Home ย้อนรอยคดีดัง ย้อนรอยคดีดัง พิษรักสามเส้า คดีดังหมอสังหารหมอพิษรักอำพราง

ย้อนรอยคดีดัง พิษรักสามเส้า คดีดังหมอสังหารหมอพิษรักอำพราง

ย้อนรอยคดีดัง พิษรักสามเส้า คดีดังหมอสังหารหมอพิษรักอำพราง

ย้อนรอยคดีดังวันนี้เกิดขึ้นเมื่อ 20 ปีก่อน เป็นเรื่องของแพทย์คนหนึ่งที่มีปมปัญหามาจากรักสามเส้ากับแฟนที่เป็นแพย์เช่นกัน แล้วเกิดเคลียกันไม่ลงตัว จนนำไปสู่เรื่องราวสุดสลด สะเทือนใจ เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น เชิญติดตามได้เลย…

เช้ามืดวันที่ 27 ตุลาคม ปี พ.ศ. 2545 ในยามราตรีคืนอันเงียบสงัด พนักงานขับรถบัสโดยสารได้แจ้งเหตุรถยนต์ถูกไฟไหม้ ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรเด่นชัย รีบมาถึงที่เกิดเหตุในเวลาไม่นาน เนื่องจากเป็นช่วงเช้ามืดการจราจรจึงโล่งแทบไม่มีรถผ่านไปมา ก่อนที่แจ้งวิทยุเพื่อขอกำลังเสริมมาในที่เกิดเหตุ

สภาพเปลวไฟกำลังลุกไหม้รถยนต์ท่วมคันอย่างบ้าคลั่ง เจ้าหน้าที่ดับเพลิงเร่งฉีดน้ำอย่างเร่งรีบจนกลุ่มไฟเริ่มกลับสู่ภาวะปกติมีไฟหลงเหลืออยู่บ้างเล็กน้อย 

ในขณะนั้นผู้ช่วยพนักงานสอบสวนได้ขับรถพา พ.ต.ท.อดุลย์ กัปกัลป์ (พนักงานสอบสวน) สภ.อ.เด่นชัย มาถึงที่เกิดเหตุ และสัญชาติญาณมือทำสำนวนสอบสวนทำให้เขาเห็นอะไรบางอย่างในกองเพลิงด้านหน้า

สารวัตรอดุลย์ สั่งให้เจ้าหน้าที่ดับเพลิงหยุดฉีดน้ำลงก่อน เพราะกลัวหลักฐานจะหายแล้ว และรีบกดโทรศัพท์รายงานแจ้งเหตุให้ พ.ต.อ.ปิยบุตร อัจฉริยะมงคล ผกก.สภอ.เด่นชัย (ในขณะนั้น) เพื่อให้รับทราบเบื้องต้น

ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงหลังได้รับแจ้ง พ.ต.อ.ปิยบุตร ก็มาถึง ณ จุดเกิดเหตุ เขาเดินวนไปวนมาอยู่รอบรถหลายรอบเพื่อรอให้เวลาฟ้าสางพลางครุ่นคิดตั้งคำถามในใจ ว่าเหตุการณ์นี้ไม่น่าใช่อุบัติเหตุธรรมดา

เพราะสังเกตจากสรีระหลังจากที่ใช้ไฟฉายส่องดู พอจะเดาได้ว่าผู้ตายน่าจะเป็นผู้หญิง หากเป็นผู้หญิง ไม่น่าจะเดินทางมาคนเดียว เพราะถนนเส้นนี้ค่อนข้างจะเปลี่ยว

ด้วยประสบการณ์และความเก๋าเกมส์ของ ผกก. จึงสั่งให้สารวัตรอดุลย์รีบแจ้งกองวิทยาการและแพทย์เวรมาร่วมชันสูตรพร้อมกัน ระหว่างที่รอผู้เชียวชาญและทีมแพทย์มาถึง ผกก.ก็ได้เล่าถึงเหตุและผลให้ลูกน้องที่ร่วมตรวจฟัง ถึงข้อพิรุธของคดีนี้ เขากล่าวว่า

“หากเป็นคดีอุบัติเหตุจะต้องมีรอยครูด รอยเบรก รอยยางรถยนต์ไปกับพื้นถนน และวัตถุที่แตกหักบนถนน รวมถึงในรถ เกียร์ก็ยังอยู่ในตำแหน่งเกียร์ว่าง ร่องรอยความเสียหายภายในรถมีความผิดปกติ มีเศษถ่านวางตรงหน้าตักผู้ตายเยอะมาก พอเปิดฝาถังน้ำมันรถก็กลับไม่พบอะไร!!”

