Home กระทู้ผีพันทิป ทวงของคืน หัวหน้าเอาของลูกค้ามาขาย เจอเจ้าของตามมาทวงคืน

ทวงของคืน หัวหน้าเอาของลูกค้ามาขาย เจอเจ้าของตามมาทวงคืน

ทวงของคืน หัวหน้าเอาของลูกค้ามาขาย เจอเจ้าของตามมาทวงคืน

ตัวของขมนั้นเป็นพนักงานบัญชีให้กับบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ลูกค้าส่วนใหญ่ของบริษัทนั้นมักจะเป็นชาวต่างชาติ  ซึ่งเหตุการณ์ที่จะเล่าต่อไปนี้ เป็นอีกหนึ่งในเหตุการณ์ที่ขมจำได้ดีและไม่มีวันลืม…

ในกลางเดือนกันยายนวันหนึ่ง เจ้านายซึ่งเป็นคนอังกฤษของขมเดินยกกล่องกระดาษสีน้ำตาลกล่องใหญ่ขึ้นมาวางไว้ที่หน้าห้องบัญชี ก่อนจะเปิดประตูเข้ามาเรียกให้คนในห้องลงไปช่วยกันขนของ ด้วยความที่ถูกเจ้านายสั่ง ขม พี่ยา และพี่แอนก็รีบลงไปช่วย  โดยของที่ช่วยกันขนขึ้นมานั้นก็เป็นกล่องกระดาษสีน้ำตาลกล่องใหญ่เหมือนกับกล่องแรกที่เจ้านายยกขึ้นมา 

แต่ละกล่องค่อนข้างหนัก ขมและพี่ยาเลยช่วยขนกันสองคน ส่วนพี่แอนก็ช่วยเจ้านายขนขึ้นมา หลังจากขนมาวางรวมกันเสร็จ โทรศัพท์ของเจ้านายก็มีสายเข้ามา เจ้านายหันมาพูดขอบคุณที่ช่วยขนของ ก่อนจะรีบรับสายที่โทรเข้ามาและเดินกลับไปยังห้องทำงานตัวเอง

ขม พี่ยา และพี่แอน มองดูบรรดากล่องใหญ่ที่ขนขึ้นมาวางด้วยความสงสัย แต่เพราะเป็นของที่เจ้านายขนมา เลยไม่กล้าที่จะแอบเปิดดู ทั้งสามคนเลยเลิกสนใจและเดินกลับไปทำงานต่อ

ซึ่ง…

เย็นในวันนั้น ตอนที่เลิกงาน ด้วยความที่ขมเป็นน้องเล็กสุด เลยได้รับหน้าที่ให้เป็นคนคอยล็อกประตูห้องบัญชี พอถึงเวลา พี่ยาและพี่แอนก็เดินออกไปจากห้องก่อน 

ปกติแล้วพี่ยามักจะยืนรอขมล็อกประตูห้องให้เสร็จก่อน ถึงจะเดินลงไปข้างล่าง แต่เพราะวันนั้นแฟนพี่ยามารับเร็ว ด้วยความเกรงใจประกอบกับที่ขมตั้งใจว่าจะเข้าห้องน้ำก่อนลงไปข้างล่าง ขมเลยบอกให้พี่ยาลงไปก่อนเลย เดี๋ยวจัดการอะไรเสร็จแล้วจะรีบตามลงไป

ซึ่งห้องน้ำนั้นอยู่ตรงข้ามกับกล่องของที่เจ้านายยกมาวางไว้พอดี ขมมองดูบรรดากล่องที่วางเรียงกันเป็นระเบียบอย่างไม่ใส่ใจมากก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไป

ในช่วงที่กำลังทำธุระส่วนตัวอยู่ในห้องน้ำอยู่นั้น ขมได้ยินเสียงเหมือนคนเดินไปเดินมาที่หน้าห้องน้ำ ขมคิดว่าคงเป็นพี่พนักงานคนที่รับผิดชอบปิดประตูออฟฟิศ คงขึ้นมาเช็คว่าพนักงานคนอื่นๆ กลับบ้านหมดรึยัง

สักพักที่ประตูก็มีเสียงเคาะดังขึ้นมาสองสามที ขมเลยรีบร้องบอกไปว่า “ขมเข้าอยู่ค่ะ! เดี๋ยวจะลงไปแล้ว” หลังร้องบอกเสร็จขมก็รอฟังเสียงคนข้างนอกตอบกลับมา แต่ก็เงียบ ไม่มีใครตอบกลับมา ขมเลยรีบจัดการตัวเองให้เรียบร้อยและเปิดประตูออกมา ข้างนอกเริ่มมืดลงแล้ว บรรยากาศข้างบนนี้เริ่มวังเวง

