Home เรื่องหลอนจากทางบ้าน <strong>เมากับผีหน้าเมรุ</strong>

เมากับผีหน้าเมรุ

<strong>เมากับผีหน้าเมรุ</strong>

บันทึกสถานที่หลอนวันนี้ ขอเล่าเรื่องหลอนๆของผมเองที่เกิดขึ้นจริง เมื่อประมาณสิบกว่าปีก่อน ณ เมรุเผาศพวัดคณที จังหวัดสุพรรณบุรี

ก่อนอื่นขอบอกก่อนเลยว่า จริงๆแล้ว ไม่ได้ต้องการสร้างกระแสทำให้ผู้อ่านคิดว่า ” วัดนี้ผีดุ”  เพราะที่ได้ไถ่ถามไปที่คนในพื้นที่แล้วก็ปกติสุขดี ไม่มีใครพบเจอวิญญาณใดๆ หรือก่อนหน้าที่พวกผมไปก็ยังไม่เคยมีใครเล่าถึงเหตุการณ์ที่ชวนขนหัวลุก หากจะมี ก็คงมีแต่พวกผมนี่ละที่ไปทำอะไร แผลงๆแล้วโดนดี

เรื่องมันมีอยู่ว่า วันหนึ่งผมได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนเมื่อสมัยเรียนชั้นมัธยมของผม คนหนึ่งที่ชื่อ แบงค์ โทรมาบอกบุญว่า ตนเองกำลังจะบวชเป็นพระที่วัดคณที ในจังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งเป็นบ้านเกิดของแบงค์ 

เมื่อได้ทราบข่าว ผมและเพื่อนอีก 5 คน สุ ธา เอฟ ตี้ อ๊อฟ จึงนัดกันเพื่อที่จะไปร่วมอนุโมทนาบุญในงานอุปสมบทครั้งนี้

เราทั้ง 6 คน เมื่อรู้ถึงเส้นทางการเดินทางแล้ว จึงซื้อตั๋วออกเดินทางด้วยรถโดยสารประจำทางชั้น 3 เริ่มต้นเดินทางตั้งแต่เก้าโมงเช้า ตามสไลต์รถโดยสารชั้น 3 ที่วิ่งไปเรื่อยๆจอดทุกป้าย กว่าจะถึงอู่จอดรถ ในตัวอำเภอก็เกือบห้าโมงเย็น หลังจากนั้นพวกเราจึงโทรศัพท์ติดต่อแบงค์ ที่รอรับอยู่ด้วยรถกระบะ เพื่อที่จะเดินทางไปสู่หมู่บ้านที่ตั้งของวัดคณที

หมู่บ้านนี้ลักษณะก็เหมือนหมู่บ้านตามต่างจังหวัดทั่วไป คือส่วนใหญ่จะเป็นบ้านไม้ใต้ถุนยกสูง หรือบ้างหลังก็เป็นลักษณะบ้าน 2 ชั้น ครึ่งปูนครึ่งไม้  

เมื่อถึงบ้านที่จัดงาน พวกเราก็ไม่รีรอลงจากรถแล้วรับการต้อนรับจากบรรดาญาติพี่น้องของแบงค์ แล้วพักผ่อนตามอัธยาศัย พอตกเย็นก็ทานข้าวปลาอาหารที่ทางเจ้าภาพจัดเตรียมไว้ให้

พอกินข้าวเสร็จ น้าต้อยซึ่งเป็นน้าของแบงค์ ก็เดินถือเบียร์มา 2 ขวด แล้ววางลงตรงแคร่ไม้หน้าบ้าน พร้อมออกปากชวนพวกเรา​ ให้มาร่วมดื่มด้วยกัน เป็นธรรมดาของวัยรุ่นอย่างพวกผมในตอนนั้น เรื่องเหล้าเบียร์มักจะต้องดื่มในงานบุญหรืองานเทศกาลต่างๆ 

เราทั้ง 6 คน รวมถึงน้าต้อย นั่งตั้งวงดื่มเบียร์กันอย่างออกรสออกชาติ หมดแล้วเอามาเพิ่ม หมดแล้วเอามาเพิ่ม จนสักประมาณสามทุ่ม ปรากฏว่าเบียร์ที่เตรียมมาก็หมด ทีแรกพวกเราก็กะว่าจะหยุดดื่มกันแล้ว เพราะว่าหลายๆคนก็เริ่มเมากันมากแล้ว

แต่ยังไม่ทันไร น้าต้อย ตะโกนเสียงดังด้วยความเมา “หลาน… เบียร์ที่นี่หมด ไม่เป็นไรเดี๋ยวเรากินกันต่อ ที่วัด​” พอได้ยินน้าต้อยพูดแบบนี้พวกเราก็เกรงใจ เลยพากันเดินตามน้าต้อย ตรงไปที่วัด ซึ่งก็ห่างจากบ้านประมาณ 3-4 กิโล 

พอเดินไปถึงที่วัด น้าต้อยก็เดินตรงไปที่ใต้ถุนศาลาการเปรียญ เพื่อจะไปหยิบเบียร์จากตู้แช่น้ำแข็งที่วางจัดเตรียมไว้สำหรับงานพรุ่งนี้