ลูกน้องของเขาพยักหน้า เห็นด้วยกับสิ่งที่เขาพูด ว่ามันแปลกจริง ๆ ดูยังไงก็มิใช่เพียงอุบัติเหตุทั่วไป หากแต่คิดว่า ผู้ตายน่าจะเสียชีวิตมาจากที่อื่น แล้วคนร้ายนำศพมาเผาทำลายหลักฐานเสียมากกว่า

ข้อมูลที่ ผกก.ปิยบุตร วิเคราะห์มาถูกจดลงในสมุดตรวจที่เกิดเหตุ พร้อมรวบรวมผ่านเพื่อส่งแฟกซ์ไปยัง พ.ต.ต.นิยม กลั่นกลิ่นหอม (ผู้บังคับการตำรวจภูธร จ.แพร่) ก่อนที่จะเข้าประชุม

ในที่ประชุมนั้น ผกก.ปิยบุตร เป็นผู้สรุปรายงานผลการตรวจที่เกิดเหตุให้ ผู้การฯ ได้รับทราบ ถึงผลการตรวจของกองวิทยาการระบุว่า สภาพศพมีคราบน้ำมันเชื้อเพลิงติดอยู่ตามผิวร่างกาย เพื่อเป็นเชื้อเร่งการเผาทำลาย ก่อนที่จะแบ่งงานกับฝ่ายสืบสวน เร่งสืบว่าผู้ตายเป็นใคร มาจากไหน 

หลังเลิกการประชุม ผกก.ปิยบุตร กดโทรศัพท์ไปที่กรมขนส่ง จ.เชียงราย พร้อมแจ้งชื่อ-นามสกุล ตำแหน่งให้เจ้าหน้าที่ทราบ ก่อนจะขอร้องให้ช่วยตรวจสอบทะเบียนรถ กง636 เชียงราย ที่ถูกเผาว่าใครเป็นผู้ครอบครองรถ

ครู่เดียวเท่านั้นเสียงปลายสายจากเจ้าหน้าที่ขนส่งก็ตอบกลับมาว่า “ผู้ครอบครอง คือ แพทย์หญิง พัทธนันท์ ไชยวงศ์ อายุ 25 ปี ค่ะ บ้านเลขที่ XXX อ.แม่จัน จ.เชียงราย”

ผกก.ปิยบุตร ค่อนข้างพึงพอใจกับข้อมูลที่ได้มา เพราะอย่างน้อยเขาก็พอรู้ข้อมูลของเจ้าของรถเบื้องต้นแล้ว ทันใดนั้น ผกก.ปิยบุตร รีบสั่งให้ฝ่ายสืบสวนติดต่อ พญ.พัทธนันท์ หรือ ญาติเป็นการด่วน ?

ในเที่ยงวันเดียวกัน “นางพิศมัย ไชยวงศ์” วัย 50 ปี รีบเดินจ้ำพรวดมาบนโรงพัก ก่อนจะแสดงตัวกับพนักงานสอบสวนว่า เธอคือแม่ของ พญ.พัทธนันท์ หรือ หมอออม เธอเดินเข้ามาพร้อมหน้าตาตื่นตะหนก พร้อมสอบถามว่า “ลูกฉันเป็นอะไรหรือเปล่า? เกิดอะไรขึ้นกับลูกฉัน?”

เจ้าหน้าที่ตำรวจ ต้องช่วยกันเกลี้ยกล่อมให้เธอใจเย็น ๆ พร้อมกับนำน้ำดื่มมาให้เธอดื่มก่อน แต่แม่ของหมอออม กลับอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เธอบอกกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า 

“คุณตำรวจเรียกฉันมามีอะไร ว่ามาได้เลยค่ะ” เธอค่อนข้างร้อนรุ่มใจอยู่เหมือนกันเพราะไม่สามารถติดต่อลูกสาวได้ตั้งแต่เมื่อคืนที่ผ่านมา

เจ้าหน้าที่ตำรวจเห็นแม่ของหมอออมเริ่มสงบสติอารมณ์ได้ จึงหยิบสร้อยและพระมาให้ดู พร้อมทั้งถามแม่ของหมอออม ว่า “ของพวกนี้ใช่ของหมอหรือเปล่าครับ?”