ขมเดินมาที่ราวบันไดแล้วมองขึ้นไปชั้นบนกับมองลงไปชั้นล่างเพื่อเช็คว่ามีใครกำลังเดินอยู่มั้ย แต่ทุกอย่างกลับเงียบเชียบ ไม่มีเสียงของคนเดินเหมือนอย่างตอนแรกที่ได้ยิน 

ขมมองดูรอบๆ ด้วยความสงสัยและกังวล  ในใจก็เริ่มคิด หรือว่าจะโดนอีกแล้ว? เพราะชั้นที่ขมทำงานนั้นคือชั้นสาม โดยปกติถ้ามีคนขึ้นลงบันได มักจะมีเสียงคนเดินเสมอ ต่อให้จะเดินลงไปที่ชั้นล่างแล้วก็ตาม ยังไงก็ต้องมีเสียงรองเท้าแตะที่ใส่ภายในออฟฟิศดังขึ้น

ด้วยความที่คุ้นเคยกับเรื่องแปลกๆ อยู่บ่อยๆ ขมเลยตัดสินใจรีบวิ่งลงไปข้างล่างโดยทันที จะอะไรยังไงค่อยว่ากันอีกทีตอนที่มีคนอยู่เยอะๆ ดีกว่า ซึ่งจังหวะที่ขมวิ่งลงไปจะถึงชั้นสอง ขมเหมือนเห็นคนยืนอยู่ที่หน้ากล่อง ขมรู้สึกขนลุกขึ้นมาทันที แต่ก็ไม่กล้าปักใจเชื่อกับสิ่งที่เห็น เพราะอาจจะตาฝาดเพราะมุมมองที่เห็นด้วย

พอลงไปชั้นล่าง พนักงานคนอื่นๆ ก็กลับกันไปหมดแล้ว ขมเลยรีบเดินมายังที่สแกนนิ้ว แล้วก็เจอกับพี่พนักงานที่รับผิดชอบปิดประตูออฟฟิศ ขมเลยลองถามพี่เขาไปดูว่า 

“เมื่อกี้พี่ได้ขึ้นไปข้างบนรึเปล่าคะ” 

พี่พนักงานทำหน้างงๆ ก่อนจะส่ายหน้าและตอบว่า “ไม่นะ พี่กำลังเก็บของข้างล่างอยู่ เพิ่งเก็บเสร็จเนี่ย ข้างบนไม่มีใครแล้วใช่มั้ย?” 

คำตอบของพี่พนักงานทำเอาขมรู้สึกขนลุกอีกครั้ง ถ้าไม่ใช่พี่พนักงานคนนี้ แล้วเมื่อกี้ที่ได้ยินเสียงคนเดินกับเสียงเคาะประตูล่ะ…

แล้วขมก็นึกถึงภาพที่เห็นเมื่อกี้ตอนลงมาจะถึงชั้นสอง…

ขมรีบส่ายหน้าพร้อมกับรีบตอบกลับไปว่า “ไม่มีใครแล้วค่ะ” พี่พนักงานพยักหน้าก่อนจะเดินขึ้นไปชั้นบนเพื่อเช็คประตูหน้าต่างชั้นบนอีกครั้ง ขมบอกลาพี่พนักงานคนนั้นไล่หลังก่อนจะรีบสแกนนิ้วออกงานและรีบกลับหอทันที

เช้าวันถัดมา ขมก็มาทำงานตามปกติ ตอนทักทายกับพี่ยาก็ลังเลว่าจะเล่าเรื่องที่เจอเมื่อวานให้พี่ยาฟังดีมั้ย เพราะปกติเวลาเจออะไรแปลกๆ ก็มักจะเล่าให้พี่ยาฟังอยู่ตลอด แต่คิดอีกทีเรื่องที่เจอก็แทบจะไม่มีอะไร  ขมเลยเลือกที่จะเก็บเรื่องนี้ไว้ในใจคนเดียว ไม่เล่าให้ใครฟังดีกว่า

ช่วงพักเที่ยง ตอนที่กำลังจะลงไปทานข้าวเที่ยงกันนั้น เจ้านายเดินขึ้นมาพอดี ด้วยความสงสัยที่เก็บไว้ตั้งแต่เมื่อวาน พี่ยาเลยเดินเข้าไปถามกับเจ้านายว่าของในกล่องคืออะไรหรอ เจ้านายก็ตอบพี่ยาไปสั้นๆ ว่า “เป็นของลูกค้า” เหมือนเห็นว่าพี่ยายังสงสัย เจ้านายเลยถามพี่ยาว่า “ยูอยากดูมั้ย” ก่อนจะเริ่มเปิดกล่องที่อยู่ใกล้ๆ ออกมาให้ดู

