ย้อนไปเมื่อปลายปีที่แล้ว ผมกลับไปเยี่ยมแม่ที่ อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ พร้อมพาเพื่อนไปด้วยอีก 5 คน ขับรถไป 2 คัน ผมขับนำ คันแรกโดยมีเบลนั่งข้าง ๆ และวิวนั่งข้างหลัง ส่วนคันที่สอง ต๋องเป็นคนขับและเพื่อนอีกสามคนเป็นผู้โดยสาร พวกเราออกจาก กทม.สองทุ่มกว่าๆ เพราะผมไม่ชอบขับไปตอนกลางวันมันร้อนและรถก็เยอะ ด้วยเอารถไปสองคัน ก็ไม่ลืมพกวิทยุสื่อสารระยะสั้นหรือ ว.ไปด้วย
ขณะขับรถก็ ว.เล่นกันระหว่างรถสองคัน กระทั่งตี 3 เมื่อขับมาถึง จ.ตาก ตอนนั้นฝนเริ่มตก จึงแวะปั๊มน้ำมันเข้าห้องน้ำซื้อเครื่องดื่มชูกำลังและผ้าเย็นเช็ดหน้าให้สดชื่น เพราะจากนี้ไปตลอดเส้นทางจะมีโค้งเยอะมากและ…ไม่มีไฟฟ้า เป็นทางที่ตัดผ่านภูเขา
หากใครขึ้นเหนือบ่อยๆ ต้องรู้จักทาง “เถิน-ลี้” เป็นอย่างดีว่าน่ากลัวแค่ไหน แต่ก็เป็นระยะทางที่ช่วยย่นระยะเวลาได้ 200 กว่ากิโล แต่ครั้งนี้ผมก็มีเพื่อนมากันเยอะจึงกล้าที่จะผ่านเส้นนี้
เมื่อออกจากปั๊ม เราขับไปสักพักก็เข้าทางตรงยาวที่สองข้างทางมีแต่ป่ามืดสนิท มีเพียงแสงไฟหน้ารถ สาดส่องไปข้างหน้า ขณะรถกำลังจะขึ้นเนินเล็กๆ
“ระวังคนแก่ข้ามถนนข้างหน้านะคะ” เบลพูดขึ้นออกมากะทันหัน
ผมริบไฟสูงขึ้นทันทีแต่ก็ไม่เห็นคนแก่แต่อย่างใด คิดในใจว่า คนแก่ที่ไหนจะมาเดินกลางป่าตอนตีสามกว่าๆ เพราะแถวนี้ไม่มีบ้านคนอยู่เลย
“ระวังชาวบ้านด้วยนะต๋อง ยายคงออกมาหากบหาเขียดตอนฝนตก” ผมรีบ ว. บอกเพื่อนคันข้างหลัง เพราะเกรงจะมองไม่เห็น เดี๋ยวชนไปจะยุ่ง จากนั้นเราก็ขับต่อไปอีกซัก 10 นาที
“จอดรถพี่ จอดๆๆๆ ไม่เห็นเหรอคะ” เบลตะโกนร้องบอกเสียงดัง
“ให้จอดทำไม มีอะไร” ผมชะลอรถถามคนข้าง ๆ อย่างประหลาดใจ
“ก็ผู้หญิงแก่ ๆ ยืนโบกรถเราไงคะ พี่ไม่เห็นเหรอ เค้าต้องการความช่วยเหลือหรือเปล่า”
ผมรีบ ว.ไปบอกโต้งว่าให้ดูด้วยว่ามีใครโบกรถหรือเปล่า แต่โต้งที่ขับมาทันกลับบอกว่า ไม่เห็นมีใคร เท่านั้นแหละผมเหยียบคันเร่งให้พ้นจากตรงนั้นทันที รู้สึกได้ว่ามันแปลกๆ แล้ว ผมจึงกำชับคนนั่งข้าง ๆ ด้วยเสียงจริงจังว่า ถ้าเจออะไรไม่ต้องทักนะ ปล่อยผ่านไปเลย
พวกเราขับรถไปอีกครึ่งชั่วโมง เข้าถนนเส้นที่มีทางโค้งคดเคี้ยวและมืดสนิท มีเพียงแสงไฟจากรถผมที่สาดส่องไปข้างหน้า ด้านขวาเป็นหน้าผา ด้านซ้ายเป็นภูเขา จึงต้องเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น
ผมพยายาม ว .บอกต๋องให้ขับรถทิ้งช่วงห่างๆ อย่าขับจี้ท้าย ไฟจะแยงตาผม ตอนนั้น วิว ที่นั่งอยู่ข้างหลังก็ตื่นจากแรงรถเหวี่ยงไปมาตอนเข้าโค้ง ทำให้นอนไม่หลับ