แม่หมอออม มองเพียงแวบเดียว ก็จำได้ทันทีว่า สร้อยคอทองคำและพระเลี่ยมทองนั้น เป็นของหมอออม เพราะเธอเป็นคนซื้อให้เป็นของขวัญให้กับลูกสาวเธอในวันที่สำเร็จการศึกษาจากคณะแพทย์ศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งในขณะนั้นเธอเป็นเพียงแพทย์ฝึกหัดประจำโรงพยาบาล อ.ปง จ.พะเยา ได้เพียงสัปดาห์เดียวเท่านั้นเอง

แม่หมอออม ลุกพรวดขึ้นจับแขนคู่สนทนาก่อนเขย่าอย่างแรงพร้อมปล่อยโฮ “ลูกสาวฉันอยู่ไหน เป็นอะไรคะคุณตำรวจ!!”

และทันทีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจบอกเรื่องหมอออมกับแม่ของเธอ ร่างของแม่หมอออมล้มพับและสติสัมปชัญญะดับวูบลง!

ผกก.ปิยบุตร สั่งตั้งแฟ้มและเก็บข้อมูลทั้งหมด หลังจากที่มีการสอบปากคำ แม่หมอออม โดยให้ทีมสืบสวนแยกย้ายกันไปตามหาพยานบุคคล รวมถึงกลุ่มเพื่อนหมอออม ที่โรงพยาบาล อ.ปง และกำลังอีกส่วนหนึ่งให้มุ่งหน้าไปที่ โรงพยาบาลพระพุทธชินราช จ.พิษณุโลก ซึ่งหมอออมเคยเป็นแพทย์อินเทิร์นที่แห่งนั้น

วันรุ่งขึ้น พ.ต.ท.จิตรพิสุทธิ์ อิ่มสงวน รอง ผกก.สส.ภ.5 พ.ต.ท.ชรินทร์ เดินทางไปจังหวัดพิษณุโลก พร้อมประสาน พ.ต.อ.สุทธิพงษ์ วงษ์ปิ่น ผกก.สส.ภ.6

ในหลายส่วนที่ช่วยกันสืบสวน สืบค้น หาข้อมูลของคดีนี้ จนสุดท้ายได้ข้อมูลมา ว่า ในขณะที่หมอออมทำงานอยู่ในโรงพยาบาลพระพุทธชินราช ได้มี นพ.ศรชาติ ศิริโชติ หรือ หมอแฮม เป็นแพทย์รุ่นพี่ และมีคนรักอยู่ก่อนแล้ว คือ พญ.กนกวรรณ ไอยมณีรัตน์ หรือ หมอเจน

จนเป็นปัญหาติดพันถึงขั้นมีปัญหากัน ด้วยปัญหารักสามเส้านี้จึงทำให้ หมอออมต้องย้ายออกไปอยู่ อ.ปง

ทีมสืบสวนเช็คข้อมูล พบว่า ช่วงเวลา 11:30-13:00 น. ของวันที่ 26 ตุลาคมนั้น ผู้ตายและหมอแฮมยังติดต่อกันอยู่ และจากข้อมูล กล่าวว่า หมอเจนได้ขึ้นรถปรับอากาศเพื่อเดินทางจากกรุงเทพฯขึ้นไปพิษณุโลก โดยหมอแฮมมารอรับที่สถานีขนส่งในช่วงหัวค่ำด้วย

หลังจากนั้น ทั้งหมอแฮมและหมอเจนได้ขับรถไปซื้อน้ำมันเบนซิน 95 ที่ปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่ง เด็กปั๊มจำหน้าหมอแฮมได้เนื่องจาก หมอแฮมเป็นหนุ่มที่หน้าตาจัดว่าดีเลยทีเดียว

ก่อนที่ทั้งสองจะชวนเพื่อนๆ ไปร้องเพลงที่คาราโอเกะที่โรงแรมแห่งหนึ่ง จนกระทั่งเที่ยงคืนหมอแฮมและหมอเจนได้แยกย้ายกับเพื่อน ๆ ของพวกเขา

วันที่ 28 ตุลาคม ปี พ.ศ.2545 ทีมสืบสวนเปิดเกมส์รุกโดย พ.ต.อ.สุทธิพงษ์ ประสาน พ.ต.อ.ประยนต์ ลาเสือ ผกก.3 ป. และ พ.ต.ท.สุพจน์ พรมศิริ รอง ผกก.3 ป.

โดยเชิญตัวหมอเจนจากโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เพื่อมาสอบปากคำที่กองปราบปรามก่อนจะปล่อยตัวกลับไป โดยส่วนหนึ่งกำลังคอยดูความเคลื่อนไหว โดยไม่ให้หมอเจนรู้ตัว!

