ย้อนรอยคดีดัง ‘จ้างวานฆ่า’ สุดทะเทือนขวัญ บันทึกรัก ‘ศยามล’ ตอน2

ศยามลตอน2

วันที่ 1 ตุลาคม ปี พ.ศ.2536 เวลาหนึ่งทุ่มเศษ  นายแพทย์บัณฑิต เปิดโอกาศให้หนังสือสือพิมพ์มาสัมภาษณ์ เพราะตอนนี้ทั้งประเทศเข้าใจว่า เขาเป็นฆาตกรกันไปหมดแล้ว

การให้สัมภาษณ์ของ นายแพทย์บัณฑิต เน้นไปในเชิงปฏิเสธว่าเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการฆ่าศยามล เขาปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ทุกข้อคำถาม และเขาก็ทราบว่า อดีตภรรยาเสียชีวิต เมื่อวันที่ 30 กันยายน พร้อมกับทุกคนนั่นเอง

ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาเขามีหลักฐานยืนยันตัวตนอย่างชัดเจน เพราะช่วงนั้นเขาลาพักร้อนไปภูเก็ต และพักที่โรงแรมแปซิฟิค ไอซ์แลนด์ อีกทั้งยังไม่เคยข่มขู่อดีตภรรยา ตามที่เป็นข่าวเลย

วันที่ 2 ตุลาคม ปี พ.ศ. 2536 เวลา 09:00 น. นายแพทย์บัณฑิต ให้การสัมภาษณ์อีกครั้ง ที่ “จี้อันตึ้ง” อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ของตนเอง โดยให้การสัมภาษณ์ถึงเรื่องราวของเขาและศยามล ดังนี้…

ผมและศยามลรู้จักกันตั้งแต่ปี พ.ศ.2530 ตอนนั้นตัวผมเป็นแพทย์อยู่ที่ รพ.กุยบุรี หลังจากนั้นหนึ่งปี เราก็จดทะเบียนสมรสกันอย่างลับ ๆ โดยผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายไม่ทราบเรื่องนี้

ต่อมาปลายปี พ.ศ. 2534  ศยามลเธอขอไปเรียนตัดเสื้อที่กรุงเทพฯ ตอนนั้นผมต้องการแต่งงานกับเธออย่างเป็นทางการ แต่เธออ้างว่าไม่พร้อม และขอให้เธอเรียนจบก่อนค่อยแต่ง ทำให้เราทั้งสองเริ่มมีระยะห่างต่อกัน

ปี พ.ศ. 2532 ผมย้ายมาประจำที่หัวหิน ซึ่งเป็นบ้านเกิดผม ผมต้องออกงานเลี้ยงพบปะสังสรรค์เพื่อนอยู่บ่อยครั้ง ช่วงนั้นเธอตั้งท้องและมักต่อว่าผม ว่าไม่มีเวลาให้เธอเลย จากนั้นก็มีปัญหาเรื่อยมา จนเราตัดสินใจแยกทางกัน

ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายเห็นด้วย เราตัดสินใจตอนที่ลูกสาวคลอดออกมาได้เดือนเศษ ผมขอลูกเพื่อมาเลี้ยงดูเอง แต่ศยามลเธอไม่ยอม พ่อผมเลยมอบเงินค่าเลี้ยงดูให้กับเธอ 2 ล้านบาท

ส่วนข่าวที่ว่าผมข่มขู่ศยามล เรื่องนั้นไม่เป็นความจริง เพราะเราต่างคนต่างอยู่ ต่างใช้ชีวิตของตัวเองไป ร้านเสื้อของศยามลก็อยู่ห่างไกลจากคลีนิคผมมาก แล้วผมจะไปฆ่าเธอทำไม ??

