เคยสงสัยไหมว่าทำไมเราถึงต้องตั้งศพคนตายไว้นานถึง 7 วัน… เขาว่ากันว่า เพราะคนเรา หลังจากที่ตายจะไม่รู้ว่าตัวเองตาย วิญญาณจะยังคงล่องลอยไปทั่ว กว่าจะค่อยๆระลึกได้ และกลับคืนสู่ร่างเดิมในที่สุด
วันที่ 1 เราเดินทางไปงานศพลูกหอคนหนึ่ง ที่เคยอาศัยอยู่ในห้อง 307 เธอตายกะทันหันด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ เราไปพบกับพ่อแม่เธอที่งานศพ และนัดแนะวันที่จะพวกเขาจะมาขนข้าวของเธอออกไปจากห้อง
บรรยากาศงานศพดูเงียบเหงา ระหว่างกำลังนั่งฟังพระสวด ก็รู้สึกเหมือนมีใครกำลังจ้องเราอยู่ เป็นความรู้สึกแรงวาบ จนเราต้องหันไปมองหาสายตาคู่นั้นทั่วศาลา และก็พบผู้ชายคนหนึ่ง นั่งอยู่ในมุมอับบริเวณงานศพ เราจ้องเขา… เขาก็จ้องเราตอบ ก่อนที่เขาจะมีท่าทีอึดอัด …ลุกเดินออกไปจากงาน
วันที่ 2 ขณะเรานั่งทำงานอยู่ที่หอพักตามปกติในยามโพล้เพล้ ก็พบชายหนุ่มคนเดิมที่เจอในงานศพ เขาเดินเข้ามาหาเรา ยิ้มอย่างเกรงใจ ก่อนจะขอความช่วยเหลือ เขาบอกว่าเป็นเพื่อนเจ้าของห้อง 307 ที่เพิ่งตาย เคยให้เธอยืมสมุดเล็คเชอร์สำหรับเตรียมสอบ ตอนนี้…ใกล้สอบแล้ว และเขาอยากได้สมุดเล่มนั้นคืน เราเลยรับปากว่าจะขึ้นไปค้นให้ โดยให้เขารออยู่ที่ข้างล่างตึก เพราะนี่เป็นหอพักหญิง เขาก็พยักหน้า…
เราเดินขึ้นไปที่ห้อง 307 ไขประตู เข้าไปในห้องที่จัดอย่างเป็นระเบียบตาม เจอสมุดสีน้ำตาลเล่มนั้นอย่างง่ายดาย วางอยู่บนโต๊ะทำงานที่สะอาดเอี่ยม แต่พอเอื้อมมือไปจะหยิบ สมุดเล่มนั้นกลับพุ่งตกลงไปในที่ข้างโต๊ะ จนเราสะดุ้งเฮือก! เกือบจะกรีดร้องออกมา
เราค่อยๆชะโงกหน้าไปดูที่ข้างโต๊ะด้วยอารมณ์หวาดเสียว สมุดสีน้ำตาลวางตัวนิ่งอยู่กับพื้น มีรูปถ่ายเผยอออกจากขอบสมุด เราหยิบดู เป็นรูปเจ้าของห้อง 307 กับผู้ชายที่ยืนรออยู่ด้านล่าง ในรูป…ท่าทางพวกเขาสนิทกัน เหมือนจะไม่ใช่แค่เพื่อนธรรมดา…
เราถือสมุดสีน้ำตาลเล่มนั้น…ลงมาใต้หอพัก แต่ก็ไม่พบผู้ชายคนนั้น …เขาหายตัวไป
วันที่ 4 ขณะที่เรากำลังเคลียร์บัญชีอยู่หน้าหอพัก ผู้ชายคนนั้นก็มาปรากฏตัวที่หน้าหออีก พร้อมกับขอโทษที่หายไปกะทันหันในวันนั้น ก่อนจะเอ่ยถามถึงสมุดเล่มสีน้ำตาล เขาถามว่าเราหาเจอไหม
“อ๋อ หาไม่เจอนะค่ะ เดี๋ยวไว้จะลองหาให้ใหม่นะคะ” ระหว่างที่พูดไปอย่างนั้น มือเราก็เผลอเลื่อนไปแตะลิ้นชักโต๊ะทำงานโดยไม่รู้ตัว และใต้ลิ้นชักโต๊ะทำงานนั่น มีสมุดเล่มสีน้ำตาล วางอยู่
วันที่ 3 เรานอนอยู่ในห้องของตัวเอง และสมุดสีน้ำตาลเล่มนั้น วางอยู่ที่หัวเตียง เราตั้งใจจะมอบให้ชายหนุ่มคนนั้น หากเขากลับมาอีกครั้ง แต่ถ้า เขาไม่กลับมาล่ะ เราจะทำยังไงกับสมุดเล่มนี้ดี…
จังหวะนั้นลมจากพัดลมพัดผ่าน สมุดเล่มนั้นพลิกหน้าเร็วพรึ่บ เราเห็นข้อความข้างในแวบๆประโยคหนึ่ง ‘ไม่อยากเชื่อเลย ว่าเขาจะพูดแบบนั้นกับเรา’ เราสะดุดใจข้อความนั้นมากทีเดียว