หลังจากการสอบปากคำ ทางฝ่ายสืบสวน พบว่า หมอเจนรีบเดินทางไปขึ้นเครื่องบินมาจังหวัดพิษณุโลกทันที เมื่อถึงสนามบินจังหวัดพิษณุโลก สภ.อ.เด่นชัย กับ กก.สส.ภ.6 ได้สะกดรอยตาม และได้พบ นพ.ศรชาติ มารอรับที่สนามบิน ก่อนที่ทั้งคู่จะพากันเข้าพักที่โรงแรมอัมรินทร์ลากูน

ทีมสืบสวนจึงเชิญ หมอแฮม มาสอบปากคำ พร้อมยึดรถเก๋งของเขามาตรวจสอบ และพบว่ามีร่องรอยถูกล้างทำความสะอาด และเมื่อสอบถามกับหมอแฮม เขาก็อ้างว่า ฝนตกทำให้รถเปรอะเปื้อนเอารถไปล้างเพื่อทำความสะอาด

ผกก.ปิยบุตร ยังไม่ลดละความพยายาม เขาตรวจสอบภายในรถของหมอแฮมอย่างละเอียดยิบ จนกระทั่ง เขาพบเศษดินติดอยู่ที่ก้านคลัตช์ จึงเก็บมาไว้เป็นหลักฐาน

ก่อนที่จะกลับไปที่จุดเกิดเหตุอีกครั้ง และเก็บเศษดินบริเวณนั้นใส่ถุง และส่งให้กองพิสูจน์หลักฐาน สำนักงานตำรวจแห่งชาติตรวจสอบ

ผลตรวจ พบว่า เป็นลักษณะดินเหมือนกันเป๊ะ และนั่นทำให้ตำรวจเชิญตัวหมอแฮมมาสอบปากคำอีกครั้ง

แต่หมอแฮมให้การปฎิเสธ  ว่าไม่รู้ไม่เห็นอะไรเลยเกี่ยวกับคดีนี้ จนกระทั่งทีมสืบสวนได้นำหลักฐานทั้งหมดให้หมอแฮมดู คราวนี้หมอแฮมถึงกับหน้าถอดสี และเปลี่ยนใจยอมรับสารภาพกับสิ่งที่ได้ทำลงไป

ในที่สุดหมอแฮมก็รับสารภาพ แล้วเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้เจ้าหน้าที่ตำรวจฟัง ด้วยความเสียใจของการพลั้งมือที่ทำให้คนที่เขารักเสียชีวิต

เขาสองคนมีปากเสียงทะเลาะกันรุนแรงที่ร้านก๋วยเตี๋ยว (จากปากคำของคนที่อยู่ภายในร้าน) ด้วยความโมโหทำให้ทั้งคู่เริ่มใส่อารมณ์กันมากขึ้น ทำให้ทั้งร้านพวกเราทั้งสองตกอยู่ในสายตาของคนทั้งร้าน ทั้งคู่จึงรีบออกจากที่นั่น เพราะคงไม่อยากให้ใครได้ยินเรื่องที่ทะเลาะกัน

จึงมุ่งหน้าขับรถไปเส้นทางหลวงพิษณุโลก-นครสวรรค์ และระหว่างที่อยู่ภายในรถกันสองคน เขาทั้งคู่ก็ยังคงทะเลาะกันอย่างรุนแรงไม่มีทีท่าว่าจะหยุด หมอแฮมจึงพลั้งมือบีบคออีกฝ่ายจนแน่นิ่งไป

ตอนแรกหมอแฮมคิดว่า หมอออม เพียงแค่สลบไป หากแต่พอตรวจดูจริง ๆ หมอออมกลับเสียชีวิตไปแล้ว หมอแฮมจึงปล่อยให้เลยตามเลย แล้วขับรถไปที่ทุ่งนาที่ลับตาคน

หมอแฮมเคลื่อนย้ายศพไปที่กระโปรงหลังรถ แล้วขับกลับหอพักที่โรงพยาบาลพุทธชินราช ในตอนนั้นหมอแฮมเองก็มืดแปดด้าน เขาทำอะไรไม่ถูก จึงตัดสินใจกดโทรศัพท์หาหมอเจน โดยบอกกับหมอเจนว่า เขามีเรื่องอยากขอความช่วยเหลือ

