Home คลังหลอน ต้มยำกุ้งน้ำข้น ยื่นถุงต้มยำให้ลุง เช้าพบถุงหล่นอยู่หน้าบ้าน

ต้มยำกุ้งน้ำข้น ยื่นถุงต้มยำให้ลุง เช้าพบถุงหล่นอยู่หน้าบ้าน

ต้มยำกุ้งน้ำข้น ยื่นถุงต้มยำให้ลุง เช้าพบถุงหล่นอยู่หน้าบ้าน

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อ 18 ปีที่แล้ว ตอนนั้นคุณแวนยังอาศัยอยู่ที่คอนโดแถวลาดพร้าว ด้วยความที่อยู่มานาน คุณแวนจึงสนิทกับ รปภ. ประจำตึก แกชื่อว่าพี่สมหมาย ช่วงนั้นเป็นช่วงวันหยุดยาวของเทศกาลสงกรานต์ คนส่วนมากจะเดินทางกลับต่างจังหวัด แต่คุณแวนเลือกที่จะไปนอนค้างบ้านเพื่อนในกรุงเทพฯ เพราะขี้เกียจไปเจอรถติดที่ต่างจังหวัด แล้ววันพุธค่อยกลับมานอนที่คอนโดตัวเอง 

15 เมษา ช่วงสาย ๆ ของวัน หลังจากนั่งแท็กซี่กลับมาถึงคอนโด แท็กซี่ได้จอดส่งคุณแวนที่หน้าป้อมยาม สิ่งแรกที่คุณแวนเห็นคือ พี่สมหมายกำลังยืนคุยอยู่กับพี่ยอด ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของลุงสมหมาย ซึ่งคุณแวนก็เคยเห็นหน้าค่าตาบ้างบางครั้ง 

ภาพที่คุณแวนเห็นคือ พี่ยอดนั่งคุกเข่าลงกับพื้น ร้องไห้ฟูมฟาย เช็ดนำตาไปด้วย พูดไปด้วย อยู่ตรงหน้าพี่สมหมายที่กำลังยืนอยู่ 

คุณแวนสงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้น พี่ยอดเค้าเป็นอะไร แต่ดูจากสถานการณ์แล้วน่าจะไม่ค่อยดี คุณแวนก็เลยเลี่ยงที่จะเข้าไปทักพี่สมหมาย แต่จังหวะนั้นพี่สมหมายเห็นคุณแวนพอดี ก็เลยจะเดินมาเปิดประตูให้ คุณแวนจึงบอกไปว่า “ไม่ต้อง ๆ ไม่ต้องพี่ เดี๋ยแวนจัดการเอง” 

จริงๆตอนนั้นคุณแวนตั้งใจว่าจะเดินเข้าไปสวัสดีปีใหม่ไทยพี่สมหมาย แต่เพราะเห็นว่าสถานการณ์ไม่สู้ดี ก็เลยจะเดินขึ้นห้องไปเลย 

ประมาณช่วงบ่ายๆ คุณแวนเอาผ้าลงมาซักที่ใต้คอนโด ขณะที่คุณแวนกำลังนั่งรอเครื่องซักผ้าว่างอยู่นั้น จู่ ๆ คุณแวนก็ได้ยินเสียงกระพรวนของเด็ก ดัง กุ้งกิ้ง กุ้งกิ้ง มาแต่ไกล จึงหันไปมองตามเสียงนั้น ก็เห็นว่าพี่สมหมายแกเดินออกมาจากลานจอดรถพอดี 

แต่ด้วยเหตุการณ์ที่เจอก่อนหน้านี้ ทำให้คุณแวนไม่กล้าทักพี่สมหมาย แต่แล้วพี่สมหมายก็ทักคุณแวนขึ้นมาก่อนเลย…

“อ้าวว่าไงแวน อยู่เฝ้ากรุงเทพฯเหรอ กลัวกรุงเทพหายหรือไง” 

