สัมภเวสีตามกลับบ้าน อย่าเรียกใครหรืออะไรกลับบ้านสุ่มสี่สุ่มห้า

สัมภเวสี

สวัสดีค่ะ เราชื่อ มีน เป็นคนต่างจังหวัด บ้านอยู่ใกล้ทะเลค่ะ แต่เป็นทะเลแหล่งชุมชนชาวประมงไม่ค่อยมีชายหาดเพราะเป็นสะพานเรือซะเยอะ

เรื่องมีอยู่ว่าเราและเพื่อนๆรวมตัวกันไปเที่ยวอำเภอใกล้ๆ ไปกัน 14 คน รถยนตร์ 3 คัน ไปนั่งปูเสื่อกินอาหารทะเลกันสนุกสนาน พอถึงเวลากลับ รถคันแรกกลับก่อนเพราะเพื่อนคนนึงติดธุระ เลยกลับกันไป 3 คน เหลือคนอีก 11 คน ที่เหลือก็ช่วยๆกันเก็บของเก็บขยะ 

เพราะเริ่มมืด ชายหาดตรงนั้นไม่ได้เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวเลยมีไฟไม่เยอะ รถคันที่ 2 ก็ขึ้นกันเต็ม 5 คน รถของเรามี 6 คน นั่งข้างหลัง 4 คน แต่เพื่อนบางคนยังเดินอืดอาดชักช้า ไม่ยอมขึ้นรถสักที เราเลยตะโกนไปว่า…

“เร็วๆ ใครจะไป รีบๆขึ้นรถเลยโว้ย อย่าช้า จะอยู่เป็นผีเฝ้าหาดรึไง”

ตอนพูดเราไม่ได้คิดอะไรเลยจริงๆค่ะ พูดเล่นเท่านั้น วันนั้นก็ขึ้นรถแล้วกลับกันปกติ ไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นเลย 

สองวันถัดจากนั้น เราตื่นเช้าเดินลงมาจากบ้าน แม่กำลังทำกับข้าวอยู่ในครัว เราอยู่กับแม่สองคนค่ะ ขณะที่กำลังนั่งกินข้าว แม่ก็ถามขึ้นมาว่า…

“เมื่อคืนนอนดึกจัง หิวหรอ เดินขึ้นลงบันไดบ่อยจัง”

เราก็บอกว่า “เปล่านะ นอนดึกอยู่ แต่ลงมากินน้ำแค่ครั้งเดียว” แล้วก็จบเรื่องนั้นไป ไม่ได้คิดติดใจอะไรทั้งแม่ทั้งลูก

เย็นวันนั้น ป้าข้างบ้านมาหา เขาจะมานั่งคุยเล่นกับแม่ประจำ ซึ่งเราก็นั่งอยู่แถวๆนั้น ป้าก็ถามเราว่าเพื่อนมาหาเหรอ เราก็บอกไม่มีนี่  ป้าบอก “อ้าว ตอนเดินมา มองขึ้นไปหน้าต่างห้องนอน ยังกับมีคนอยู่” คือหน้าต่างห้องนอนเรามองเห็นได้จากหน้าบ้าน 

มาถึงตรงนี้เราเริ่มใจไม่ดีแล้วค่ะ ไม่ชอบให้ใครมาทักแบบนี้ แต่ก็ยังไม่ปะติดปะต่อกับเรื่องที่แม่ทักตอนเช้า  เราจึงบอก “ป้าอย่าพูดแบบนี้สิ” ป้าแกก็บอก “สงสัยเงาต้นไม้ ป้ามองผิดเองอย่าคิดมาก”

ผ่านไปวันรุ่งขึ้น คราวนี้ตื่นมาก็โดนแม่บ่นว่า เดินขึ้นลงอะไรนักหนา ไม่หลับไม่นอน เดินเสียงดังยังกับช้าง (แม่ชอบว่าแบบนี้เวลาเดินเสียงดัง) เพราะชั้น 2 เป็นพื้นไม้บันไดไม้ บางทีลงเท้าแรงเสียงก็ดัง