ขณะเข้าโค้งผมก็เห็นผู้หญิงผมยาวใส่ชุดกะเหรี่ยงสีชมพูวิ่งตัดหน้ารถอย่างกระชั้นชิด จึงรีบเหยียบเบรกนิดหนึ่ง ก่อนหักพวงมาลัยเบี่ยงหลบ จนกันชนรถไปขูดกับเนินดิน พอประคองรถกลับเข้าถนน ก็รีบว.บอกต๋องให้ระวังผู้หญิงกะเหรี่ยง ใส่ชุดชมพูวิ่งตัดหน้ารถ… แต่เพื่อนไม่ตอบกลับ ก็คิดว่าคงมัวตั้งใจขับรถเพราะไม่คุ้นทางและไม่เคยมา
แต่เมื่อรถกำลังจะพ้นชายป่า ผมกลับคิดถึงผู้หญิงที่วิ่งตัดหน้ารถเมื่อครู่ จู่ๆ ผู้หญิงกะเหรี่ยงคนเดิมก็กระโดดมายืนขวางหน้ารถ ผมเหยียบเบรกทันควันด้วยความตกใจ ทั้งเบลและวิวกรี๊ดลั่น
รถจอดห่างจากผู้หญิงคนนั้นไม่ถึงเมตร แสงไฟหน้ารถสว่างเผยให้เห็นใบหน้าผู้หญิง ใบหน้าแห้ง ๆ เหมือนซากศพ ดวงตาลึกโบ๋ ปากบนและปากล่างหายไป เห็นฟันซี่ดำปี๋เรียงกันอยู่
ขณะกำลังตะลึงกับภาพตรงหน้า ตัวก็เริ่มสั่นจากความกลัวสุดขีด วิว ที่นั่งอยู่เบาะหลังตะโกนบอกให้ขับชนไปเลย อย่าจอด เสียงตะโกนทำให้ผมได้สติ เหยียบค้นเร่งจนล้อฟรี พุ่งชนร่างนั้นทันที แต่มันเหมือนรถขับทะลุร่างโปร่งใส ไม่ได้ยินเสียงชนอะไร ผมขับไปข้างหน้าด้วยความเร็วอย่างไม่ทันคิด กระทั่งมานึกถึงเพื่อนอีกคัน
“ต๋องๆๆๆ”
ยังไม่ทันที่ผมจะพูดต่อ
“ไอ้เหี้ย! ไม่ต้องพูด กูก็เจอเหมือนมึง” ต๋องพูดสวนเข้ามาด้วยเสียงสั่น ๆ
พวกเราพยายามตั้งสติขับรถตามกันมาติดๆ จนรุ่งสางและตัดสินใจจอดรถที่ปั๊มน้ำมันใน อ.ฮอด ต๋องเล่าว่า ก่อนที่ผมจะ ว.บอกก็เจอเหตุการณ์แบบเดียวกัน มีผู้หญิงกะเหรี่ยงกระโดดขวางรถ ซึ่งก็น่าจะเป็นคนเดียวกัน จึงตัดสินใจขับรถพุ่งชน แล้วผมก็ว.มาพอดี
ส่วน วิว ที่นั่งมากับผม ก็เล่าให้ฟังว่า ก่อนเจอผู้หญิงกะเหรี่ยงกระโดดขวางรถ เธอหันไปมองรถคันหลังว่าตามมาทันไหม ขณะที่ผมเหยียบเบรกเข้าโค้งแล้วไฟเบรกสว่างขึ้น วิวก็เห็นเหมือนมีคนวิ่งตามรถมา พอปล่อยเบรกไฟดับก็มองไม่เห็นแล้ว แต่พอไฟเบรกสว่างขึ้นก็เห็นอีก เป็นอย่างนี้สี่หรือห้าโค้งจนไม่กล้าหันกลับไปดูจนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ผู้หญิงกระโดดขวางรถ
สุดท้ายผมเข้าไปถามคนในตลาด อ.ฮอด มีแม่ค้าเล่าว่า เมื่อสามปีก่อนตรงที่พวกเราเจอผู้หญิงกะเหรี่ยงกระโดดขวางรถ เคยมีผัวเมียชาวกะเหรี่ยงออกมาหาของป่าแล้วถูกรถกระบะชน เมียตาย ส่วนผัวรอดแต่สาหัส!!
แล้วคนที่ชนก็จับศพผู้หญิงกะเหรี่ยงโยนทิ้งตรงหน้าผาอำพรางศพ ปล่อยผัวของผู้หญิงที่ตายไว้ตรงนั้นกว่าจะมีรถผ่านมาเห็นก็หลายชั่วโมง
ผ่านไปหลายเดือน จึงมีคนพบศพผู้หญิงที่ถูกโยนลงเขา หลังจากนั้นมา เวลามีรถผ่านบริเวณนั้น ก็จะมีผีผู้หญิงกะเหรี่ยงออกมาหลอกหลอนผู้คนแทบทุกคืน
หากใครผ่านเส้นทาง “เถิน-ลี้” ลองสังเกตุขวามือดีๆจะเห็นศาลใหญ่อยู่ศาลหนึ่ง นั่นแหละ…