“อ้าวพี่ นึกว่าวัยรุ่นที่ไหน พวงกุญแจกุ้งกิ้งคิขุเลยนะ” คุณแวนก็ตอบไป

จังหวะที่คุณแวนกำลังพูด พี่สมหมายก็เดินมาถึงตัวคุณแวนพอดี แล้วก็พูดว่า 

“มันไม่ใช่พวงกุญแจหรอกน้องแวน มันเป็นกำไลข้อเท้าเด็กของลูกไอ้ยอดมัน มันเอามาฝากพี่ไว้” พูดจบพี่สมหมายก็ควักซองกระดาษสีน้ำตาลออกมาให้คุณแวนดู  ภายในถุงมีตลับใส่ทองสีแดง และเงินสดอีกปึกหนึ่ง 

“โอ้โห รวยแล้วนี่พี่” คุณแวนอุทานออกไป

“เปล่าหรอก ไอ้ยอดมาฝากพี่ไว้”

“แล้วทำไมพี่ยอดเขาต้องเอามาฝากพี่ไว้ด้วยล่ะ” 

“ไอ้ยอดมันกลัว มันไม่กล้าเก็บไว้เอง มันก็เลยมาฝากพี่ไว้ก่อน” 

“เขากลัวอะไรหรอพี่”

พี่สมหมายก็เลยย้อนถามคุณแวนกลับมาว่า “น้องแวนอยากรู้จริงๆหรอ” พร้อมด้วยในตาที่แดงก่ำเหมือนจะร้องไห้

คุณแวนก็ตอบกลับไป “อยากจริงๆพี่ แต่ถ้าเล่าไม่ได้ก็ไม่เป็นไรนะพี่” 

“เล่าได้ งั้นรอแป๊บนึง พี่ใกล้จะออกเวรแล้ว เดี๋ยวพี่กลับมาให้ฟัง”

พี่สมหมายหายไปสักพัก แล้วก็กลับมาพร้อมกับชุดลำลอง “ วันนี้พี่ลาครึ่งวัน พอดีพี่จะต้องไปงานศพน่ะ”

“เอาแล้วไง มันจะเกี่ยวกับเรื่องนี้ไหมนะ” คุณแวนคิดในใจ จริงๆแล้วคุณแวนเป็นคนกลัวผี แต่ด้วยความที่ยังกลางวันแสก ๆ ก็เลยใจกล้าที่จะฟัง 

พี่สมหมายบอกคุณแวนให้มานั่งคุยกัน ด้วยท่าทางซีเรียส แล้วเริ่มเล่าว่า สมัยตอนที่พี่สมหมายกับพี่ยอดเข้ามาหางานทำในกรุงเทพฯใหม่ๆ ทั้งคู่ได้เช่าห้องพักอยู่ด้วยกันแถวสุขาภิบาล ตัวพี่สมหมายได้งานก่อนพี่ยอดประมาณ 2 เดือน ส่วนพี่ยอดก็เป็นคนที่ชอบงานแนวขับรถ ไม่ชอบอยู่กับที่ หรือเป็นยามแบบพี่สมาย

มีอยู่วันหนึ่งหลังจากเลิกงาน พี่ยอดและพี่สมหมายก็ออกมากินก๋วยเตี๋ยวที่หน้าเซเว่นกัน ช่วงที่ก๋วยเตี๋ยวกำลังยกมาเสิร์ฟ ก็มีรถคันนึงขับเข้ามาจอดที่หน้าเซเว่น มีผู้ชายคนหนึ่งเดินลงมาจากรถ และเดินเข้าไปในเซเว่น กลิ่นน้ำหอมลอยฟุ้งมาแต่ไกล เขาหน้าตาดีมาก หล่อระดับดาราเลยก็ว่าได้ 

ในขณะเดียวกันโต๊ะข้างๆพี่สมหมายก็มีผู้หญิงและผู้ชายอยู่คู่หนึ่ง คาดว่าน่าจะเป็นแฟนกัน กำลังนั่งกินก๋วยเตี๋ยวกันอยู่ พอผู้หญิงเห็นพี่ผู้ชายหน้าตาดีคนนั้น ก็กรี๊ดกร๊าดออกหน้าออกตา ชมว่าหล่ออย่างนู้นอย่างนี้ไม่หยุด ต่อหน้าแฟนของตัวเอง 

