เรื่องราวเกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2551 เป็นเหตุการณ์ที่ครูธรณ์จำได้ไม่มีวันลืม ช่วงแรก ๆ ของการเป็นคูร ครูธรณ์สอนอยู่โรงเรียนเอกชนในกรุงเทพฯมาหลายที่ เงินเดือนเยอะก็จริงแต่ไม่ค่อยมั่นคง จึงอยากสอบบรรจุเป็นข้าราชการครู ครูธรณ์ตั้งใจขวนขวายสอบอยู่ไม่นาน จนในที่สุดก็สอบติดสมใจหวัง และได้มาบรรจุที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง ในจังหวัดนนทบุรี
ครั้งแรกที่ครูธรณ์ได้มาประจำที่โรงเรียนนี้ ความคิดแรกเลยคือ นี่โรงเรียนติดกับจังหวัดกรุงเทพฯจริงๆหรือ มันเหมือนอยู่คนละโลกกันเลย มีแต่ต้นธูป แอ่งน้ำ ต้นไม้ป่าละเมาะขึ้นเต็มไปหมด
การเดินทาง กว่าจะมาถึงที่โรงเรียน ผมต้องขึ้นรถตู้จากบางเขนมาลง และต่อรถอีกหลายต่อ ตอนนั้นในโรงเรียนจะมีอาคารเรียนที่เป็นตึก 4 ชั้น เพิ่งสร้างเสร็จใหม่ๆ ไฟฟ้ายังไม่ได้เดินเลย
ผมสอนอยู่ได้ประมาณปีนึง ทางโรงเรียนก็เริ่มสร้างห้องพักครู ความที่การเดินทางจากบางแคมาบางใหญ่มันค่อนข้างไกล ผมก็เลยขอห้องพักครูไปห้องนึง ซึ่งทางโรงเรียนก็ให้ หลังจากนั้นผมก็ได้ย้ายเข้ามาอยู่ที่ห้องพักของโรงเรียน
สมัยก่อนเด็กมี 300-400 คน ปัจจุบันนี้พันกว่าแล้ว ผมสอนอยู่ที่กลุ่มสาระศิลปะ ซึ่งมีผมแค่คนเดียว จึงต้องสอนทั้งเครื่องดนตรี ศิลปะนาฏศิลป์ เพราะสมัยก่อนบุคลากรไม่เพียงพอ แต่ความที่ผมเติบโตมาในคณะริเก ผมจึงซึมซับศิลปะด้านการเต้น การรำ หรือเครื่องดนตรีไทยมาเยอะ วาดรูปก็เป็นนะ
แต่การสอนมันไม่ใช่แค่สอนแล้วก็จบ มันต้องมีผลงานด้วย ต้องมีชุด แต่งหน้าทำผม แต่กลุ่มนาฏศิลป์มีงบประมาณให้น้อยมาก ผมก็ไม่รู้จะทำยังไง ก็เลยไปซื้อเครื่องสำอางตามตลาดนัดมา ชิ้นละ 5 บาท 10 บาท แต่งพอหน้าขาวปากแดง คิ้วเข้มๆหน่อยก็ออกงานได้แล้ว
ส่วนชุดผมก็จะไปขอจากที่เค้ามาบริจาคตามต้นไทร (ซึ่งเรื่องชุดก็เจอดีเหมือนกัน แต่ขอเอาไว้เล่าในตอนหน้าแล้วกัน) แต่ชุดมันก็ยังไม่เพียงพอ จนผมได้รู้จักกับพี่คนนึง แกชื่อ พี่แจ็ค เขาเป็นคนทำเครื่องศิราภรณ์ คือเครื่องประดับที่ใช้ในการประกอบการรำ ผมจึงทำข้อตกลงกับพี่แจ็คเลยว่า ถ้าโรงเรียนมีงบประมาณออกมาปุ๊บ ผมจะสั่งชุดและเครื่องประดับกับพี่เขา พอผมสั่งของไป พี่แจ็คก็จะเขียนบิลรายการเบิกมาให้ผม แล้วผมก็จะนำมาเบิกกับโรงเรียน
