างล้างหน้าทำด้วยปูที่มกระเบื้องสี่เหลี่ยมสีเทาปูรอบๆ มองไปที่ชั้นวางพวกสบู่ยาสีฟันและแก้วเป๊กแบบนี้วางคว่ำอยู่บนจานรองสองใบ ซึ่งตั้งไว้ที่ชั้นบนสุดของชั้นวางของ

“เอ้ย…….เค้าใช้แก้วแบบนี้แปรงฟันกันเหรอ?”

“แก้วเอาไว้ไหว้อะไรหรือเปล่า?”

ด้วยความกลัวในสิ่งแปลกๆและความรู้สึกตัวเอง จึงรีบอาบน้ำให้เสร็จแล้วรีบแต่งตัวเพื่อออกไปข้างนอกทันที ขณะที่กำลังจะเอื้อมมือไปจับลูกบิดประตู ก็ได้ยินเสียงคล้ายๆกับเสียงคนตำน้ำพริก เสียงนี้ดังมากกกกกก เสียงเหมือนมาจากฝั่งตรงข้ามห้อง

เอาวะ! มีเพื่อนอยู่ชั้นเดียวกันแล้ว สบายใจได้แล้วนะ จูคิดปลอบใจตัวเอง แต่ปรากฏว่า เมื่อเปิดประตูออกไป ไม่มีไฟห้องไหนเปิดเลยสักห้องเดียว และหลังจากเปิดประตูเสียงตำนั้นหยุดไปครู่นึง แล้วก็ดังต่อ แต่ลักษณะในการตำเปลี่ยนไป คือตำเร็วและแรงขึ้น “วิ่งสิครับ รออะไร” รีบกดล็อคลูกบิดห้อง แล้ววิ่งลงไปชั้นล่างทันที

หลังจากเดินหาซื้ออะไรกินแล้ว จูก็กลับมาที่ห้อง ซึ่งแน่นอนว่ามีความรู้สึกว่าไม่อยากกลับห้องเลย แต่จำใจต้องกลับห้อง เพราะจะให้เดินต่อก็คงจะเดินไม่ไหว เนื่องจากเหนื่อยมาก

เมื่อเปิดประตูเข้าโรงแรม พนักงานชายคนนั้น ยืนอยู่ที่เคาน์เตอร์เช็คอิน

พนักงาน: สบายดีนะครับ

จู: คะ (คิดในใจ อิหยั่งวะ)

พนักงาน: อ๋อ ไม่มีอะไรครับ โชคดีนะครับ

คำพูดของพนักงานฟังดูพึลึกชอบกล จูเดินพลางคิดไปเรื่อยๆ จนกระทั่งหยุดอยู่ที่หน้าห้องตัวเอง พอไขกุญแจแล้วเปิดเข้าไป …ความรู้สึกมันบอกว่าใช่เลย “มีคนอยู่ในห้องจริงๆนะ” จูเลยรีบเปิดไฟ เผื่อว่าจะเป็นใครมาขโมยของ

แปร๊บ แปร๊บ…… หลอดไฟกระพริบ แต่กว่าที่หลอดจะติดนั้น สายตาของจูมองไปที่ปลายเตียง ภาพที่เห็นคือ แว๊บหนึ่งจูเห็นเป็นผู้หญิงชุดสีขาวผมยาวนั่งอยู่ที่ปลายเตียง เห็นด้วยสายตาของตัวเองเพียงแว๊บไฟกระพริบเดียว พอไฟติดก็ยังทำใจดีสู้เสือ มองจ้องไปที่ปลายเตียง

“รีบปิดประตูสิ ข้างนอกน่ากลัวกว่าเยอะ” เสียงเดิมที่อยู่ในใจที่เคยบอกตัวเองมาแล้วครั้งหนึ่ง ผุดขึ้นมาอีกครั้ง จูเลยจัดการปิดประตูล็อคกลอน วางอาหารทั้งหมด แล้วรีบถ่ายรูปห้องทันที เอามือถือถ่ายประตู ถ่ายตรงม่านที่บานเกล็ด ถ่ายโต๊ะวางทีวี เปิดไฟห้องน้ำ ถ่ายห้องน้ำ ถ่ายที่นอน……แต่จู่ๆไม่รู้ว่าใจคิดอะไร จึงกระชากผ้านวมสีน้ำตาลอ่อนออกมา “ผ้าปูที่นอนสีแดง!!

อ่านต่อตอนจบ >>กดอ่าน<<

Previous articleคำสัญญาจากแฟนเก่า …วิญญาณรัก(ผี)แฟนเก่า
Next articleมารับหนูที ผู้หญิงคนนั้น เค้ารอแกกลับมาห้องอยู่ #จบ