Home คลังหลอน ดอกไม้หน้าศพ ตอนจบ เอามาจากไหนให้ไปคืนที่นั่น

ดอกไม้หน้าศพ ตอนจบ เอามาจากไหนให้ไปคืนที่นั่น

ดอกไม้หน้าศพ ตอนจบ เอามาจากไหนให้ไปคืนที่นั่น

“พี่ เราจะแบ่งกันยังไงเนี่ย ให้มา 3 กล่อง ..พี่ได้ยินป่ะ ว่าเค้าบอกว่าให้แบ่งกันคนละกล่อง หรือเค้าเห็นเรามากัน 3 คนอะ?” 

น้องนุ่นพูดแบบทีเล่นทีหยอก ไม่ได้คิดจริงจัง แต่ไอ้เราเนี่ยเริ่มคิดละ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น? วันนี้มีแต่คนถามอะไรแปลกๆ เริ่มเอาเรื่องโน้นมาปนเรื่องนี้ แต่ไม่ได้ปักใจกับเรื่องไหน แค่คิดว่าเป็นเรื่องบังเอิญ ก็เลยปล่อยผ่านไป

พอส่งนุ่นเสร็จ เราก็เข้าบ้านทันที เก็บรถเก็บของเรียบร้อยแล้ว กะว่าจะเข้าไลน์กลุ่มหมู่บ้าน เพื่อสั่งอาหารมากิน เพราะในไลน์กรุ๊ปจะมีคนในหมู่บ้านขายอาหารตามสั่งอยู่ (ลืมบอกไป หมู่บ้านเราจะมีหมู่บ้านติดกัน 3 หมู่บ้าน รวม ๆ แล้วมีบ้านประมาณพันหลังได้)  แต่เราเปิดมาเจอข้อความในกรุ๊ปคุยกันประมาณว่า 

“เมื่อคืนในหมู่บ้านเราซอยไหนมีงานศพเหรอ?” 

“ได้ยินเสียงพระสวดด้วย ลำโพงดังไปไหม? ให้เบาเสียงลงหน่อย” 

“บ้านหลังไหนจัดงาน?” 

บางคนก็บอกได้ยิน บางคนก็บอกไม่ได้ยิน คือทุกคนกำลังหาบ้านต้นเสียงกันอยู่ แต่หาไม่ได้ นิติบุคคลก็มาคุยด้วย บอกไม่มีบ้านไหนมาขอจัดงานนะ ตอนนั้นเราก็ไม่ได้สนใจหรอกว่ามันเกิดอะไร คิดว่าเป็นเรื่องของคนอื่น เพราะเราเองก็ไม่ได้ยิน แถมกำลังหิวด้วย เลยไม่ได้สนใจที่จะอ่านต่อ

ประมาณเกือบๆ ทุ่ม เพื่อนกับพี่ชายของเพื่อน (สารพัดช่าง) มาที่บ้านเรา จะมาช่วยดูกริ่งให้ มาถึงเค้าก็ขึ้นไปซ่อมให้เลย ระหว่างนั้นเพื่อนก็ชวนเราออกไปโลตัส เราเลยไปกับเพื่อน ปล่อยให้พี่ชายเพื่อนซ่อมกริ่งคนเดียวไป 

เรากลับมาถึงบ้านตอน 5 ทุ่มกว่าๆ มองขึ้นไปที่หน้าต่างชั้น 2 เห็นไฟห้องนอนเปิดอยู่ เราจำได้ว่าเมื่อคืนเราไม่ได้นอนข้างบน ตอนแรกเราก็งงๆ แต่คิดว่าพี่ชายเพื่อนคงขึ้นไปเปิดไว้ตอนซ่อมกริ่งแล้วลืมปิดละมั้ง? 

หลังจากเพื่อนและพี่ชายเพื่อนกลับไป เราก็อาบน้ำแล้วขึ้นไปนอนที่ชั้นบน พอนอนได้สักพัก เสียงกริ่งดังอีกแล้ว! คราวนี้ดังค้างเลยค่ะ จนเราสะดุ้งตื่น กำลังจะลงไปเอาที่ไขกล่องมา แต่มันดันเงียบไปเสียก่อน ด้วยความขี้เกียจ และคิดว่าคงทำเองไม่เป็น เราเลยเลือกที่จะหอบผ้าลงไปนอนข้างล่างอีกคืน…เพราะถ้ากริ่งเกิดดังขึ้นมาอีก มันก็ยังเบากว่าอยู่ข้างบน 