ซึ่งของภายในกล่องนี้เป็นพวกเสื้อผ้าชุดลำลองทั่วๆ ไป มีทั้งที่เป็นแบรนด์เนมและไม่ใช่แบรนด์เนม พนักงานคนอื่นๆ ที่เดินขึ้นมาพอดี เห็นของข้างในก็สนใจและเริ่มทยอยเข้ามาดูใกล้ๆ 

พอเห็นว่ามีคนสนใจเยอะ เจ้านายก็ประกาศออกมาว่าของในกล่องนี้ขายทั้งหมด ใครสนใจชิ้นไหนก็หยิบมาถามราคาได้ ซึ่งแน่นอนว่าราคาย่อมถูกมากอยู่แล้ว

ขมนึกถึงเหตุการณ์ที่เจอเมื่อวาน เลยแอบเดินไปถามพี่ตรี เลขาของเจ้านายว่า “พี่ตรีๆ บอสบอกว่าของพวกนี้เป็นของลูกค้า แล้วเอามาขายแบบนี้ ลูกค้าไม่ว่าอะไรหรอ” 

พี่ตรีมองพนักงานคนอื่นๆ หยิบของในกล่องออกมาดูก่อนจะหันไปตอบขมว่า “ก็คงว่าแหละถ้าลูกค้ายังอยู่” คำว่า “ยังอยู่” ของพี่ตรีทำให้ขมเริ่มเอะใจ และเหมือนพี่ตรีจะรู้ว่าขมคิดอะไร พี่ตรีเลยเฉลยให้ทันทีโดยไม่รอให้ขมถาม …

“ลูกค้าประสบอุบัติเหตุแล้วเสียชีวิต พ่อแม่ของลูกค้าเลยให้ทางเราช่วยจัดการของๆ ลูกค้าให้ ของสำคัญๆ อย่างอื่นก็ส่งกลับไปให้พ่อแม่ของลูกค้า ส่วนพวกของใช้หรือของที่ส่งไปลำบาก พ่อแม่ลูกค้าบอกให้เราช่วยขายให้หน่อย” พอฟังพี่ตรีพูดจบ สิ่งที่ขมสงสัยอยู่ก็กระจ่างทันที

พี่ตรีมองหน้าขมราวกับรอให้ขมตอบกลับอะไรบางอย่าง ขมเลยแกล้งแซวพี่ตรีเล็กน้อยว่า “แล้วพี่ตรีไม่สนใจกับเขาบ้างหรอคะ ของดีๆ ทั้งนั้นเลย” พี่ตรีรีบส่ายหน้าทันทีก่อนจะบอกว่า “โอ๊ย ไม่เอาด้วยหรอก” ขมเห็นพี่ยาเดินถือเสื้อสองสามตัวเดินไปถามราคากับเจ้านายก็สงสัยเลยถามต่อว่า “ทำไมละพี่ตรี” 

พี่ตรีหันมากระซิบตอบขมเบาๆว่า “ตอนยังอยู่ลูกค้าคนนี้หวงของจะตาย ตอนนี้ตายเป็นผีไปแล้วไม่รู้จะมาทวงของตัวเองคืนมั้ย” พี่ตรีตอบไปส่ายหน้าไป ก่อนจะเดินหนีลงไปชั้นล่างเพื่อทำงานต่อ 

ส่วนขมพอได้ยินพี่ตรีพูดแบบนี้ก็ขนลุกวาบขึ้นมาอีกที มองดูพี่ๆ คนอื่นๆ ที่กำลังเลือกหยิบของขึ้นมาดูด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก พยายามคิดในแง่ดีว่าคงไม่น่าจะมีอะไร เพราะอย่างที่พี่ตรีบอกว่า พ่อแม่ของลูกค้าเป็นคนบอกเจ้านายเองว่าให้เอาของลูกตัวเองมาขาย ซึ่งก็เหมือนกับเป็นการอนุญาตแล้ว ในเมื่อไม่ใช่ของที่ขโมยมาขาย ก็ไม่น่าจะมีอะไร ขมคิดในใจเงียบๆ ก่อนจะเดินกลับเข้าห้องบัญชีเพื่อทำงานต่อ