พี่สมหมายพูดเบาๆกับพี่ยอดว่า “กูว่าเดี๋ยวต้องเป็นเรื่องแน่ๆ” พูดยังไม่ทันขาดคำ จังหวะที่พี่สุดหล่อคนนั้นกำลังถือของพะรุงพะรังเดินออกมาจากเซเว่นกลับไปที่รถ คงเพราะด้วยความหึงที่แฟนชมคนอื่นต่อหน้าตนเอง แฟนผู้หญิงก็เลยตะโกนออกไปว่า 

“เฮ้ยเฮ้ย นี่มึง มึงคิดว่ามึงหล่อมากใช่ไหม” 

แต่พี่สุดหล่อคนนั้น คงจะไม่ได้ยิน หรือไม่คิดว่าจะมีใครมาเรียกเขา จึงเดินกลับไปที่รถตามปกติแฟนผู้หญิงจึงรู้สึกโมโห คิดว่าเขาหยิ่งหรอ ถึงทำเป็นไม่สนใจ เรียกแล้วไม่หันมา 

“อ๋อ มึงหล่อมากใช่ไหม เดี๋ยว ๆ มึงเจอกู” 

จากนั้นแฟนผู้หญิงก็ลุกขึ้นคว้าโต๊ะสแตนเลส เดินตามพี่สุดหล่อไป ช่วงที่เขากำลังยกเก้าอี้ขึ้นเตรียมจะตีไปที่หัว ด้วยความที่พี่สุดหล่อยืนหันหลังให้ จึงไม่รู้ตัวว่าตนเองกำลังจะโดนทำร้าย 

พี่ยอดที่เห็นเหตุการณ์มาตั้งแต่แรก และนั่งใกล้รถของพี่สุดหล่อ จึงรีบลุกไปผลักพี่สุดหล่อ และยกแขนของตัวเองมาบังเก้าอี้ จนตัวเองรับไปเต็มๆ 

ด้วยความโมโห บวกกับฟิวขาด พี่ยอดกับแฟนของผู้หญิง ก็แลกหมัดกันอยู่พักหนึ่ง จนผู้หญิงเห็นว่าอีกฝ่ายหนึ่งบาดเจ็บจึงรีบมาดึงแฟนหนีไป

ตัดภาพมาที่พี่ยอด แกเริ่มบ่นว่าปวดแขน พี่สุดหล่อและพี่สมหมายจึงรีบพาพี่ยอดไปโรงพยาบาล สรุปพี่ยอดมีอาการไหล่หลุดต้องนอนพักตัวอยู่ที่โรงพยาบาลเป็นเวลา 1 วัน 

หลังจากที่จ่ายค่ารักษาพยาบาลเรียบร้อย ทั้งสามคนก็ได้มีโอกาสมานั่งคุยกันอย่างจริงจัง จึงได้รู้ว่าพี่สุดหล่อนั้นแกชื่อพี่ท็อป อายุประมาณ 30 ต้นๆ เป็นเด็กนักเรียนนอกเพิ่งจะกลับมารับช่วงดูแลธุรกิจของครอบครัวที่ไทยได้ไม่กี่เดือน 

วันต่อมาพี่ป๊อปก็มารับพี่ยอดออกจากโรงพยาบาล เพื่อกลับไปรักษาตัวต่อที่บ้าน พี่ท็อปกล่าวขอบคุณพี่ยอดอีกครั้ง และรู้สึกประทับใจ ที่พี่ยอดเป็นคนดีมาช่วยเหลือเขา ยอมเจ็บตัวแทนเขา 

พี่ท็อปรู้สึกถูกชะตากับพี่ยอด พอรู้ว่าพี่ยอดยังไม่มีงานทำ และรู้ว่าพี่ยอดขับรถเป็น ก็เลยขอร้องให้พี่ยอดมารักษาตัวอยู่กับเขาที่บ้านก่อน เพราะต้องใช้เวลาพักฟื้นอีก 3-4 เดือนกว่าไหล่จะเข้าที่ เมื่อหายแล้วก็ให้มาทำงานเป็นคนขับรถให้พี่ท็อป 