บ้านพี่แจ็คอยู่แถวตลิ่งชัน ผมไปมาหาสู่กับแกจนสนิทกัน ก็เลยลองคุยกับแกว่า “พี่แจ็ค พี่พอจะสอนผมทำเครื่องประดับพวกนี้ได้ไหม”
แกก็บอกว่าไม่ได้หรอก ดูๆแล้วแกคงจะหวงวิชา ถ้าเกิดผมทำเป็น แกก็กลัวจะเสียรายได้นั่นแหละ ผมก็เข้าใจแก เลยไม่ได้ว่าอะไร ไม่สอนก็ไม่สอน
จนมีอยู่วันนึง คุณครูที่สอนวิชาการงาน ซึ่งมีรถยนต์ แกชวนผมไปเที่ยววัดที่อยู่แถวจังหวัดนนทบุรีนี่แหละ ซึ่งภายในวัดแห่งนี้จะมีคล้าย ๆ ศูนย์การค้าอยู่ในวัดด้วย จะขายทุกอย่างเลย ไม่ว่าจะเป็นของมือสอง ตู้เตียงเก่าๆ นู่นนี่นั่น ซึ่งของมันราคาถูกมาก
ผมก็เดินดูว่าอะไรที่จะพอเอามาประยุกต์ใช้กับการแสดงของเด็กๆได้บ้าง เดินดูอยู่พักนึง จนไปเจอร้านที่เขาขายพวกเครื่องมืออุปกรณ์อะไรต่างๆ ผมไปสะดุดตากับกล่องสีเงินนึงที่วางอยู่ในกอง สภาพสวยและใหม่มาก เป็นกล่องใส่เครื่องสำอางใบไม่ใหญ่มาก เหมือนที่พวกทีมงานเขาใช้กันตามกองถ่าย
ตอนแรกผมก็คิดว่า สภาพใหม่ขนาดนี้ ราคามันต้องแพงแน่ๆเลย จึงลองถามราคากับคนขายดู คนขายก็บอกว่าราคา 1,500 บาท ผมนี่ตาลุกวาวเลยครับ ไม่คิดว่าราคามันจะถูกขนาดนี้ เลยถามไปว่า “1,500 บาทเนี่ยแค่ราคากล่องหรอพี่” คนขายก็บอกว่า “เปล่า น้องก็ลองเปิดดูเอาเองแล้วกัน เผื่อน้องสนใจ มีเครื่องสำอางยังใหม่อยู่เลย พี่ขายยกกล่องเลย”
ลักษณะของกล่องเครื่องสำอางใบนี้ จะมีตัวล็อคเหล็กที่สามารถตั้งรหัสได้ 4 ตัวเลข เวลาเปิดมันจะเปิดแยกออกสองข้างซ้ายขวา และมันจะมีชั้นด้านในที่สามารถดึงยื่นขึ้นมาได้อีกข้างละ 3 ชั้น
พอผมเปิดกล่องออกมาดู ปรากฏว่ามันมีแต่เครื่องสำอางแบรนด์เนมทั้งนั้นเลย แต่ละอันใหม่เหมือนไม่เคยถูกใช้งานมาก่อนเลย ในใจผมก็คิดว่า สงสัยเป็นกล่องเครื่องสำอาแต่งหน้าศพแน่ๆ แต่อีกใจก็คิดว่า เครื่องสำอางแบรนด์ดีขนาดนี้ ใครจะบ้าเอามาแต่งหน้าศพ ผมจึงถามคนขายว่า
“พี่ ผมถามตรง ๆ นะ เขาเคยเอาไปแต่งหน้าศพมาหรือเปล่า”
“จะบ้าเหรอน้อง ของแต่งหน้าศพ ใครเขาจะเอามาขาย มันเป็นอาถรรพ์ เนี่ยกล่องเครื่องสำอางของช่อง 3 เขา เขาเป็นคอสตูม เขาเลิกรับงานแต่งหน้าแล้ว เลยเอามาบริจาค”