คืนนี้เรานอนไม่ค่อยหลับเลย รู้สึกเหมือนมีคนเดินไปเดินมา วุ่นวายอย่างบอกไม่ถูก แต่ด้วยความเพลียมากเลยเผลอหลับไป… 

พอเช้าเราตื่นมาแบบไม่สดชื่นเลย เพราะนอนไม่พอ เลยกะว่าจะไปทำบุญ ปล่อยปลา ทำสังฆทาน สักหน่อย พอดีน้องนุ่นโทรมาแต่เช้า ถามว่ามีงานไหมวันนี้? เราบอกยังไม่มี กำลังจะไปทำบุญไปด้วยกันไหม? น้องนุ่นก็รีบตกลงเลย บอก หนูรอหน้าหมู่บ้านนะ 

เราเลือกไปทำบุญที่วัดประจำ ซึ่งจะมีพระท่านคอยรับสังฆทานอยู่ในศาลา และเป็นที่รู้กันว่า พระรูปนี้จะคอยตรวจดวงให้ได้ญาติโยมที่มาทำบุญด้วย ใครอยากดูดวงก็ให้เขียนวันเดือนปีเกิดใส่ในกระดาษ แล้วให้ท่านไปพร้อมกับสังฆทาน เราเลยกะว่าจะให้ท่านดูให้สักหน่อย เผื่อท่านจะทักอะไร 

พอถึงคิวเรา ท่านมองเรา แล้วทักเราว่า

พระ : ช่วงนี้ไม่ค่อยดีนะ มีเรื่องกลุ้มใจกังวลใจตลอด ปกติที่บ้านอยู่กับใคร? 

เรา : อยู่คนเดียวค่ะ

พระ : แล้วทำงานอะไรตอนนี้? ดวงเราตอนนี้เรียกว่า ทุกข์อุปถัมภ์ นะ 

เรา : จัดดอกไม้ค่ะ ..เป็นพวกดอกไม้หน้าศพ

พระ : (นิ่งไป และมองหน้าเรา) 

เรา : มีอะไรหรือเปล่าคะหลวงพี่ คือหนูทำงานแบบนี้ได้หรือเปล่า งานที่เกี่ยวกับคนตาย 

พระ : ทำได้สิ ถ้าเป็นงานสุจริต ทำได้ทุกอย่าง แต่งานที่ทำมันสุจริตไหม?

ถึงตรงนี้ เรากับน้องนุ่นมองหน้ากันแบบงงๆ ค่ะ เราเลยรีบตอบพระท่านไป

เรา : คือหนูรับงานมาอีกต่อนึงค่ะ จากร้านโลงศพ เอามาทำที่บ้านกับน้องคนนี้ เสร็จแล้วเอาไปส่งที่งานลูกค้า ขั้นตอนประมาณนี้ค่ะหลวงพี่..

พระ : อ่อ.. ช่วงนี้ก็ให้ระวังเรื่องความไม่สุจริต การงานไม่ตรงไปตรงมา จะทำให้เราลำบาก ลำบากมากด้วย

เราก็งงๆ แต่ก็ค่ะๆ ไป เพราะคิดว่าท่านคงเตือนถึงเหตุการณ์ในอนาคตที่กำลังจะเกิดขึ้นก็ได้

พอกลับจากวัด เราแยกกับน้องนุ่นที่หน้าหมู่บ้าน แล้วเราก็เข้าบ้านเลย วันนี้กะว่าจะพักผ่อน และให้พี่ รปภ.หมู่บ้าน ติดต่อให้ช่างของหมู่บ้านมาซ่อมกริ่ง ซึ่งช่างนัดจะเข้ามาช่วง 5 โมงกว่าๆของวันนี้ เราก็โอเค เร็วดี.. 

พอ 5 โมง ช่างมาถึงที่บ้าน ก็ขึ้นไปดูกริ่งให้ เราก็อธิบายไปว่าอาการมันเป็นยังไง พอช่างแกะกล่องดู ช่างบอกว่าสายไฟมันโดนดึงออกไปแล้วนี่? น้องดึงออกไปเหรอ? สายไฟไม่มีมันจะดังได้ยังไง? 