ผมไม่ได้เป็นพวกสัตว์เดรัจฉาน ผมแยกแยะสิ่งที่ถูก ที่ผิดได้ ผมเสียใจมาก เมื่อรู้ว่าเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นกับศยามล อย่างน้อยเขาก็เคยเป็นอดีตภรรยาผม และสิ่งที่แรกที่ผมต้องทำต่อจากนี้ คือ ผมต้องเอาลูกมาเลี้ยงด้วยตนเอง

ผมทราบเรื่องศยามลถูกฆ่าเมื่อวันที่ 30 กันยายน หลังเกิดเหตุ 1 วัน ซึ่งขณะนั้นผมอยู่ที่โรงแรมแปซิฟิค ไอซ์แลนด์ ภูเก็ต เพื่อไปร่วมงานแต่งของเพื่อนนักเรียนแพทย์ด้วยกัน 

และในวันอาทิตย์ที่ 26 กันยายน หลังจากเลิกงานแล้ว ผมก็นัดเพื่อนไปภูเก็ต เพื่อเที่ยวกันต่อ โดยออกจากสนามบินดอนเมือง เวลา 17:55 น. และถึงสนามบินภูเก็ต ช่วงเวลา 20:00 น. เพราะเครื่องดีเลย์ ก่อนที่จะทราบข่าวของศยามลเมื่อวันที่ 30 กันยายน จากนั้นผมก็เดินทางกลับหัวหิน ในวันที่ 1 ตุลาคม

และก่อนจบสัมภาษณ์ เขาได้ทิ้งท้ายกับพวกสื่อมวลชนว่า “ผมไม่ได้ฆ่าศยามล!!”

คดีนี้กลายเป็นคดีสะเทือนขวัญและเป็นที่จับตามองของประชาชนทั่วประเทศ เพราะผู้ต้องสงสัยเป็นหมอ ทางด้านตำรวจนั้นไม่ได้สนใจคำให้การของแม่ศยามลและนายแพทย์บัณฑิต เพราะคำให้การทั้งคู่ไม่ตรงกับข้อมูลที่ตำรวจสืบทราบมา

เนื่องจากคดีนี้เป็นคดีที่น่าสนใจ และถูกจับตามอง จึงทำให้การทำงานของตำรวจรวดเร็ว และมีความคืบหน้ามาก ตำรวจได้พบพยานปากสำคัญ ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสาวและรู้ตัวคนที่ฆ่าศยามล ซึ่งประกอบด้วย ผู้จ้างวาน  และผู้ลงมือ รวมทั้งสิ้น 5 คน

มีกระแสข่าวลือ กล่าวว่า นายแพทย์บัณฑิตได้ติดต่อขอเข้าพบ พ.ต.อ.พิสิทธิ์ คำแน่น (ผกก.ภ.จ.เพชรบุรี) เพื่อที่ต้องการยืนยันความบริสุทธิ์ของตนเองและพร้อมให้ปากคำอย่างละเอียด หากแต่ทางตำรวจไม่สนใจสิ่งที่นายแพทย์บัณฑิตให้การเลย เพราะตำรวจเชื่อหลักฐานและพยานมากกว่าคำให้การของนายแพทย์บัณฑิต

วันที่ 9 ตุลาคม ปี พ.ศ.2536 

เกิดเหตุการณ์เหนือธรรมชาติขึ้น ตอนสายของวันฌาปนกิจศพศยามล หลังสวดอภิธรรมครบ 7 วัน ทางครอบครัวของเธอได้เชิญหมอผีมาเซ่นไหว้เรียกวิญญาณศยามลหลังเสร็จสิ้นพิธีเผาศพไปแล้ว

จากนั้นไม่นาน เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำรูปถ่ายของศยามลไปให้เจ้าหน้าที่โรงแรมหัวหินดู และปรากฎว่ามีกลิ่นศพโชยขึ้นมาพร้อมกับกลิ่นธูปเทียนจนทำให้เจ้าหน้าที่ต่างตกใจและกลัวกันยกใหญ่ กับสิ่งที่เกิดขึ้น

นอกจากนี้ยังมีการบอกเล่าว่า ครอบครัวและญาติของศยามล ได้พบเห็นวิญญาณของเธอมาปรากฎตัวให้เห็นอยู่บ่อย ๆ รวมถึงน้องอิงอิง ก็เห็นวิญญาณของแม่เธอ 2 ครั้ง

