ผู้หวังดี เส้นทางสังขละบุรี

ผู้หวังดี
ผู้หวังดี

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อปี 2012 ค่ะ เราได้มีกิจกรรมรวมตัวกันไปทำบุญบริจาคสิ่งของกับเพื่อนๆ โดยออกเดินทางด้วยรถ แรนโลเวอร์ไปกันทั้งหมด 4 คัน จำนวนคนที่ไปคือ 8 คน ก็จะเป็นเพื่อนๆพี่ๆที่รู้จักกัน มีชาย5คน หญิง3คน นัดหมายออกเดินทางคือ 1ทุ่มกว่าๆค่ะ เพราะตั้งใจจะไปแบบเรื่อยๆเหมือนเที่ยวไปในตัว มุ่งหน้าจาก สมุทรสาคร ไปสู่ กาญจนบุรีค่ะ

เรื่องของเรื่องเลยคือเราต้องเดินทางขึ้นเขา เพราะมีเด็กๆที่เค้าใช้ชีวิตอย่างยากจนแร้นแค้นอยู่บนเขาจริงๆ ซึ่งทีมงานเราที่ไปกันคือจะไปกันปีละครั้งค่ะ การเดินทางจึงไม่ได้ใช้เวลาเร่งรีบมาก ค่ำไหนนอนนั่น

หลังจากออกเดินทางไปเรื่อยจนถึงตัวเมืองของกาญจนบุรี เราก็แวะพักทานข้าวตามปั๊ม เพราะยังต้องเดินทางต่ออีกหลายกิโล พอทุกคนทำธุระเสร็จก็มุ่งหน้าออกนอกเมืองค่ะ ถนนที่เรามุ่งหน้าไปก็จะมืดมากแล้ว และเป็นถนนที่สร้างขึ้นบนเขาค่ะ เพราะฉะนั้นข้างทางมันจึงเป็นเหวที่ลึกลงไปตามระดับความสูงของภูเขาลูกนั้นๆ

ตอนนั้นสักประมาณ 5 ทุ่มกว่าๆเห็นจะได้ค่ะ เราและคนบนรถซึ่งเป็นคันแรกที่ขับนำคันอื่นๆมา เริ่มสังเกตุเห็นว่าหมอกลงจัดเยอะมาก ยิ่งขับไปเท่าไหร่ยิ่งเจอกับหมอกเมื่อนั้น ทำให้วิสัยทัศน์การมองเห็นต่ำมาก หนำซ้ำก็ไม่มีรถคันอื่นวิ่งสวนหรือผ่านเราไปเลย อาจจะเป็นเพราะว่ามันดึกมากแล้วก็ได้

พี่นุคือหัวหน้าในการมาครั้งนี้และเป็นคนขับคันแรกซึ่งคือคันที่เรานั่งอยู่ แกก็พูดขึ้นมา “..หมอกหนามากเลยว่ะ จะไปต่อดีมั้ยวะ..” แกก็ค่อยๆขับไปช้าๆ ส่วนพี่เอก คือคนที่นั่งข้างคนขับ ก็เลยถือวอร์วิทยุออกมาเพื่อที่จะสื่อสารไปยังรถคันอื่นที่กำลังขับตามอยู่ช้าๆ “..โหลๆพวกเอ็ง จะพักนอนริมทางมั้ย หรือจะไปต่อ ตอนนี้มองทางไม่เห็นแล้ว..” เสียงจากฝั่งตรงข้ามก็พูดมาว่า “..เอาไงก็ได้แล้วแต่พวกพี่..” ซึ่งในขณะที่พี่ๆเค้ากำลังคุยกันอยู่นั้น