เราก็ไม่รู้เรื่อง เลยโทรหาพี่ชายเพื่อน เค้าบอกว่าเค้าเป็นคนดึงออกเอง เพราะว่ามันคงช็อต เค้าบอกว่าถามเราแล้ว แล้วเค้าได้ยินเราตอบว่า ไม่ค่อยได้ใช้ เค้าเลยดึงสายไฟออก กริ่งมันจะได้ไม่ดังอีก 

พี่ชายเพื่อนถามว่า ทำไมเหรอ? ยังดังอยู่เหรอ? เราก็ขี้เกียจจะเล่า เลยบอกปัดไปว่าเปล่าๆ แล้วก็วางสายไป ส่วนช่างของหมู่บ้านก็บอกว่าแบบนี้ต้องเปลี่ยนใหม่ เพราะมันใช้ไม่ได้แล้ว เราเลยบอกช่างไปว่า ไม่ต้องเปลี่ยนค่ะ เอาไว้อย่างนั้น พี่ทำยังไงก็ได้ ไม่ได้มันดังเองอีก รำคาญ 

ช่างก็บอกว่า แค่ไม่มีสายไฟมันก็ไม่ดังแล้วน้อง สายไฟมันถูกดึงออกจากกล่องไปแล้ว เราก็ขี้เกียจพูดอะไรมาก อืมๆ ไป

แต่พอช่างกลับไป บอกตรงๆ ว่าใจเราคอไม่ดีเลย เพราะทุกอย่างที่เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อวาน มันเริ่มไม่ใช่เรื่องบังเอิญแล้ว พอเริ่มคิดมาก ก็จิตตก ทีนี้ผสมปนกันมั่วไปหมดว่าอะไรเป็นอะไร 

เราเลยตัดสินใจโทรไปหาเพื่อนสนิท เล่าเรื่องราวให้เพื่อนฟังคร่าวๆ เพื่อนเราชื่อบี (นามสมมติ) เป็นหมอ เราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เรียนมัธยม เป็นเพื่อนรักคนเดียวที่เรามี ปัจจุบันบีโสด เลยติดต่อได้ตลอด 

บีเชื่อเรื่องวิญญาน แต่ไม่กลัวผี บีเคยบอกว่า ทุกอย่างมันมีเหตุมีผลของมัน ไม่ว่าจะเรื่องอะไร พอบีฟังจบ บีบอก… 

“มึงอาจแค่กำลังเครียดและวิตกกังวล เอางี้ เดี๋ยวกูไปนอนด้วย จะเอายานอนหลับกับยาคลายเครียดไปให้ด้วย เดี๋ยวเสร็จธุระแล้วจะเข้าไปเลย อย่าคิดมาก..”

บีมาถึงบ้านเราตอนทุ่มกว่าๆ พอมาถึงเปิดประตูหน้าบ้านเอารถเข้ามาจอดเสร็จ บีถามเราเลยว่า “เมื่อกี้ใครวะ เพิ่งเดินสวนรถออกไป?” 

เราก็งงสิคะ ใครเข้าบ้าน? เลยบอกไปว่า “กูอยู่คนเดียว ใครจะเดินสวนไปได้ ไม่เห็นมีใคร” บีบอก “กูเห็นผู้หญิงเดินออกจากบ้านมึงไป อุ้มแมวไปด้วย สงสัยเข้ามาตอนกูเปิดประตูเอารถเข้า มารยาทไม่มีเลย..”

เราฟังแล้วก็เงียบเลย เรื่องของน้องคนนั้นมันแว๊ปเข้ามาในหัวทันที แต่เรายังไม่ได้เล่าให้บีฟัง บอกแค่ช่างเถอะๆ

คืนนั้นเราไม่ได้คุยเรื่องที่เกิดขึ้นกับเราเลย ได้แต่ฟังบีคุยเรื่องงาน เรื่องคนไข้ และดูทีวี เราขึ้นนนอนกันประมาณเกือบเที่ยงคืน นอนคุยกันสักพัก ก็ได้ยินเสียงหมาเห่าดังมาก  เห่าแบบหลายตัวรุมเห่าอะไรสักอย่าง 

เรานอนฟังอยู่พักนึง เลยเปิดม่านดู แต่กลับไม่เห็นหมาสักตัว ได้ยินแต่เสียง ซึ่งเสียงมันใกล้มาก เหมือนมาจากถนนข้างบ้านเราเลย

บีบอก “มึงมานอนเหอะ แค่หมาเห่าเดี๋ยวมันก็เงียบ เราก็เชื่อเพื่อนและเข้านอน เผลอหลับไปตอนไหนไม่รู้ ด้วยฤทธิ์ยานอนหลับ มาสะดุ้งตื่นเพราะเสียงกริ่งดัง ดังแบบกังมาก!! ดังรัวๆ 4-5 ครั้ง พอกริ่งเงียบ เราใจเต้น ตึกๆๆๆๆ เลย เพราะกริ่งไม่มีสายไฟ จะดังได้ยังไง?? 