วันที่ 5 พ่อของเจ้าของห้อง 307 ได้เข้ามาขอขนย้ายข้าวของลูกสาวออกจากหอพัก เราต้องมายืนเฝ้าเพื่อไม่ให้พวกเขาขนของที่เป็นทรัพย์สินของหอพักติดออกไป ระหว่างที่ยืนรอคนขนของ เรามองหน้าพ่อเธอ ยังมีอาการซึม ยังเศร้าจากการสูญเสียลูกสาว ไม่แน่ใจว่า จะมอบสมุดเล่มนั้นให้เขาดีหรือไม่
เมื่อข้าวของทุกชิ้นในห้อง 307 ย้ายไปอยู่บนหลังรถกระบะ เราก็รวบรวมความกล้าเดินไปหาพ่อผู้ตาย และบอกว่า…
“คือ…วันก่อนมีผู้ชายมาหาหนู มาถามหาของในห้อง 307 บอกให้หนูช่วยไปเอาให้หน่อย แต่หนูยังไม่กล้าเอาของส่วนตัวของน้องให้เขา ว่าจะมาเช็คกับคุณพ่อก่อนว่า น้องที่อยู่ห้อง 307 นี่เคยมีแฟนหรือป่าว” ยังพูดไม่ทันจบ พ่อของเธอก็แทรกขึ้นห้วนๆ
“ลูกผมไม่เคยมีแฟน เพื่อนก็เป็นผู้หญิงหมด”
“ค่ะ…” เราไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ได้แต่ยืนเงียบอึ้ง กำสมุดเล่มสีน้ำตาลในมือไว้ในมือ
พ่อของเธอจากไป พร้อมกับข้าวของในห้อง 307 ทั้งหมด เว้นแต่สมุดบันทึกสีน้ำตาลที่ยังอยู่กับเรา ความรู้สึกแบบนั้นเกิดขึ้นอีก วาบ…เหมือนมีใครจ้องอยู่ บนถนนอีกฟากเราเหมือนจะเห็นเขาแวบๆ
วันที่ 6 เราเดินกลับจากมหาวิทยาลัยกำลังจะเข้าหอ มองขึ้นไปบนชั้นสามเห็นไฟเปิดอยู่ทุกห้อง พลันรู้สึกประหลาด ที่ห้องมุมซ้ายสุด เท่าที่จำได้มันคือตำแหน่งของห้อง 307 ซึ่งหน้าต่างเปิดอยู่ แต่วันนั้น…วันที่พ่อของผู้ตายขนของออกจากห้อง เราจำได้ว่าปิดหน้าต่างหมดแล้วเรียบร้อย หรือว่า!
อึดใจถัดมา เรารีบวิ่งขึ้นไปชั้นสาม ไขประตูเข้าไปในห้อง และเห็น …เขานั่นเอง เขากำลังรื้อห้องของเธออยู่
“คุณคะ!” เราค่อยๆรวบรวมสติเพื่อหาทางคุยกับเขาดีๆ “หาไปก็ไม่มีประโยชน์ค่ะ เพราะว่าพ่อเธอมาขนของออกไปเมื่อวันก่อน” …พูดพลางกระชับมือถือแน่น เตรียมโทรหาตำรวจ
“ผม… ผม… ต้องการสมุดเล่มนั้นคืนจริงๆ” เขาค่อยๆลุกขึ้นยืน จ้องเรา …น้ำตานองหน้า
“ทำไมคุณถึงต้องการสมุดเล่มนั้นคืน ช่วยบอกหน่อยได้ไหม”
“เพราะมัน… มัน…” เขาเริ่มตะกุกตะกัก แล้วก็หยุดพูดไปเสียเฉยๆ
“เพราะมันมีความลับของคุณอยู่ใช่ไหม” เราตัดสินใจพูดออกมา
เขาเบิกตาจ้องเราอย่างตะลึง… เรารู้ทำไมเขาถึงต้องการสมุดเล่มนั้น เพราะว่าในสมุดบันทึกเล่มนั้น มีความลับของเจ้าของห้อง 307 ที่ตายไปซ่อนอยู่ เจ้าของห้อง 307 เรียนอยู่คณะแพทย์ปี 1 มีคนรักเป็นรุ่นพี่ปี 4 พวกเขาคบกัน แล้วเธอก็เกิดตั้งท้องขึ้นมา เขาซึ่งห่วงอนาคตตัวเองมากกว่า อยากให้เธอไปทำแท้ง เธอไม่กล้าเพราะคิดว่ามันบาปและกลัวว่าจะต้องตายเพราะตกเลือด แต่เขายังพยายามกดดันเธอ
‘มึงจะไปทำแท้งเอง หรือจะให้กูทำให้’ นั่นคือคำที่เขาขู่กรรโชกเธอ หนึ่งอาทิตย์ก่อนเธอตาย
“คุณฆ่าเธอเหรอ” เราถอยหลังกรูด ขณะที่มือกดสายตรงไปหาตำรวจ
เขาตะโกนคั่นจังหวะ “ขอโอกาสให้ผมอธิบายบ้างเถอะ” แล้วเขาก็เล่าความจริงวันเกิดเหตุให้ฟัง …
วันนั้นเขานัดเจอเธอ แอบให้ยาหลอนประสาทแก่เธอ เพื่อจะพาเธอไปคลินิกทำแท้ง เธอดันคืนสติขึ้นมากลางทาง ระหว่างรถอยู่บนทางด่วน เธอเปิดประตู เขาตกใจเหยียบเบรก เธอเปิดผัวะแล้ววิ่งลงจากรถ ซึ่งขณะนั้นมีรถคันหนึ่งกำลังวิ่งสวนมาพอดี!