น้องอิงอิง คือพยานปากสำคัญ ที่ตำรวจต้องการมากที่สุด แต่ตำรวจยังทำอะไรบุ่มบ่ามไม่ได้ ต้องรอให้เธอหายจากอาการหวาดผวาก่อนจึงจะเริ่มสอบปากคำเธอได้ มีการส่งกำลังมาคุ้มครองเด็กตลอด 24 ชั่วโมง

เพราะสายตำรวจรายงานมาว่า มีชายคนหนึ่งแต่งชุดซาฟารีแอบอ้างเป็นตำรวจนอกเครื่องแบบมาที่บ้านเพื่อขอเบอร์โทรศัพท์ พวกเขามาโดยรถตู้สีขาวลึกลับ ไม่ทราบยี่ห้อ ขับวนไปมา อยู่หน้าบ้านของน้องอิงอิง อย่างผิดปกติ

ทางด้าน นายแพทย์บัณฑิต ก็เก็บตัวเงียบอยู่บ้านระยะหนึ่ง ก่อนที่จะกลับมาทำงานที่โรงพยาบาลเช่นเดิม โดยมีเพื่อนฝูงของเขาคอยอารักขาคุ้มกันตลอดทั้งขาไปและขากลับ

วันที่ 12 ตุลาคม ปี พ.ศ.2536 

นายคงศักดิ์ ลิ่วมโนมนต์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี เดินทางไปอ่านสำนวนการสอบสวนเรื่องของศยามล ที่ สภ.อ.บ้านลาด ก่อนที่จะสั่งให้เจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่นำสำนวนการสอบสวนนี้ไปหารือต่อที่ท่านผู้ว่าฯ โดยไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดใด ๆ ให้สื่อมวลชนทราบ

การสอบสวนคดีใช้เวลาค่อนข้างนาน และกินเวลาไปถึงครึ่งเดือน จนในที่สุด วันที่ 15 ตุลาคม ปี พ.ศ.2536 เจ้าหน้าที่มีหลักฐานมากพอที่จะมัดตัวหนึ่งในผู้ต้องหาคดีฆ่าศยามลได้เป็นคนแรก คือ ส.ต.อ.แผ่ว ภูเต็ง เจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดนที่ 14 สังกัดค่ายพระมงกุฎเกล้า จ.ประจวบคีรีขันธ์

เขาถูกจับกุมในขณะที่เดินทางมาขึ้นศาลจังหวัดเพชรบุรี เพื่อไปรับคำฟ้องถึง 5 ข้อหา และเป็นคดีค้างเก่าสมัยที่เขาทำงานอยู่ที่ สภ.กิ่ง อ.แก่งกระจาน ข้อหามีอาวุธและกระสุนครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต พกอาวุธเข้าเมืองและหมู่บ้านโดยไม่มีเหตุอันควร เมาสุรา และก่อความวุ่นวาย ยิงปืนขึ้นฟ้าภายในหมู่บ้าน และปลอมแปลงเอกสาร

และแน่นอน ส.ต.อ. แผ่ว ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา  ทางตำรวจก็สู้ด้วยหลักฐานและพยาน เพราะมีคนเห็นว่า ส.ต.อ.แผ่วนั้นมีความสนิทสนมกับผู้บงการในฐานะผู้มีพระคุณที่ต้องทดแทน

มีพยานเห็นว่าเขาเป็นคนที่นั่งรถผู้ตายในวันที่เกิดเหตุด้วย แถมมีคดีทำร้ายร่างกายคนอื่นเพียบ และยังเป็นญาติกับนายโก ภู่เต็ง อดีตมือปืนชื่อดัง ของ ส.ส.จังหวัดเพชรบุรี อีกด้วย

ทั้งนี้ยังมีสิ่งที่ตำรวจให้ความสนใจ คือ นางตา ภู่เต็ง ซึ่งเป็นภรรยาของ ส.ต.อ.แผ่ว อดีตนางพยาบาลที่มีความสนิทสนมกับนายแพทย์บัณฑิตเป็นอย่างดี เข้ามาหาสู่กันเป็นประจำ และยังสืบพบด้วยว่า…

ส.ต.อ.แผ่ว ติดหนี้บุญคุณแพทย์บัณฑิต ซึ่งเขาขอความช่วยเหลือโดยการให้นายแพทย์บัณฑิตเป็นพยานในการตรวจและออกใบรับรองแพทย์ ในคดีที่เขายิงปืนขึ้นฟ้าอีกด้วย

วันที่ 16 ตุลาคม ปี พ.ศ.2536 เวลา 17:30 น.