ยังไม่ทันตั้งสติ ก็ได้ยินเสียงแมวร้อง แง๊วววว ดังลั่นอยู่หน้าห้องนอนเรา เรากลัวมาก จะเรียกบีให้ตื่น พอหันไปหาบี ด้วยความที่ในห้องมันมืด ภาพที่เห็นคือบีนอนคลุมผ้าแบบผูกหัวท้ายมัดปม เหมือนผ้าห่อศพ!!

กรี๊ดดดดดดด…เราแทบช็อครีบกระโดดไปเปิดไฟ

บีตกใจสะดุ้งสุดตัว เพราะเสียงกรี๊ดของเรา กับภาพที่เห็นเมื่อกี้ มันจุกจนจะอ้วก เรายืนมองบีแบบงงๆ บีถามว่าเราเป็นอะไร? เราได้แต่ยืนอึ้งอย่างเดียว แต่บีตั้งสติแล้วค่อยๆ เดินมาหาเราด้วยอาการห่วงปนสงสัย และตกใจ 

บีบอกให้เราตั้งสติ เราอาจจะกลัวเรื่องทุกอย่างมากไป ให้อยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้ (เสียงแมวเงียบไปตอนไหนก็ไม่รู้ ทุกอย่างเกิดเร็ว จนจับทิศทางไม่ได้ว่าอันไหนก่อนหลัง) พอเราเริ่มสงบ เลยมานั่งคุยกันว่าจะทำยังไงดี? บีบอกว่าตอนนี้ก็ตี 3 แล้ว ถ้าโทรหาใครเค้าคงต้องลำบากแน่ๆ เราแค่ต้องมีสติไม่เตลิดไปไหน อยู่ในห้องรอจนเช้าค่อยโทรหาพี่ชายบีแล้วกัน

ระหว่างที่เราคุยกัน เราได้ยินเสียงคนกึ่งเดินกึ่งวิ่งขึ้นลงบันได ตลอดเป็นระยะๆ แต่เสียงมันเบา เลยไม่แน่ใจมาจากบ้านข้างๆหรือเปล่า แต่ก็ไม่กล้าเปิดประตูออกไปดู 

เราสองคนนั่งกันอยู่บนเตียง กะว่าคงไม่นอนแล้ว รอฟ้าสว่างหน่อย จะไปบ้านบีกัน.. 

จนประมาณเกือบตี 4 เราได้ยินเสียงคนคุยกันดังมาจากหน้าบ้านเรา เราถามบี “มึงได้ยินป่ะ?” บีบอก ได้ยินเหมือนกัน ในใจตอนนนั้นคิดว่า ถ้าเป็นคนคุยกันอย่างที่คิดก็จะดีมาก เราจะได้ออกไปกันตอนนี้เลย 

เราสองคนจึงไปเปิดม่านดู ปรากฏว่า เห็นคนประมาณ 10-15 คน ยืนคุยกันเป็นกลุ่ม กลุ่มละประมาณ 3-4 กลุ่ม แต่!! พวกเขายืนอยู่ตรงสนามหญ้าในบ้านเรา!! มองไปด้านหลังเห็นมีศพที่อยู่ในถุงซิปแบบไม่ห่อผ้า วางซ้อนกัน 2 ศพ และศพแบบห่อผ้าดิบ วางเรียงกันประมาณ 4 ศพ!! คือเห็นแบบนั้นเราตาค้างเลย ยืนขาแข็ง เหมือนจะหายใจติดขัดเลยค่ะ เราเกร็งจนทำอะไรถูก บีตกใจถึงกับกระโดดไปที่เตียง เรายังยืนอยู่ตรงนั้นแต่ไม่ได้มองแล้ว คือก้าวไม่ออกเลย

จนบีบอก “กูไม่ไหวแล้วว่ะมึง กูโทรหาพี่กูตอนนี้เลย..” พอเราได้สติก็กระโดดขึ้นเตียงไปกองรวมกัน พี่ชายบีรับสายถามยาวเลย บีบอกให้พี่มาตอนนี้เลย เดี๋ยวค่อยเล่าให้ฟังทีหลัง พี่ชายบอกต้องให้ตำรวจไปด้วยไหม หรือเอารถพยาบาลหรือเปล่า? บีบอกไม่ต้อง ให้พี่รีบมารับเลยตอนนี้ พี่ชายบีก็เลยวางสายไปแบบงงๆ แล้วรีบบึ่งรถมาทันที