สายตาเราได้เหลือบไปเห็นทางข้างหน้ามีบ้านที่เป็นกระต๊อบเก่าๆปลูกไว้ริมทางติดกับทางลาดลงไปซึ่งเป็นเหว เราจึงเรียกให้พี่นุดู แกเห็นดังนั้นจึงสั่งให้ทุกคนจอดรถริมทาง เมื่อเราทุกคนลงจากรถเพื่อจะแวะพักถามทาง ราวกับว่าคนที่อยู่ภายในกระต๊อบนั้นจะรับรู้ว่ามีคนมา ก็มีป้าคนนึงน่าจะอายุประมาณ 50กว่าๆได้ แกเดินออกมาต้อนรับพวกเราพร้อมกับเอ่ยถาม “..อ้าว ไอ้หนูพวกเอ็งกำลังจะไปไหนกัน..” พี่นุและพวกเราจึงสวัสดีป้า “..คือพวกผมเดินทางมาเพื่อที่จะไปเข้าหมู่บ้านที่มีเด็กเขาอยู่อ่ะครับป้า เช้าพรุ่งนี้พวกผมจะเข้าไปทำบุญให้น้องๆน่ะครับ..” พี่นุกล่าวตอบป้าไป ตอนนั้นเราสังเกตุเห็นว่า ที่หน้ากระต๊อบป้านั้นมีแต่กับข้าว ของคาวของหวานเต็มไปหมด จึงนึกสงสัยว่าแกคงอยู่กันหลายคน ก็ไม่ได้เอะใจอะไร

พอคุยไปคุยมา คุณป้าคนนั้นก็เลยบอกว่า “..ไม่ต้องออกเดินทางต่อหรอก ไอ้หนุ่มเอ้ย ! หมอกลงหนาขนาดนี้ มันอันตราย..” พี่นุจึงปรึกษากับทุกคนและตกลงว่าจะนอนค้างริมทางนี้โดยบางคนก็เอาเต๊นท์ไปกางหน้ากระต๊อบ บางคนก็เลือกที่จะนอนบนรถ ช่วงที่เราเตรียมตัวจะนอน ป้าคนนั้นก็บอกกับเราทุกคนให้เป็นการรับรู้ “..คืนนี้ถ้าได้ยินเสียงอะไรก็ไม่ต้องไปสนใจหร่อกน่ะ..” พี่เอกที่เป็นคนที่ขี้สงสัยที่สุดในกลุ่มจึงได้ถามป้ากลับไปว่า “..ทำไมหรอคับป้า มันจะมีเสียงอะไรหรอคับ..”

แกถามพลางมองไปรอบๆถนนที่มีแต่ความมืดและหมอกที่ปกคลุม ป้าจึงตอบด้วยสีหน้าที่เศร้าหมองพร้อมกับเล่าเรื่องราวให้เราฟัง “..เมื่อเดือนก่อนโน้นน่ะ มีรถบัสที่ขนนักท่องเที่ยวมาเต็มคัน ได้ขับรถมายังเส้นทางนี้ตอนช่วงเช้าๆ ตี5เกือบ6โมงได้ รถบัสทั้งคันได้พลัดตกลงเหวข้างทางเพราะคนขับหลับในบวกกับหมอกที่ลงจัดจนทำให้มองทางไม่เห็น เหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้มี ผู้เสียชีวิตหลายราย ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ตอนนั้นที่รถตกลงไป ทำให้เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว น่าสงสารพวกเค้ามาก..” พอพวกเราและพี่เอกได้ยินได้ฟังดังนั้นจึงเงียบกริบและเลือกที่จะไม่พูดอะไรต่อ

เราทุกคนจึงจัดแจงเตรียมที่หลับที่นอน ส่วนตัวเราเองก็ยังอดกลัวไม่ได้กับสิ่งที่ป้าได้เล่ามา แต่ก็พยายามไม่คิดอะไร เพราะมันก็เป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้ว
เราจึงหยิบผ้าห่มที่พกมาด้วยเพื่อจะมาคลุมตัวเอง ซึ่งเรานอนอยู่บนรถ จังหวะที่เราจะหลับ สายตาเราเห็นว่าคุณป้าคนนั้นกำลังจะเดินเข้ากระต๊อบไป ในใจเราก็คิดว่าดีจังเลยนะที่เจอป้ามาเตือนมาบอกแถมยังใจดีให้พักค้างคืนอีก ช่วงที่กำลังคิดครุ่นอยู่ในใจสายตาก็มองไปทางป้า จังหวะนั้นเหมือนป้าเค้าจะรู้ว่าเรามองแกอยู่ ป้าคนนั้นจึงหยุดเดินและหันมาทางเราพร้อมกับส่งรอยยิ้มมาทางเรา ตอนนั้นเราก็อ้ำๆอึ้งๆน่ะค่ะ ก็ได้แต่ยิ้มตอบไป.