ช่วงค่ำของวันนั้น หมอเจนเดินทางจากกรุงเทพ มาถึง จ.พิษณุโลก และได้ชักชวนเพื่อน ๆ ไปร้องเพลงที่ร้านคาราโอเกะ เป็นการอำพราง กระทั่งแยกย้ายจากเพื่อน ๆ พวกเขาได้กลับมาหอพักแพทย์และให้หมอเจนเป็นผู้ขับรถผู้ตายตามไป

เมื่อถึงที่เปลี่ยวไร้ซึ่งผู้คน หมอแฮมจึงทำการราดน้ำมันทั่วศพและรถของเธอแล้วจุดไฟเผาเพื่อต้องการทำลายหลักฐานทั้งหมด

พนักงานสอบสวนจึงแจ้งข้อหาฆ่าผู้อื่นตายโดยเจตนา ก่อนจะรวบรวมพยานหลักฐานขอหมายศาล จ.แพร่ จับกุมหมอเจนอีกคน ในฐานะผู้สมรู้ร่วมคิด หมอเจนถูกศาลฎีกาพิพากษาความผิดฐานร่วมกันทำลายศพ โดย จำคุก 2 ปี แต่ให้รอลงอาญา 2 ปี

วันที่ 2 ธันวาคม ปี พ.ศ.2547  หมอแฮม มีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา โทษจำคุกตลอดชีวิต แต่เห็นว่า จำเลยได้บรรเทาผลร้ายด้วยการชดใช้ค่าเสียหายให้แก่มารดาผู้ตาย

ประกอบกับคำให้การของจำเลยเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี จึงบรรเทาโทษในข้อหาเจตนาฆ่า เหลือจำคุก 33 ปี 4 เดือน ฐานร่วมกันทำลายศพ จำคุก 2 ปี โทษรวม 2 ข้อหา จำคุก 35 ปี 4 เดือน

คดีนี้ถือเป็นที่สิ้นสุด เพียงแค่ศาลชั้นต้น เพราะหมอแฮมไม่อุทธรณ์คดี เป็นอันปิดฉากตำนานรักสามเส้า

ในกรณีของหมอแฮม ที่ฆ่าหมอออม นั้น พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ได้เคยแสดงทัศนะในเรื่องนี้ว่า “เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องจริยธรรม แต่เป็นเรื่องกระบวนการคิดกับกระบวนการแก้ปัญหา ซึ่งเป็นลักษณะของคนเก่งแพ้ไม่เป็น เป็นวัฒนธรรมของคนรุ่นใหม่ที่เราเน้นไอคิว คือภูมิความรู้มากกว่าอีคิวหรือภูมิความรัก”

คุณหมอพรทิพย์ได้กล่าวต่อไปว่า “เพราะนอกจากหมอเป็นคนฆ่าแล้ว ยังมีวิศวกรฆ่า ทนายความฆ่า ตำรวจฆ่า เยอะมากเลยนะ ไม่ได้เกี่ยวกับความเป็นแพทย์ เกี่ยวกับความเป็นคนเก่งแล้วแพ้ไม่เป็น การแพ้ไม่เป็นมาจากระบบการศึกษาแน่นอนอยู่แล้ว 100% กับระบบการเลี้ยงดูตั้งแต่เด็ก เพราะเราเน้นแต่เรื่องความเก่ง”

และในเรื่องทั้งหมดนี้กำลังสะท้อน ว่า ระบบการศึกษาของเราเน้นกันแต่เรื่องความเก่ง จนเป็นคนที่แพ้ไม่เป็น เพราะเราไม่ได้เปิดโอกาสให้มีการเสริมสร้างให้คนเก่งเหล่านี้มีคุณธรรมในใจ เพื่อจะได้ประคองให้เขาเหล่านี้สามารถดำรงชีวิตไปในทางที่ถูกต้องได้ตลอดไป

สรุปง่าย ๆ เลยก็คือ สิ่งที่สังคมไทยกำลังโหยหาในปัจจุบัน ไม่ใช่ เพียงแค่ “ไอคิว” หากแต่ควรจะเป็น “อีคิว” ซะมากกว่า แล้วทุกท่านล่ะคะ คิดเห็นอย่างไรบ้างกับเรื่องนี้ ร่วมพูดคุย แสดงความคิดเห็น แลกเปลี่ยนความรู้กันได้นะคะ ขอบพระคุณที่ติดตามกันค่า 😊🙏

เรียบเรียง : Red Diary.blockdit

LEAVE A REPLY

Please enter your comment!
Please enter your name here