พอผมถามไถ่คนขายเสร็จ พี่คนนึงที่มาด้วยกัน ชื่อพี่เก่ง เขาเป็นครูคหกรรม และรับจ้างแต่งหน้าอยู่เหมือนกัน พอพี่เขาเห็นเขาก็อยากได้เหมือนกัน ผมก็เลยทำเป็นพูดกันท่ากับพี่เขา
“พี่ เมื่อกี้ผมไปคุยกับคนขายมา เขาบอกว่าเครื่องสำอางกล่องนี้ เป็นเครื่องสำอางแต่งหน้าศพว่ะ พี่ไม่ต้องไปเอาหรอก”
“จริงหรอมึง”
“จริงดิพี่ เนี่ยผมพึ่งไปถามมา”
“จริงหรอมึง อีนี่ แล้วมึงจะเอาหรอ”
“เอาสิ ก็ฉันชอบ พี่ก็รู้ฉันเคยอยู่วัด ฉันไม่กลัวหรอก มาสิผี จะด่าให้ดู”
“แล้วเขาขายเท่าไหร่อ่ะ”
“1,500 พี่”
“เฮ้ยอีนี่ 1,500 บาทเอง เครื่องแต่งหน้าผีกูก็เอา” (เอ้า อีกพี่เก่ง กูพูดขนาดนี้แล้ว ยังจะเอาอีกหรอ) ผมคิดในใจ
“อย่าเอาเลยพี่ ผมขอเถอะ”
“เออ ๆ เห็นแก่น้องแก่นุ่งนะ”
“เออ..ผมมีอยู่ 1,000 บาท ขอยืมพี่ 500 นะ” แล้วพี่เก่งก็ให้ผมยืมเงินมา 500 แล้ว…วันนั้นผมเดินลั้ลลาถือกล่องเครื่องสำอางกลับบ้าน อยากมีความสุขมาก
ผมกะว่าเครื่องสำอางชุดนี้ ถ้ามีคนมาจ้างผมแต่งหน้า 500 นะ ผมจะไม่รับแต่ง ผมจะแต่งให้ราคาแพงๆไปเลย พอกลับมาถึงบ้านผมก็นำมันวางไว้กลางห้อง จะเปิดออกมาดูก็ไม่กล้าเปิด เพราะกลัวเครื่องสำอางจะเก่า เอากระดาษทิชชูเช็ดจนกล่องนั้นมันวาว เงาวับ
ซึ่งภายในห้องมืดมาก เพราะผมปิดผ้าม่าน ปิดไฟ มีเพียงแสงไฟสลัว ๆ จากระเบียงที่ส่องผ่านม่านเข้ามา ผมนอนมองกล่องไปก็อมยิ้มไป จนเผลอหลับไป
ที่กล่องเครื่องสำอางใบนี้มันจะมีตัวล็อคที่สามารถตั้งรหัสได้ 4 ตัว ใช่ไหม ผมตั้งรหัส 2526 ไว้ ซึ่งเป็นพ.ศ. เกิดของผม ไม่มีใครู้แน่นอน พอเราใส่รหัสปลดล็อค เลื่อนตัวล็อคออก ตัวล็อคก็จะดีดขึ้นมาดัง เป๊ะ!!
ระหว่างที่กำลังนอนหลับอยู่ จู่ ๆ ผมก็ได้ยินเสียงกล่องลั่นดัง เป๊ะ!
ในห้องนอนมีเสื่อผืนหมอนใบ ผมที่นอนยู่บนเตียงปิคนิค และกล่องเครื่องสำอางใบนั้น ผมหรี่ตาตื่นขึ้นมาแล้วหันไปมองที่กล่อง เห็นฝากล่องปิดอยู่ คิดในใจสงสัยหูจะเพี้ยนไปเอง จึงหันหลังกลับไปอีกทางแล้วนอนต่อ
พอนอนไปสักพักกำลังจะเคลิ้มหลับ เป๊ะ! เสียงกล่องลั่นอีกแล้ว ผมหันไปดูอีกครั้ง ก็เห็นว่ากล่องยังปิดอยู่เหมือนเดิม!!
เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไร ผมจึงหันกลับมานอนต่อ และแล้วมันก็ดังขึ้นอีกครั้ง เป๊ะๆๆๆๆๆ!! ดังรัว ๆ เลย จังหวะนรกมาก อย่างกับหนังผี!!
ผมหันไปมองอีกครั้ง คราวนี้ฝากล่องมันเปิดออก ชั้นด้านในยืนขึ้นมา และมีมือแห้งๆ ดำๆเหี่ยวๆ หนังหุ้มกระดูก กำลังเกาะขอบกล่องทั้ง 2 ข้างขึ้นมา ผมรู้ได้ทันทีเลยว่าถ้าดูต่ออีกนิดนึงจะต้องมีอะไรโผล่ตามออกมาแน่ ๆ
ตอนนั้นน่าจะเที่ยงคืน ด้วยความกลัว ผมเปิดประตูวิ่งออกมาจากห้อง ตะโกนผีหลอก ผีหลอก จนครูที่อยู่ในหอพักตื่นกันหมดทุกคน ครูข้างห้องก็เปิดประตูออกมาถามว่า “เป็นอะไรไอ้ธรณ์” ผมก็บอกเขาไปว่า “มีผีออกมาจากกล่องเครื่องสำอาง” ทุกคนต่างพากันหัวเราะผม ว่าผีบ้าอะไรจะมาสิงอยู่ในกล่องเครื่องสำอาง
มีครูคนหนึ่งที่อายุเยอะแล้ว ผมเข้าไปบอกกับแกว่า “ป้า เดินเข้าไปดูเป็นเพื่อนผมหน่อย ผมเปิดประตูเข้าไปในห้อง เปิดไฟที่อยู่ตรงข้างประตู มองเข้าไป เห็นกล่องเครื่องสำอางปิดอยู่เหมือนเดิม!! ตอนนั้นผมคิดในใจ
“หนอยแน่ะ ไอ้ผีตนนี้มันต้องการให้กูโดนคนอื่นเขาด่า เขาหัวเราะแน่เลย ได้สิ มึงหลอกกูใช่ไหม กูรู้ว่ามึงต้องมีอะไรอยู่ในกล่อง ไม่เป็นไร มึงได้เน่าคากล่องแน่ ต่อให้เครื่องสำอางมึงแพงขนาดไหน กูก็จะไม่ใช้มึง มึงเป็นผีใช่ไหม ได้…”
ผมมีสายสิญจน์อยู่มัดหนึ่งที่ได้มาจากงานปิดทองฝังลูกนิมิต ที่เค้าใช้ตัดหวายลูกนิมิต พระท่านบอกว่าศักดิ์สิทธิ์มาก ผมนำสายสิญจน์นั้นไปพันรอบกล่องจนหมดม้วน แล้วก็บอกว่า “มึงเฮี้ยนมากนักใช่ไหม งั้นมึงก็เน่าคากล่องนี้ไปเสียเถอะ”
จากนั้นผมก็ดันกล่องไปไว้มุมห้อง นำผ้ามาคลุมปิดไว้ หลังจากนั้นนางก็ไม่เคยออกมาหลอกหลอนผมอีกเลย จนผมลืมไปว่ามีมันอยู่ในห้อง
จนระยะเวลาผ่านไป ปี พ.ศ. 2553 ผมเริ่มมีเครื่องสำอางที่เยอะขึ้น เก็บเล็กผสมน้อยจากการรับแต่งหน้างานเล็ก พอมีเงิน ก็ค่อยๆซื้อเครื่องสำอางมาเติม จนมันมีจำนวนมาก และใส่กล่องพลาสติกใสๆ ธรรมดาเหมือนที่เขาใส่เครื่องสังฆทานถวายตามวัด ผมใช้เครื่องสำอางกล่องนี้รับงานแต่งหน้าประจำ จนอยู่มาวันหนึ่ง มีโทรศัพท์เข้ามา บอกว่า