แต่คราวนี้เราใจไม่ดีของจริง ๆ  เลยยืนยันไปว่า “แม่ มีนไม่ได้ลงมาเลยจริงๆ ไม่ได้ล้อเล่น นั่งเล่นคอม แล้วก็นอน” 

คราวนี้เราสองแม่ลูกเริ่มกังวลแล้ว เลยโทรไปเล่าให้ป้าคนเดิมฟัง แกก็ว่า “ว่าแล้ว ป้าไม่ได้ตาฝาด” หลังจากวางสายป้าแกก็เดินมาหาที่บ้าน แล้วบอกให้พวกเราจุดธูปเรียก “เขา” ขึ้นรถไปปล่อยวัด แล้วจะได้ทำบุญกรวดน้ำกันสักหน่อย 

คือป้าแกเชื่อเรื่องพวกนี้มาก แกเป็นขาประจำศาลาวัด (คือเวลาทำบุญตักบาตร ใครมาเร็วได้นั่งบนศาลา ส่วนใหญ่เป็นขาประจำ ใครมาช้านั่งข้างล่าง) พวกรุ่นป้าเขาเชื่อเรื่องแบบนี้กัน เขาก็จะมาเล่านู่นเล่านี่ให้กันฟังบ่อย 

มาถึงตอนนี้ เรานึกถึงเรื่องที่โน้ส อุดมเล่าในเดี่ยวเลย มีใครจำได้มั๊ย ที่พี่โน้สเล่าว่าพา “เขา” ไปส่งวัดแล้วรีบดริฟรถออกจากวัด กะว่า ถ้ามีผีเกาะหลังคารถอยู่ก็ต้องหลุด คือกลัวนะ แต่นึกถึงเรื่องพี่โน้สก็ขำ  ก็เลยว่าเอาก็เอา จุดธูปกับแม่คนละดอก แล้วเรียก

“มาด้วยกันนะ ไปอยู่วัดจะได้มีคนกรวดน้ำแผ่เมตตาให้บ่อยๆ มาอยู่บ้านฉันไม่ดีหรอก”

ตอนนั้นรู้สึกประหลาดตัวเองมาก ต้องมาทำอะไรแบบนี้ แต่จะให้ไม่ทำอะไรเลยคงไม่กล้าอยู่บ้านตัวเอง

พอไปถึงวัดก็เรียก “ลงมานะ มาอยู่วัดนะ” จากนั้นก็ไปไหว้พระ กรวดน้ำ แผ่เมตตา เสร็จแล้วก็ซื้อดอกไม้พวงมาลัยกลับไปไหว้พระที่บ้าน ไหว้เจ้าที่ ไหว้กระดูกตาที่ตั้งไว้ในบ้าน

คืนนั้นไปนอนกับแม่ สวดมนต์ก่อนนอน ก็สบายใจขึ้นมาละ เราก็หลับไป ไม่มีอะไร แต่พอตอนเช้าแม่ตื่นมาก็พูดเลย “แม่ว่าเขายังอยู่” ขนลุกสิคะ ทำไมแม่พูดแบบนี้

แม่บอกแม่ยังได้ยินเสียงคนเดินอยู่เลย คราวนี้เราภาวนาขอให้มันเป็นอย่างอื่น เช่น เสียงสัตว์ข้างนอก หรือ ไม้ลั่นอะไรก็ว่าไป แต่พออยู่กัน 2 คน เรากลับไม่ได้ยินอะไรเลย แต่แม่บอกว่า 

“แม่ว่าใช่ แม่รู้สึกไม่ดี แม่ฝันไม่ดีเลย” 

รุ่งเช้า ป้าข้างบ้านก็มารออัปเดตข่าวแต่เช้าเลย  แม่เราก็เล่าเรื่องให้ฟังเหมือนที่บอกเรา ใส่สีตีไข่ไปอีกหน่อย ตามสไตล์  ป้าก็บอก “หลานฉันไม่ยอมผ่านหน้าบ้านเธอเลย เมื่อเช้าไปส่งขึ้นรถโรงเรียน ต้องอุ้มถึงได้ไป” หลานป้าแกอายุ 4 ขวบค่ะ 