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พี่ยอดก็ได้ทำงานให้กับพี่ท็อป ระหว่างที่แขนยังไม่หายดี พี่ยอดก็ช่วยพี่ท็อปทำงานทุกอย่าง จนเป็นที่รักและไว้วางใจของพี่ท็อป นอกจากนี้พี่ยอดยังมีฝีมือด้านการทำกับข้าว แต่ด้วยความที่พี่ท็อปเป็นเด็กนอก จึงไม่ค่อยถูกปากกับอาหารไทยสักเท่าไหร่ 

แต่จะมีอยู่เมนูหนึ่งที่พี่ยอดทำแล้วพี่ท็อปชอบมาก นั่นก็คือเมนูต้มยำกุ้งน้ำข้น ด้วยความที่อายุอะนามใกล้เคียงกัน ทำให้พี่ท็อปกับพี่ยอดสนิทสนมกันเร็วมาก เป็นทั้งเจ้านายกับลูกน้อง เป็นทั้งเพื่อน เป็นทั้งพี่เป็นน้องไปในตัว มองตาก็รู้ใจ

จนเข้าปีที่ 3 พี่ท็อปได้แต่งงานกับพี่ลดา ซึ่งทั้งสองเจอกันเมื่อสมัยที่เรียนอยู่เมืองนอกด้วยกัน ส่วนพี่ยอดเองก็มีแฟนเช่นกัน ชื่อว่าพี่สาว เป็นลูกจ้างอยู่ร้านอาหารตามสั่งที่อยู่ถัดไปอีก 3 ซอย  ซึ่งเป็นบ้าน 2 ชั้น ชั้นล่างเป็นร้านอาหาร ส่วนชั้นบนเป็นที่พักหลับนอน ทั้งสองคนคบกันมาได้เกือบปีแล้ว 

อยู่มาวันหนึ่งพี่สาวมาบอกกับพี่ยอดว่า ตอนนี้ตนท้องได้ 2 เดือนกว่าๆแล้ว เจ๊เจ้าของร้านอาหารแกก็เลยเสนอว่า เอาอย่างนี้ไหม เจ๊เห็นว่าพี่ยอดเองก็เป็นคนขยัน และยังทำกับข้าวอร่อย พี่เซ้งร้านให้ในราคา 60,000 บาท เอาไหม เพราะเจ๊ต้องการจะย้ายไปอยู่กับลูกสาวที่ต่างประเทศ 

พี่ยอดกับพี่สาวมานั่งคุยกัน แล้วนำเรื่องนี้ไปปรึกษากับพี่ท็อป ด้วยความเป็นห่วง พี่ท็อปจึงไม่อยากให้พี่ยอดจะย้ายไปอยู่ที่ไหน อยากให้ทำงานอยู่กับตนต่อไปมากกว่า

พี่ท็อปจึงเสนอว่า “เอาอย่างนี้ไหม ถ้าอย่างนั้นก็เอาเมียมาอยู่ที่บ้านด้วยกันเลย เดี๋ยวพี่เลี้ยงดูเอง ส่วนยอดก็ทำงานไป เดี๋ยวพอลูกคลอดออกมาแล้วพี่จะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทุกอย่างเอง” 

แต่ด้วยความที่พี่ยอดก็อายุ 40 กว่าแล้ว อยู่ในวัยกำลังสร้างครอบครัว สร้างเนื้อสร้างตัว บวกกับความอยากมีความเป็นส่วนตัว และอีกอย่างก็เกรงใจพี่ท็อปที่จะมาต้องรับผิดชอบทั้ง 3 ชีวิต แกก็เลยบอกกับพี่ท็อปไปว่า… 