ส่วนพวกเราก็ยืนรอกันอยู่ตรงลานโล่งๆ​ บริเวณวัด ครู่หนึ่ง ผมก็เหลือบตาไปเห็นเพิงลักษณ์คล้ายศาลามีหลังคา ทางด้านซ้ายมือ พอดีมีเสื่อปูอยู่ตรงลาน ก็เลยพากันตรงเขาไปนั่งล้อมลงรอกัน

พอน้าต้อยมาก็บรรเลงดื่มกินกันต่อ ทั้งร้องเพลงเคาะขวดเบียร์ แซวกันเรื่องโน้นเรื่องนี้…จนเวลาผ่านไปสักประมาณ เที่ยงคืนเห็นจะได้ ระหว่างที่คุยกันอย่างสนุกสนาน จู่ๆ ก็มีลมหนาวยะเยือก พัดมาวูบ….ทำเอาพวกเราหยุดชะงักกันครู่ใหญ่ มองหน้ากันเลิ่กลั่กทำอะไรไม่ถูก แต่พักหนึ่งก็ร้องเพลงเคาะขวดกันต่อ

ผมยังจำได้ พอร้องถึงเพลง กัญชา ของวงคาราบาว ท่อนที่ว่า  “ชั่วชีวิตคิดสั้นทำไม เสพสิ่งจูงใจ ให้ร้ายแก่ตัวเราเอง​” …ครู่เดียวเท่านั้น ผมรู้สึกเหมือนไหล่ซ้ายผมขนลุกไล่ไปเรื่อยๆจนถึงต้นแขน  แล้วก็รู้สึกว่ามีคนนั่งอยู่เยื้องข้างหลัง  

ไม่ทันไรผมเหลือบไปมองด้วยหางตาเห็นเหมือนเป็นเงาของผู้ชายรูปร่างผอม กำลังนั่งยองๆ ปรบมือตามไปด้วย เหมือนเขากำลังร้องเพลงไปด้วย ตอนนั้นตกใจมาก แต่ก็ไม่อยากจะทำให้เพื่อนตื่นกลัว ก็เลยฝืนทนนั่งอยู่แล้วกระดกแก้วดื่มเบียร์เรื่อยๆให้เมาได้มากที่สุด 

พอเวลาผ่านไปสักระยะ ทุกคนเมาปลิ้น ธา กับ ผม นอนกลิ้งกันอยู่บนเสื่อ สุ ตี้ อ๊อฟ เอฟ น้าต้อย พากันลากสังขารของตัวเองไปนอนที่แคร่ใต้ศาลาการเปรียญ

ประมาณ ตีห้า เสียงเพลงงานบวชดังขึ้นเครื่องเสียงชุดใหญ่ปลุกพวกเราให้ตื่นขึ้น ผมตื่นมาทั้งที่ยังไม่​ส่าง พอลุกตัวขึ้นนั่งตั้งสติได้สักครู่ ก็จะลุกขึ้นยืน พอหันไปเห็นด้านหลังของผม ทำเอาผมส่างเมาทันที ภาพที่เห็นคือเมรุเผาศพ ซึ่งห่างจากเพลิงศาลา โล่งๆที่ผมยืนอยู่ไม่ถึง 20 เมตร ผมตกใจมาก ซึ่งพอผมหันไปหาไอ้ธา ท่าทางของมันเองก็ตกใจไม่แพ้ผม

ผมกับทาจึงรีบพากันเดินไปหา เพื่อนอีก 4 คน พร้อมพูดขึ้นว่า “เฮ้ยเมื่อวานเราแดกเหล้ากันหน้าเมรุ” ทุกคนมองหน้ากันแล้วพยักหน้าพร้อมกัน….

แปลกจริงๆ  เมื่อคืนทำไมเราทั้งหมดไม่มีใครเห็นเลยว่าหลังเพิงศาลาเป็นเมรุ ยังไม่ทันไร ไอ้ธาบอก “เมื่อคืนผีแม่งมาแดกเหล้าร้องเพลงกับเราด้วย ไอ้อ้นเมื่อคืน หลังมึง มีผีนั่งขัดสมาธิและนั่งยองๆสอง ด้านหลังไอตี๋มีอีกสอง​”

ผมหันไปที่น้าต้อย​ แกยังไม่ได้สติยังคงนอนสลบ มีแต่พวกเรา ทุกคนสร่างเมาทันที เรามองหน้ากัน พร้อมพยักหน้าตอบรับกัน เหมือนบอกกันว่า พวกเราทั้ง 6 คนต่างก็เห็นกันหมด ผมจึงก็บอกกับทุกคน  “เฮ้ยไม่ต้องเล่าให้ใครฟัง​”

หลังจากเสร็จงาน  เราทั้ง​ 6 คนก็เดินทางกลับ แล้วก็ไม่ได้เล่าให้ใครฟัง​ แม้แต่ไอ้แบงค์ ได้แต่เก็บเรื่องนี้ไว้ แล้วจำขึ้นใจว่าจะไม่ทำแบบนี้อีก ถือว่าวิญญาณที่มาร่วมวงกับเรายังปราณีกับพวกเรามาก ที่แค่มาล้อมวงด้วย ไม่ได้มาทำอะไรที่มันทำให้เราช็อคมากไปกว่านี้…

Cr. trueid.net | News collection

LEAVE A REPLY

Please enter your comment!
Please enter your name here