คือเรื่องจริงๆมันอาจจะมีแค่ 5 แต่แม่กับป้าพูดไป 10 ค่ะ แต่เรื่องมันไม่จบง่ายๆค่ะ

เราจำได้เย็นนั้นกลับเข้าบ้าน กำลังเริ่มมืดเลยค่ะ ถอยรถเข้าบ้าน มองกระจกหลังสลับกับกระจกข้าง แว๊บนึงหันไปมองกระจกหลัง เราเห็นว่าเป็นผู้หญิงเลย รายละเอียดจำไม่ได้ เพราะมองแว๊บเดียว มันเร็วมาก เหมือนพอเห็นเราก็รีบหลบตา ตอนนั้นมือเย็นเฉียบเลยค่ะ 

เราก้มหน้ามองตักตัวเอง สักพักหันไปมองใหม่ ก็ไม่เห็นแล้ว แต่เรามั่นใจว่าตาไม่ฝาด และคิดว่าสิ่งที่เราเห็นนั้นไม่ใช่คน 

เรารีบวิ่งเข้าบ้านไปหาแม่ มองแต่พื้น ไม่กล้าหันไปมองอย่างอื่นเลย  เห็นแม่นั่งคุยอยู่กับป้าคนเดิม จึงกระซิบบอกทั้งสองคนว่า “หนูเห็นจริงๆ”

แน่นอนทั้งแม่ทั้งป้าเชื่อทันทีค่ะ เราบอกคืนนี้ไม่อยากนอนที่นี่แล้ว  ป้าเลยชวนเรากับแม่ไปนอนบ้านป้า  เพราะแกมีห้องว่างอยู่ เราก็รีบไปทันที

เราสองคนแม่ลูกรีบอาบน้ำเปลี่ยนชุดนอนเลย หยิบของนิดหน่อย แล้วล็อคบ้านไปบ้านป้าเลย ซึ่งห่างไปแค่ 2 หลัง 

ป้าบอกพรุ่งนี้ จะโทรไปหาตาชิด ตาชิดแกเป็นสัปเปร่ออยู่วัดแถวบ้าน แกว่าแก “เห็น” ช่วยคนเรื่องพวกนี้บ่อยๆ

เราบอกทำไมไม่ให้หลวงพ่อมาทำบุญ ทำพิธีอะไร ป้าบอกหลวงพ่อไม่อยู่ ท่านไปอยู่ทางเหนือ (ท่านเป็นสายวัดป่า) ให้ตาชิดมาดูก่อน ถ้าตาแกว่าไง ค่อยให้พระท่านอื่นมาเป่าน้ำมนให้ 

คืนนั้นเรานอนไม่หลับเลยค่ะ ภาพเมื่อวันนั้นมันติดตามากๆ สวดมนต์ นอนกอดแม่แน่นเลย แม่ก็นอนไม่หลับเช่นกัน 

ความคิดเราตอนนั้นคือเราไม่เคยไปทำอะไรให้ใครเลย ทำไมต้องมาให้เห็น ทำไมต้องเป็นบ้านเรา กลัวก็กลัวน้ำตาจะไหล 

วันรุ่งขึ้น ป้าโทรไปตามตาชิดให้มาแต่เช้า แกก็รีบมาเลย พอตาชิดมาถึงแม่เราก็ไปเปิดบ้านให้ตาชิดเดินเข้าไปในบ้านก่อน ส่วนเราสามคนยืนอยู่ข้างนอก ไม่กล้าเข้าไปด้วย 

ตาชิดหันมาถามว่า “ไปชวนเขามาจากไหนนี่ เขายึดไว้แน่น เขาไม่ยอมไปเลย” พอได้ยินแบบนั้น เข่าอ่อนสิคะทีนี้ แม่เราเริ่มร้อนรนค่ะ บอก…