คืนนั้นผ่านไปด้วยดีค่ะ ทุกคนตื่นมาในตอนที่อากาศสดชื่น แต่หมอกก็ยังไม่จางลงไปนะคะ เพียงแต่ก็สามารถที่จะเดินทางไปต่อได้เพราะยังไงก็เช้าแล้ว ก็คงจะไม่มีปัญหาอะไร ทีนี้ตอนที่กำลังงัวเงียตื่นขึ้นมา อยู่ๆก็มีเสียงโวยวายของ ชัช เพื่อนชายคนสนิทของเราโหวกเหวกโวยวายวิ่งมาทางพี่นุกับพี่เอก
ที่กำลังวุ่นอยู่กับการเตรียมของ “..พี่ๆๆ พวกพี่มาดูอะไรนี่ดิ่…” ชัชพูดแถมทำหน้าตาตื่นๆ “..อะไรของเอ็งวะ เสียงดังแต่เช้าเลย..” พี่เอกพูดเสริมกลับไป

“เนี่ยะพี่เมื่อคืนบ้านป้าอยู่ตรงนี้ที่ผมนอนอยู่ไกล้กับกะต๊อบแกเลยเนี่ยะ แต่ตอนนี้ทำไมมันเป็นแบบนี้อ่ะพี่” ชัชมันพูดพร้อมกับชี้ไปทางที่มันบอก เราจึงเดินตามไปดู ขุ่นพระ..!!!! พูดแล้วยังขนลุกไม่หายเลยค่ะ

ภาพที่ทุกคนเห็นก็คือ เป็นศาลไม้เก่าๆผุๆที่ตั้งตะหง่านอยู่ข้างทาง มีของเซ่นไหว้เต็มไปหมด รวมไปถึงพวงมาลัยที่มีเยอะมากจนผิดสังเกตุ ทุกคนนิ่งอึ้ง และยังงงกับสิ่งที่ได้เห็นได้คุยกับคุณป้าคนเมื่อคืน ว่าสรุปแล้วคุณป้าคือใคร พี่นุจึงพูดขึ้นมาว่า ให้เราทุกคนมากล่าวขอบคุณป้า โดยการไปไหว้หน้าศาลไม้นั้น ตอนนั้นคือทุกคนขนลุกค่ะ เจอเด้งเดียวถือว่าแรงสุดๆแต่ตอนนั้นก็คิดอีกมุมนึงค่ะว่า ถ้าไม่มีคุณป้าหรือวิญญาณคุณป้าท่านนี้นี่แหล่ะค่ะ การเดินทางของเราอาจจะเป็นไปด้วยความยากลำบากหรืออาจจะเจอแบบรถบัสคันนั้นก็ได้

ขอบคุณคุณป้านะคะที่หวังดีกับพวกเรา และมาเตือนเราทุกคน วันนั้นเราทุกคนก็รู้สึกขอบคุณมากกว่าความกลัว และก็ออกเดินทางเพื่อที่จะไปบริจาคสิ่งของแก่เด็กๆต่อได้อย่างปลอดภัย ใครผ่านไปผ่านมาแถวเส้น สังขละบุรี เจอคุณป้าก็อย่าลืมทักทายนะคะ

ขอบคุณที่มาพันทิป

ติดตามอ่านเรื่องเล่าผีต่อได้ที่ คลังหลอน

Previous articleยุติการเผยแพร่
Next articleยุติการเผยแพร่