ระหว่างที่รอพี่ชายบีมาถึง เรากับบีนั่งเบียดกันแน่นเลย ตอนนั้นเสียงคนเดินอยู่ชั้นล่างของบ้าน ขึ้นลงบันได เดินผ่านไปมาหน้าประตู เรากับบีได้ยินชัดเจนเหมือนกันหมด เราเริ่มร้องไห้ไม่หยุด บีปลอบเราว่า “พวกเค้าทำอะไรเราไม่ได้หรอก เค้าทำได้อย่างเดียวคือทำให้เรากลัว และเสียสติ ให้เราตั้งสติให้ได้”

ไม่นาน พี่ชายบีก็มา มีตำรวจสายตรวจ และยามในหมู่บ้านมาด้วย เราสองคนรีบลงมาเปิดประตูอย่างเร็ว  บีบอกให้เราอยู่เฉยๆ จะเล่าเรื่องราวเอง 

บีมีสติมาก เราได้แต่ยืนมึนงง บีบอกพี่ชายและตำรวจว่า เราอยู่กัน 2 คนบนห้อง ได้ยินเหมือนเสียงคนเดินเยอะมาก เลยคิดว่ามีขโมยขึ้นบ้าน เลยโทรตามพี่ชาย

ตำรวจเลยเข้ามาสำรวจในบ้าน ก็พบว่าประตูปิดแน่นสนิทหมดทุกบาน ฝ้าไม่มีรอยงัด แมลงสาบยังเข้ามาไม่ได้เลย ตำรวจตรวจทุกซอกมุม จนแน่ใจแล้วว่าไม่มีอะไรผิดปกติ เลยให้เบอร์ฉุกเฉินที่โรงพักไว้ ถ้ามีอะไรให้ติดต่อไปได้ 24 ชม. เราขอบคุณพี่ยาม พี่ตำรวจอย่างมาก และเก็บเอาของที่จำเป็นออกไปนอนพักกันที่บ้านบีในตอนนั้นเลย พอไปถึงบ้านบี ก็เจอพ่อแม่บีรอยู่แล้ว แต่เราตกลงกันว่าจะยังไม่เล่าอะไรให้ใครฟัง

พอเช้า ด้วยความที่ทุกคนในบ้านบีเป็นห่วง จึงมานั่งรอฟังเรื่องราวกันแต่เช้า แต่พวกเราก็ยังไม่ได้เล่าอะไรให้ใครฟัง 

วันนั้นบีตัดสินใจลางาน และชวนเราไปหาพระอาจารย์ที่นับถือที่ลพบุรี พอไปถึงวัด ลูกศิษย์ท่านบอกว่าท่านกำลังกลับ ให้รอสักครู่ 

เรารอประมาณ 1 ชั่วโมง พระอาจารย์ท่านก็มา ท่านมองพวกเราและบอกว่า “เข้ามานั่งในวิหารนี่ มาคุยกันในนี้ดีกว่า..” เราก็เข้าไป 

เราบอก “พระอาจารย์คะ ตอนนี้หนูเจอกับอะไรก็ไม่รู้ค่ะ ช่วยหนูทีนะคะ” แล้วเราก็เล่าสิ่งที่เกิดขึ้นให้ท่านฟัง ว่าเราทำอาชีพจัดดอกไม้มาสักพักแล้ว แต่ไม่ได้เล่าเรื่องไปเก็บของเก่ามาใช้จัดดอกไม้เมื่อไม่กี่วันก่อน 

ท่านฟังแล้วก็นิ่งอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะบอกว่า “ทุกอย่างมันมีที่มาที่ไป ไม่มีอะไรมาโดยที่เราไม่ได้ทำ หรือไม่ได้นำพาเขาเข้ามาหรอก..” พระอาจาย์ถามเราย้ำอีกว่า เราได้ทำอะไรที่แปลกไป หรือเปลี่ยนไปจากเดิมหรือเปล่า? เรานี่อ๋อเลย รีบเล่าเรื่องที่เราซื้อของเก่ามาใช้ให้ท่านฟัง

พระอาจารย์ฟังแล้วถอนหายใจเลย ท่านบอกกับเราว่า ของพวกนี้มันก็เหมือนของโจร มันเป็นของที่เจ้าของไม่ได้อนุญาต ญาตเขาจ่ายตังซื้อของใหม่ มันเป็นของใครของมัน แล้วแบบนี้ผีไม่เต็มบ้านรึ!? 