“จะมาอยู่บ้านเราได้ยังไง ฉันไม่ให้อยู่ พาไปส่งวัดก็ไม่ไป ไปอยู่ที่อื่นเถอะ ฉันไม่ให้อยู้บ้านฉัน”

แล้วตาชิดก็หันกลับไปตะโกนบอก “ไปได้แล้วไป๊ เจ้าของบ้านเขาไม่ให้อยู่ เขาไล่แล้ว จะพาไปอยู่วัดด้วยกัน อย่าทำเจ้าบ้านเขาเดือดร้อนแบบนี้”

ตาชิดเงียบไปครู่นึง ก่อนจะพูดขึ้นว่า “มันไม่ยอมไป ไปเชิญ ไปชวนมันเข้ามาล่ะสิ มันถึงมาได้ พูดดีๆไม่ฟัง สงสัยต้องทำพิธีขับไล่ละ” จากนั้นตาชิดก็ไปจุดธูปไหว้พระ ท่องคาถาอะไรไม่รู้ยาวเลย จนพวกเราท่องตามไม่ทันจึงได้แต่นั่งพนมมือ

ตอนนั้นเราพยายามทำใจให้เข็มแข็ง แต่ยอมรับว่ากลัว ไม่รู้จะทำยังไงเลยคิดไปถึงวันที่ไปเที่ยวหาด เพราะเราปากบอนรึเปล่า 

พอเสร็จพิธี ตาชิดก็บอก จะไปรับหลวงพี่มาทำพิธีสักหน่อย จะได้เป็นมงคล ให้ไปซื้อสายสิญธูปเทียน

จากร้านในตลาดมาซะ แกบอกน่าเสียดายหลวงพ่อไปธุดงค์ทางเหนือ บารมีท่านมาก ไม่งั้นจะให้ท่านพรมน้ำมนต์ให้พวกเรา

ตาชิดกลับไปวัด ไม่ถึงเที่ยงวัน ก็พาหลวงพี่มาทำพิธี วาดยันต์ขาวๆบนประตูหน้าบ้าน ตรงขื่อกลางบ้าน

ตรงบันได ตรงประตูห้องนอน ไหว้เจ้าที่ เอาของมาไหว้ชุดใหญ่กว่าปกติ  

มาถึงตอนนี้คำถามเดียวที่มีเลย คือ “เขาไปแล้วใช่มั๊ย”  ตาชิดแกก็บอก “อยู่ได้แล้ว ไม่มีอะไรแล้ว” เราก็บอก “ตาตอบไม่ตรงคำถาม”

ตาชิดบอก ดูแลสัมภเวสีเขาให้ดีๆ เขาจะให้โชคให้ลาภ พอได้ยินตาชิดพูดแบบนั้น แม่เรารีบพูดสวนเลยว่า “ไม่เอาๆ ไม่เอาโชคอะไรทั้งนั้น อยากอยู่กับลูก 2 คนพอแล้ว”

ตาชิดบอก “เขา ไม่อยู่ในบ้านแล้ว แต่ไปอยู่ไหนก็เรื่องของเขา ไม่ต้องห่วงแล้ว”

หลวงพี่ก็บอก “หมั่นสวดมนต์นะ หมั่นทำบุญ จะได้ไม่มีใครทำอะไรเราได้”

หลังจากนั้นเรื่องผีก็เหมือนจะจบ เพราะไม่มีใครเจออะไรในบ้านอีก แต่เรื่องคนไม่จบค่ะ แน่นอนว่าข่าวกระจายออกไป บ้านเราอยู่ใกล้ตลาด เพื่อนบ้านก็ผลันกันมานั่งคุยหน้าบ้านด้วยความเป็นห่วง เราก็ซึ้งใจค่ะ แต่ไม่เป็นห่วงอย่างเดียวน่ะสิ มีเรื่องมาเล่าด้วย เรื่องผีบ้านนั้นบ้านนี้ เรื่องยายคนนั้นเลี้ยงกุมาร ลุงคนนี้เล่นของ ที่ตรงโน้นผีดุ 