หลังตำรวจจับกุมผู้ต้องสงสัยคนแรกได้ นายแพทย์บัณฑิตก็ออกมาให้สัมภาษณ์อีกครั้ง และยืนยันเช่นเดิมว่าตนเองบริสุทธิ์ และขออยู่หัวหินต่อไปโดยไม่คิดหนีไปไหน และย้ำว่าเขาไม่รู้จัก ส.ต.อ.แผ่ว แต่อย่างใด

ช่วงค่ำของวันเดียวกันนั้น มีกระแสข่าวออกมาว่า มีการออกหมายจับนายแพทย์บัณฑิต ร้อนรนไปถึงญาติพี่น้องของนายแพทย์บัณฑิตต้องโทรศัพท์ไปหาผู้หลักผู้ใหญ่ เพื่อสอบถามข้อเท็จหรือว่าผลเป็นอย่างไร

วันที่ 19 ตุลาคม ปี พ.ศ.2536

ตำรวจสามารถจับกุมผู้ต้องหารายที่สองได้ คือ นายบรรจบ นิลห้อย อดีตนักข่าวหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นจังหวัดเพชรบุรี และเป็นเพื่อนของ ส.ต.อ.แผ่ว

มีพยานปากเอกหลายปากยืนยันว่า นายบรรจบ ติดรถไปกับรถปิคอัพที่ขับตามรถของศยามลในคืนเกิดเหตุ ซึ่งกำลังหนีการจับกุมหลังจากได้ยินข่าวการถูกจับกุมของ ส.ต.อ.แผ่ว เพียงวันเดียว

กุญแจสำคัญอยู่ที่ นายบรรจบ นิลห้อย เพราะเขายอมรับให้การสารภาพทุกข้อกล่าวหา จึงนำตัวไปสู่การตามหาตัวผู้ร้ายอีก 2 คน เพื่อที่จะนำตัวมาดำเนินคดีให้ได้โดยเร็วที่สุด

วันที่ 20 ตุลาคม ปี พ.ศ.2536 

เจ้าหน้าที่ตำรวจ นำตัว นายบรรจบ นิลห้อย ไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพและชี้จุดเกิดเหตุ หลังจากนั้นก็นำไปสอบสวนเพื่อค้นหาตัวคนร้ายอีก 2 คน

และในวันเดียวกันนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการจับกุมนายแพทย์บัณฑิต ที่โรงพยาบาลหัวหิน ภายในห้องพักแพทย์ วอร์ด 3 แผนกผดุงครรภ์ โดยพ่อของนายแพทย์บัณฑิตได้รีบติดตามมาอย่างกระชั้นชิด หลังได้ทราบข่าว

ตำรวจนำตัว นายแพทย์บัณฑิต ไปสอบสวนอย่างหนัก โดยการปิดห้องและไม่เปิดเผยรายละเอียดใด ๆ แต่มีการประกาศว่า จะแถลงความคืบหน้าของคดีภายในเวลา 14:00 น. ที่ห้องประชุมพริบพรี จ.เพชรบุรี

เวลาต่อมา มีการแถลงข่าวการจับกุม นายแพทย์บัณฑิต ทางตำรวจมีหลักฐานที่มัดตัวเขาไว้อย่างแน่นหนา โดยไม่จำเป็นต้องรอให้

อ่านต่อตอน#จบ >>กดตรงนี้<<

Previous articleย้อนรอยคดีดัง ‘จ้างวานฆ่า’ สุดทะเทือนขวัญ บันทึกรัก ‘ศยามล’ ตอน1
Next articleย้อนรอยคดีดัง ‘จ้างวานฆ่า’ สุดทะเทือนขวัญ บันทึกรัก ‘ศยามล’ ตอนจบ