เราได้ฟังนี่ขนลุกเลย บีนี่นั่งเงียบอย่างเดียว เราถามว่า แล้วทีนี้หนูควรทำยังไง เอาไปเผาทิ้งได้ไหมคะ ตอนนี้เก็บไว้เต็มหลังบ้านเลย 

พระอาจารย์บอกไม่ต้องไปเผา ให้เอาไปคืนที่เดิมที่เอามาก็พอ แล้วจุดธูปกลางแจ้ง 7 ดอก จากนั้นท่องว่า 

“ข้าพเจ้าชื่อ….. นามสกุล….. ขอขมาในสิ่งที่ข้าพเจ้าได้ทำผิดพลาดพลั้งไป ผ่านพระแม่ธรณี ขอดินฟ้าอากาศจงรับรู้รับแจ้ง การใดต่อไปนี้ ข้าพเจ้าจะทำโดยไม่หวังผลประโยชน์ใดๆ ถือความสุจริตเป็นที่ตั้ง ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ข้าพเจ้าเป็นลูกศิษย์…..” 

ทำแค่นี้ แล้วเอาของทั้งหมดไปคืนที่เดิม แค่นี้ก็หมดเรื่อง เรากับบีสนทนากับพระอาจารย์อีกนิดหน่อย ก่อนจะลากลับ คิดว่ากว่าจะถึงบ้านก็คงค่ำแล้ว เลยว่าจะนอนค้างที่บ้านบีก่อน พรุ่งนี้ค่อยไปจัดการ พอเราก็กลับมาถึงบ้านบี เรานอนหลับเหมือนตายเลย

ตอนเช้าบีติดนัดคนไข้ เลยมากับเราไม่ได้ เราเลยต้องโทรชวนน้องนุ่น ให้นุ่นไปเจอที่บ้านเลย เพราะเรานั่งแท๊กซี่มา 

พอเจอน้องนุ่น น้องถามว่า “พี่มีญาติอยู่ในบ้านเหรอ? หนูเห็นเดินอยู่ เรียกก็ไม่เปิด สงสัยเค้าไม่รู้จักหนูมั้ง” เราก็ไม่ได้ตอบอะไรเพราะกลัวจะยาว เลยบอกนุ่นไปว่า “วันนี้เราจะเก็บของไปคืนที่วัด” 

น้องนุ่นโวยวายใหญ่เลย บอกอุตส่าห์ล้าง สัปเหร่อโทรตามเอาคืนเหรอพี่? เราก็ไม่ได้ตอบอะไร ได้แต่บอกว่า “ให้รีบๆ เก็บเถอะ จะได้ไปกัน” น้องมันคงเห็นเราเครียดๆ เลยไม่กล้าถามอะไรต่อ

วันนั้นเราไปถึงวัดก็ไม่เจอสัปเหร่อคนเดิมแล้ว แต่ก็เอาของไปวางเรียงไว้ข้างๆ เมรุ ที่เอามาตอนแรก และพูดในใจว่า “เราเอามาคืนแล้ว เราไม่เอาแล้ว” เหตุการณ์นี้ทำเอาเราเข็ดไปตลอดชีวิตการทำดอกไม้เลย.. 

ปัจจุบัน เราทำงานโดยซื้อของใหม่หมด เริ่มปักเก่งขึ้น รู้เทคนิควิธีการ รู้จักตลาดดอกไม้กว้างขึ้น กำไรก็เลยเยอะขึ้นค่ะ ชีวิตโดยรวมดีขึ้นมาก น้องนุ่นก็ยังช่วยงานเราอยู่ เอาลูกมาเลี้ยงด้วย หลังจากนั้นมาก็ยังไม่เจออะไรจังๆ แบบนั้นอีกนะคะ มีเจอบ้าง แต่ไม่ชัดเท่าไหร่ มาเป็นกลิ่นบ้าง เสียงบ้าง แต่ไม่หนักค่ะ 

ขอบคุณเรื่องจาก Nuntha Antimanont สมาชิกกลุ่ม TheHOUSE 

LEAVE A REPLY

Please enter your comment!
Please enter your name here