ช่วงนั้นเราพยายามไม่สนใจ ใช้ชีวิตเราไป  เรายังนอนกับแม่อยู่ เพราะอยู่คนเดียวแล้วมันหลอนๆ ได้ยินเสียงอะไรก็กลัว เล่าให้เพื่อนที่ไปเที่ยวทะเลด้วยกันฟัง ก็ขนลุกไปตามๆกันค่ะ

พอได้โอกาศช่วงวันหยุด เราเลยไปบ้านยายกันค่ะ แม่เราเป็นคนภาคเหนือตอนล่างภาคกลางตอนบน เราขับรถไปกันสองคน ออกแต่เช้ามืด ประมาณ ตี 4 กะว่าไปถึงบ้านยายก่อนเที่ยง

พอไปถึงบ้านยาย บ้านยายเป็นแบบใต้ถุนสูงค่ะ ยายก็นั่งคุยกับป้าๆอยู่ตรงพื้นหน้าบ้าน หั่นผัก หั่นเนื้อไปด้วย พอเราเข้าไปไหว้ยาย คำแรกที่ยายทักคือ

“พาใครมาด้วย” 

เราตัวแข็งเลย กลัวจะเป็นสัมภเวสีตนนั้น ส่วนแม่หน้าซีดแล้วค่ะ ป้าๆที่นั่งอยู่เห็นกันหมด ว่ามีผู้หญิงนั่งมาข้างหลังด้วย นึกว่าพาใครมาเที่ยว  เรานี่น้ำตาคลอแล้วค่ะ ใจเต้นรัวๆๆเลย มีไม่มีแรง คิดอะไรไม่ออกทั้งนั้น

แม่เลยเล่าเรื่องให้ฟังค่ะ ป้าๆน้าๆนี่รีบระดมความคิดเลยว่า ทำไงดี วัดไหนดี สำนักไหนดี แล้วอยู่ๆยายก็พูดเสียงดังลั่นเลย ใจความประมาณว่า

“อีผีห่านี่ มารังควานลูกหลานกุทำไม อีจัญไร พูดดีๆไม่ฟังใช่มั๊ย”

คือยายด่าผีแรงมากค่ะ จนเรากลัวเขาจะโกรธเลยค่ะ แต่คิดย้อนไปแล้วก็ขำ ยายเปรี้ยวมากจริงๆ

ยายบอก “ไปกลัวมันทำไม อีพวกอัปปรีย์จัญไร ต้องด่าให้มันชิบหาย”

พวกป้าๆก็ปรึกษากันเครียดเลยค่ะ ว่าจะเอายังไง หมอผี ร่างทรง ไปวัด หรือ ยังไงดี  แต่แม่อยากไปหาหลวงพ่อที่พูดถึงข้างต้นค่ะ ที่ท่านอยู่เชียงราย ก็ว่าจะขับรถไป ไม่รู้ท่านจะอยู่วัดรึเปล่า แต่อยากไป จึงโทรไปหาตาชิด จนได้ชื่ออำเภอชื่อวัด ที่ท่านจำวัตรอยู่มา ก็เลยตกลงจะยกกันไปหลายคน ทั้งยายทั้งป้าๆน้าๆ 2 คันรถ

พอวันเดินทาง ขับออกจากบ้านยายได้ไม่ไกล ได้ยินเสียงแปลกๆเลยลองจอดรถดู ปรากฏยางแตกไปแล้วค่ะ โชคดีไม่เป็นอะไร  แล้วที่ไปกันก็มีแต่ผู้หญิงกับคนแก่ เปลี่ยนยางก็ไม่เป็น ป้าก็เลยโทรเรียกลูกชายให้มาเปลี่ยนยางด่วนเลย 

ระหว่างรอ ยายก็ยังด่าผีอยู่ ตอนนั้นอยากบอกยายว่า พอเถอะ หนูกลัว แต่ยายไม่กลัวเลยจริงๆค่ะ 