นั่งทำงานไปได้สักพัก พี่ยาและพี่แอนก็กลับเข้ามาโดยที่ทั้งสองต่างก็ถือของไว้เต็มแขน ขมที่เห็นแบบนี้เลยแกล้งแซวพี่ๆ ไปว่า “แหม่  ได้ของมาเพียบเลยน้า” พี่ยายิ้มให้ก่อนจะถามกลับว่า “ขมไม่สนใจบ้างหรอ ของดีๆ ทั้งนั้นเลยนะ” 

ขมรีบส่ายหน้าแล้วแก้ตัวไปว่า “หนูเพิ่งซื้อเสื้อผ้าไป ขอผ่านดีกว่า” พี่ยาร้องอ้อเบาๆ ก่อนจะหันไปหยิบของที่เลือกซื้อมาขึ้นดูอีกครั้งกับพี่แอน เหมือนว่าพี่ยาจะซื้อมาแต่พวกเสื้อยืดและเสื้อเชิ้ต ในขณะที่พี่แอนได้มาทั้งเสื้อยืด เสื้อเชิ้ต กางเกงและเข็มขัด

เช้าวันนึงก็มีรถซูซูกิ คาริเบี้ยนสีขาววิ่งเข้ามาจอดอยู่ที่หน้าออฟฟิศ พี่ๆ พนักงานที่อยู่ด้านล่างต่างก็มองดูด้วยความสงสัย ว่ารถคันนี้เป็นรถของใคร เพราะปกติแล้ว ลานหน้าออฟฟิศนั้น ลูกค้ามักจะไม่เอารถขึ้นมาจอดบนฟุตบาท ส่วนใหญ่จะเป็นรถของพนักงานที่บริษัทและรถของบริษัทเท่านั้น 

หลังสงสัยได้ไม่นาน ร่างสูงของเจ้านายก็เดินลงมาจากรถ พร้อมกับร่างของพี่ตรี พอทั้งคู่เดินเข้ามาในออฟฟิศ พี่ๆ พนักงานก็พากันยิงคำถามว่ารถคันนี้เป็นของใคร?  ของบริษัทหรอ? พี่ตรีส่ายหน้าพร้อมกับตอบไปสั้นๆ ว่า “รถของลูกค้า” 

ทันทีที่พี่ตรีพูดจบ เจ้านายก็พูดต่อขึ้นมาว่า “ขายนะ ใครสนใจบอกได้นะ” พอพี่พนักงานคนอื่นๆ ได้ยิน ก็รีบสอบถามราคากับเจ้านายทันที เพราะด้วยสภาพของตัวรถ ค่อนข้างดูใหม่ และขึ้นชื่อว่าเป็นของลูกค้าที่เอามาขาย ยังไงราคาก็คงจะถูกกว่าไปหาซื้อเองแน่ ๆ 

และในบรรดาพนักงานที่สนใจอยากจะซื้อรถคันนี้ของลูกค้าต่อนั้นก็มีพี่แอนรวมอยู่ด้วย เพราะพอรู้ว่าเจ้านายประกาศขาย พี่แอนก็รีบเดินไปเช็คสภาพรถรอบๆ ก่อนจะเข้าไปสอบถามเพิ่มเติม

และไม่กี่อาทิตย์หลังจากนั้น เจ้านายก็ตกลงที่จะขายรถคันนี้ให้กับพี่แอน โดยก่อนที่จะส่งมอบให้นั้น เจ้านายก็บอกให้พี่ตรีเอารถไปเช็คสภาพอีกครั้ง ความที่ไม่อยากไปคนเดียว พี่ตรีเลยชวนขมเอารถไปเช็คสภาพด้วยกัน ขมเองตอนนี้ก็กำลังว่างอยู่พอดี เลยตกลงที่จะไปด้วย

ซึ่งในระหว่างที่ขับรถเพื่อเอาไปเช็คสภาพกับช่างที่เจ้านายรู้จักนั้น อยู่ ๆ พี่ตรีที่เป็นคนขับก็พูดขึ้นมาว่า “ได้กลิ่นน้ำมันรถมั้ยขม” พอถูกถามแบบนี้ ขมก็เริ่มที่จะได้กลิ่นน้ำมันรถขึ้นมาบ้างเหมือนกัน

ในตอนนี้ทั้งขมและพี่ตรีก็เริ่มกังวล ขมรีบถามพี่ตรีก่อนเลยว่า “อีกไกลมั้ยคะ กว่าเราจะไปถึงอู่ของช่างอ่ะ” ถามเสร็จก็เริ่มที่จะมองไปรอบๆ รถเพื่อตรวจสอบและหาที่มาของกลิ่น แต่ตามพื้นถนนที่ขับผ่านเลยมาก็ไม่มีน้ำมันหยดลงพื้นอย่างที่กังวล และภายในรถเองก็ไม่มีจุดไหนเลยที่ส่อแววว่าจะเป็นที่มาของกลิ่น 