“มันเป็นอุบัติเหตุ ผมไม่ได้ตั้งใจ” เขาทรุดลงไปร้องไห้กับพื้น ขณะนั้นเราได้ยินเสียงรถตำรวจดังใกล้หอพักเราเข้ามาเรื่อยๆ
“คุณรีบออกไปจากที่นี่ซะเถอะ ก่อนที่ตำรวจจะขึ้นมาถึง” เราโกหก…จริงๆแล้วเรายังไม่ได้แจ้งตำรวจ
“คุณ…ไม่เอาเรื่องผมเหรอ”
“ไปงานเผาศพเธอพรุ่งนี้ สารภาพความจริงกับพ่อแม่ของเธอซะเถอะ แล้วเรา…จะเอาสมุดเล่มนี้ไปให้คุณที่งานศพ”
เขารับปาก ยอมออกจากหอพักอย่างว่าง่าย โดยปีนออกทางหน้าต่างซึ่งเป็นทางที่เขาปีนเข้ามา ก่อนไปเขาทิ้งท้ายว่า “ขอบคุณมากๆนะ หลังจากเผาศพเธอในวันพรุ่งนี้ ผมจะเอาสมุดเล่มนี้ไปหาตำรวจ”
เราพยักหน้า มองเขาลับหายไปกับความมืดของช่วงตึก พยายามบอกตัวเองว่าคงตัดสินใจไม่ผิด
วันที่ 7 เรากับเขายืนอยู่ข้างกัน ขณะที่ญาติๆของเธอทยอยกันขึ้นไปดูหน้าเธอเป็นครั้งสุดท้ายก่อนประชุมเพลิง เราถามเขาว่าจะขึ้นไปดูศพเธอไหม เขาพยักหน้า เราส่งสมุดสีน้ำตาลเล่มนั้นให้เขา ยังไม่ทันที่เขาจะได้ก้าวเท้าแรกขึ้นไป ดันมีเสียงเอะอะดังมาจากด้านบนเมรุเสียก่อน เรามองขึ้นไป เห็นพ่อเจ้าของห้อง 307 พุ่งเข้าไปผลักไหล่ผู้หญิงคนหนึ่ง แต่พวกญาติๆพากันดึงตัวไว้ ก่อนที่พ่อของผู้ตายจะตะโกนลั่น
“เพราะลูกคุณ ทำให้ลูกผมต้องตาย ยังจะมีหน้ามางานศพอีกเหรอ”
“เราแค่อยากมาขอขมาศพแทนลูกเท่านั้น” ผู้หญิงแปลกหน้ากล่าวทั้งน้ำตา
เขาที่ยืนข้างๆเรา กล่าวหน้าซีดๆ “นั่น… นั่น…แม่ผมเอง”
พ่อเจ้าของห้อง 307 ยังมีอาการคลั่ง พยายามไล่แม่ของชายหนุ่มออกจากงาน กระทั่งญาติคนหนึ่งร้องขึ้นว่า
“พอเถอะ อย่าลืมสิ ลูกเขาก็ตายเหมือนกันนะ”
เลือดในกายเย็นเฉียบ ขณะเราค่อยๆหันไปมองชายหนุ่มคนที่อยู่ข้างๆ ที่มีสีหน้าเหมือนเพิ่งรำลึกอะไรออก “นั่น…ซี…นะ”
ภาพอุบัติเหตุในวันนั้นแล่นอยู่ในตาเขา ตอนที่เธอวิ่งลงจากรถ และมีรถคันหนึ่งกำลังสวนมา เขาวิ่งตามไปติดๆ และฉุดเธอออกจากถนนมาได้ฉิวเฉียด จากนั้น เขาบังคับเธอกลับขึ้นรถ แล้วขับรถออกไป แต่รถวิ่งไปได้ไม่เท่าไหร่ อยู่ๆเธอก็พุ่งเข้ามาแย่งพวงมาลัยเขา จนรถเสียหลัก และพุ่งตกจากทางด่วนไป
เขายิ้ม เลือดค่อยๆไหลพรากเป็นสาย ออกจากดวงตาสองข้าง
“ดีจัง ที่เราได้ตายไปพร้อมกัน”
ขอบคุณเจณิฌา พิทักษ์สุข
ติดตามอ่านเรื่องเล่าผีต่อได้ที่ คลังหลอน