“มึงลองดีกับกุนะ อยากให้กุแช่งใช่มั้ย จะเอาให้ผุดไม่ได้ผุได้เกิดเลย” 

คือแกพูดไปก็ด่าไปเรื่อย ระหว่างทางเราเลยแวะไหว้หลวงพ่อเพชรที่ยายนับถือมานาน คือวัดไหนใหญ่ แวะหมด 

เราพักกลางทางหนึ่งคืน ที่ลำปาง ป้าเราก็บอก นอนไม่หลับเลย มาเป็นเสียง เป็นกลิ่น ทั้งคืน แต่เรา ยาย กับแม่ไม่เจออะไร ถือว่าโชคดี ไม่งั้นจิตหลุดแน่ๆ

แต่ก็เพราะยายนี่แหละ ที่ทำให้เรากับแม่อุ่นใจ เพราะยายไม่กลัวไม่หวั่นไหวเลย ยายบอกยายไม่กลัว ยายไม่เคยทำอะไรใคร ยายสวดมนต์ทุกคืนให้คุณพระคุณเจ้าคุ้มครองลูกหลาน ยายมั่นใจพวกนี้มันทำอะไรเราไม่ได้ 

พอเราไปถึงเชียงราย ก็หาที่พักนอนในตัวจังหวัดอีกหนึ่งคืน แล้วค่อยไปวัดวันรุ่งขึ้น พอรุ่งเช้าก็ออกเดินทาง ซึ่งวัดอยู่ไกลมาก เห็นว่าระแวกนั้นมีชาวเขาอยู่เยอะ แต่ไม่มีวัดเลยไปสร้างไว้  พอไปถึงโชคดีมากได้เจอหลวงพ่อ จึงเตรียมสังคทานไปถวายชุดใหญ่

หลวงพ่อท่านบอกว่า ไม่มีเครื่องรางของขลังให้นะ แต่แจกหนังสือสวดมนต์เล่มเล็กๆมาให้หมั่นสวดมนต์เป็นกิจวัตร สวดแล้วทำสมาธิด้วย ทำบุญกรวดน้ำแผ่เมตตา ทำแค่นี้ แต่แผ่ให้สัมภเวสีสม่ำเสมอ ไม่ต้องกลัวอะไร เรากับเขาอยู่คนละโลก ถ้าเรารักษาศีลของเราไว้ให้สูง ไม่ต้องกลัวอะไรเลย

พวกป้าๆก็ผิดหวังนิดหน่อยเพราะไม่ได้เครื่องรางอะไรมาบูชาให้สบายใจเลย  หลวงพ่อท่านก็เลยให้สายสินมาผูกข้อมือ ท่านบอก ไม่ต้องไปยึดเหนี่ยวกับวัตถุ แค่พระพุทธรูปที่เรามีกันทุกบ้าน ก็เกินพอ คือท่านสอนดีมากจริงๆ

เรากับแม่ตั้งใจเลยว่าจะสวดมนต์ก่อนนอนเป็นนิสัย ไปทำบุญให้บ่อยขึ้น ถามว่าหลังจากนั้นเจออะไรอีกมั๊ย ไม่เจอ แต่กลัวมั๊ย ก็กลัว แต่ก็จะพยายามสวดมนต์ บางทีฟุ้งซ่านนอนไม่หลับก็สวดมนต์วนไปๆ จนหลับ

ตอนนี้กลับมาบ้าน ใช้ชีวิตเหมือนเดิม นอนห้องใครห้องมัน และไม่ได้เจออะไรอีกเลย…และนี่คือเรื่องราวทั้งหมดของเรา

ขอบคุณที่มา พันทิปดอทคอม ห้องเรื่องเล่าสยองขวัญ

Previous articleทวงของคืนตอนจบ สาเหตุของผีทางคืน
Next articleพ่ อ จ ะ เ อ า เ มี ย…ลู ก จ ะ เ อ า แ ม่