“พ้นแยกข้างหน้านี้ไปก็ถึงแล้ว” พี่ตรีเองก็เริ่มมองไปรอบๆ บ้างเหมือนกัน แต่ไม่ว่าจะมองยังไงก็เหมือนกันกับขม คือไม่มีจุดไหนที่น่าจะเป็นที่มาของกลิ่นน้ำมันได้เลย

จนรถขับไปถึงอู่ พี่ตรีก็รีบคุยกับช่างและบอกเรื่องกลิ่นน้ำมันรถให้ช่างช่วยตรวจสอบให้ หลังจากที่ช่างตรวจสอบสภาพรถเสร็จ ปรากฏว่ารถไม่ได้มีปัญหาอะไรที่น่าจะทำให้ได้กลิ่นน้ำมันเลย แถมสภาพรถก็ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ช่างยังชมอยู่เลยว่าเจ้าของรถคันนี้ดูแลรถได้ดีมาก 

พี่ตรีพอได้ยินช่างบอกแบบนี้ก็ขมวดคิ้วมองอย่างไม่เข้าใจ เพราะยังติดใจเรื่องกลิ่นน้ำมัน เลยถามย้ำๆ กับช่างว่า “แน่ใจนะคะ ว่ารถไม่มีปัญหาอะไร” ซึ่งช่างก็ยืนยันกับพี่ตรีว่ารถไม่มีปัญหาอะไรแน่นอน 

พี่ตรีเลยถามอย่างไม่เข้าใจว่า ถ้ารถไม่มีปัญหาอะไร แล้วทำไมในระหว่างที่ขับมาที่นี่ถึงได้กลิ่นน้ำมันจนฉุนจมูก แถมไม่ใช่แค่พี่ตรีคนเดียวที่ได้กลิ่น ขมเองก็ช่วยพี่ตรียืนยันกับช่างอีกเสียงว่าช่วงที่ขับรถมาอู่นั้น ในรถได้กลิ่นน้ำมันจริงๆ

ช่างได้ยินพี่ตรีกับขมพูดแบบนี้ก็ได้แต่ทำหน้าไม่เข้าใจ แต่ก็ยังยืนยันคำเดิมว่าสภาพรถไม่ได้มีปัญหาอะไร ที่ได้กลิ่นน้ำมันอาจจะเป็นเพราะเจ้าของรถอาจทำน้ำมันหกภายในตัวรถรึป่าว พี่ตรีเลยขอให้ช่างช่วยเช็คให้อีกครั้ง ซึ่งช่างก็ยอมเช็คให้ แถมเช็คให้ละเอียดกว่าเดิม คือเช็คให้ทั้งภายในและภายนอกรถ เช็คบนและใต้เบาะรถ แต่สุดท้ายก็ยังหาที่มาของกลิ่นน้ำมันไม่ได้อยู่ดี

พี่ตรีที่เห็นว่าผลจากการตรวจเช็คสภาพรถนั้นออกมาเหมือนเดิม ก็เลยลองขับไปให้อู่ที่รู้จักกันช่วยเช็คอีกครั้ง ซึ่งไม่ว่าจะเช็คยังไง ผลก็ออกมาเหมือนเดิม คือรถนั้นอยู่ในสภาพดีเยี่ยม ไม่มีสาเหตุที่ทำให้เกิดกลิ่นน้ำมันได้ พี่ตรีถึงยอมแพ้ ขับไปคาร์แคร์เพื่อทำการล้างรถก่อนจะส่งมอบให้กับพี่แอน โชคดีที่ขากลับรถไม่ได้ส่งกลิ่นน้ำมันเหมือนกับตอนแรก พี่ตรีเลยส่งมอบรถให้พี่แอนอย่างสบายใจ

…..

เช้าวันหนึ่งตอนที่ขมกำลังขึ้นมาที่ห้องบัญชีเพื่อเริ่มงานอยู่นั้น ในจังหวะที่กำลังเปิดประตูเข้ามานั้น ขมเห็นเหมือนเงาผู้ชายกำลังยืนจ้องหน้าพี่แอนที่กำลังนั่งทำงานอยู่ข้างๆ…

กดอ่านต่อตอน 2

LEAVE A REPLY

Please enter your comment!
Please enter your name here