“ฮัลโหลอาจารย์ อาจารย์จำหนูได้ไหม”
“หนูเป็นใครเหรอลูก”
“หนูออมไง อยู่โรงเรียน…ตอนที่อาจารย์ฝึกสอนอยู่ ตอนนั้นหนูอยู่ประมาณม. 2 หรือ ม.3 นี่แหละ ตอนนี้หนูจบมหาลัยแล้วนะ หนูรับสอนหลีดด้วย” (ออมเป็นสาวสอง ที่ตอนนี้แปลงเพศ ทำนมแล้ว)
“อ้าว รับสอนหลีดเหรอลูก มีอะไรให้อาจารย์ช่วยหรือเปล่า”
“อาจารย์ พอดีหนูขาดทีมงานช่างแต่งหน้า อาจารย์มาช่วยหนูแต่งหน่อยได้ไหม”
“ได้สิ แล้วหนูให้อาจารย์เท่าไหร่ล่ะ”
“หนูให้อาจารย์หน้าละ 500 บาทค่ะ”
ผมได้ฟังก็ตาลุกวาวเลย หลีดอย่างต่ำ 15 คน ต่อการแสดง 1 ครั้ง ก็หลายบาทอยู่นะ ผมจึงตอบตกลงไปพร้อมถามว่า
“แล้วหนูจะให้อาจารย์รับผิดชอบอะไรบ้างล่ะ”
“อาจารย์แต่งหน้าหลีดอย่างเดียวเลย ส่วนทำผมไม่ต้องเพราะหนูมีช่างอยู่แล้ว ชุดมีช่างมา ไอ้พวกพาเลทอีกร้อยกว่าคนก็มีช่างแยก หนูแยกไว้หมดแล้ว หนูมั่นใจอาจารย์ว่าอาจารย์ต้องแต่งได้”
“เออได้ครูรับ แล้วนัดกี่ทุ่มละออม”
“ตีหนึ่ง ค่ะอาจารย์”
“ฮะ อะไรนะ ตีหนึ่ง!! อีออม ตีหนึ่งใครจะตื่นมาแต่งหน้าให้มึง กูยังไม่ได้นอนเลยมั้ย”
“อาจารย์หลีดเดิน หกโมงเช้า แล้วอาจารย์คิดดู คนทั้งขบวนทั้งพาเลทมีกี่ร้อยคน ถ้าไม่เริ่มแต่งหน้าตอนตีหนึ่ง หน้าผมจะทันมั้ย”
“เออ ๆ ตีหนึ่งก็ตีหนึ่ง”
วันนั้นหลังจากกลับมาถึงห้องพัก ผมจึงรีบนอนตั้งแต่ สี่ทุ่ม กะว่าจะตื่นมาตอนเที่ยงคืนอาบน้ำ แล้วก็รีบขี่มอเตอร์ไซค์ไป เวฟร้อยเก่าๆจากบางใหญ่ไปบางแค ไปแถวบางหว้า แถวศาลเจ้าพ่อเสือ ซึ่งเป็นระยะทางที่ไกลมาก
กระทั่งเที่ยงคืนผมก็รีบตื่นมาอาบน้ำด้วยความงัวเงีย อาบน้ำแต่งตัวเสร็จผมก็รีบหยิบกล่องเครื่องสำอาง ใส่ถุง แล้วก็รีบบิดมอเตอร์ไซค์ออกมาเลย พอไปถึงสถานที่ เตรียมจะเริ่มแต่งหน้า เปิดถุงเพื่อจะหยิบกล่องเครื่องสำอางออกมาเท่านั้นแหละ ผมนี่ใจหายวูบเลย แทบช็อค เพราะผมหยิบเอากล่องเครื่องสำอางที่ผมพันสายสิญจน์ไว้ตลอดระยะเวลา 2 ปี มา!!