“พี่ท็อปครับ ผมขอลาออกดีกว่า ผมกับสาวได้คุยกันว่าจะไปกู้เงินที่บ้านนอก เพื่อเอามาเซ้งร้านต่อจากเจ๊เขา ผมขอย้ายออกไปอยู่ข้างนอกด้วยกันดีกว่า จะได้ดูแลสาวมันด้วย” ซึ่งพี่ท็อปก็ไม่ได้ว่าอะไร ยอมรับการตัดสินใจของพี่ยอด 

วันต่อมา พี่ท็อปก็ได้เรียกพี่ยอดเข้าไปหา พร้อมกับยื่นเงินหนึ่งแสนบาทให้ พี่ยอดก็ตกใจเพราะมันเป็นเงินจำนวนที่มากเอาการ 

พี่ท็อปบอกว่า… “พี่ยินดีกับยอดด้วยนะ ที่ตอนนี้ยอดจะเป็นพ่อคนแล้ว เงินก้อนนี้พี่ให้ยอดเอาไปตั้งตัว เอาไปตั้งต้นชีวิตใหม่ ไม่ต้องเอามาคืนหรอกนะ ถ้าว่างๆก็มาเยี่ยมพี่บ้าง และก็ทำต้มยำกุ้งมาให้พี่กินบ่อยๆนะ

ขอบคุณมากที่เคยช่วยชีวิตพี่ไว้ พี่ขออย่างเดียว อย่าลืมพี่ชายคนนี้นะ ถ้ามีเรื่องเดือดร้อนอะไรก็ขอให้มาบอกพี่ได้ทันที”  หลังจากที่ท็อปพูดจบ พี่ยอดก็ก้มลงกราบขอบคุณพี่ท็อป 

เป็นระยะเวลา 6-7 เดือนหลังจากที่พี่ยอดย้ายออกมาจากบ้านพี่ท็อป ช่วง 2-3 เดือนแรกหลังจากที่ออกมา พี่ยอดก็ยังพอมีเวลาแวะเวียนไปเยี่ยมพี่ท็อปที่บ้านบ้าง เนื่องจากอยู่ไม่ไกลกัน แค่ 3 ซอยถัดไป 

แต่พอพี่สาวเริ่มท้องแก่ พี่ยอดจึงให้พี่สาวกลับไปอยู่ที่บ้านนอก ซึ่งอยู่ทางภาคอีสาน พี่ยอดก็เลยต้องดูแลจัดการทุกอย่างในร้านเพียงคนเดียว ตั้งแต่ออกไปจ่ายตลาดตอนเช้ามืด กลับมาเตรียมของ รับลูกค้ายันปิดร้าน เรียกว่าทำทุกอย่างเอง จึงทำให้แกไม่มีเวลาที่จะไปเยี่ยมพี่ท็อปเหมือนแต่ก่อน 

จนกระทั่งวันหนึ่ง วันนั้นเป็นวันจันทร์ ช่วงเวลาหัวค่ำ ขณะที่พียอดกำลังเก็บโต๊ะอยู่ในร้าน ก็สังเกตเห็นว่าพี่ท็อปขับรถเก่งมาจอดอยู่ฝั่งตรงข้ามของร้าน และบีบแตรเรียก แต่ไม่ได้ลดกระจกลง พี่ยอดที่รู้อยู่แล้วว่ารถคันนี้เป็นรถของพี่ท็อป ด้วยความดีใจจึงรีบวางข้าวของทุกอย่างแล้วรีบเดินไปหาพี่ท็อป 

ระหว่างที่พี่ยอดกำลังรอให้รถที่สัญจรไปมาบนถนนว่าง จู่ๆพี่ท็อปก็ขับรถออกไปเฉยเลย สร้างความมึนงงให้กับพี่ยอดเป็นอย่างมาก แต่พี่ยอดก็ไม่ได้คิดอะไร คิดว่าพี่ท็อปคงมีธุระด่วนล่ะมั้ง จึงกลับมาเก็บร้านต่อ

กระทั่งเวลาประมาณ 21:00 น อยู่ๆก็มีผู้ชายวัยรุ่นคนหนึ่งแต่งตัวในมาดพนักงานออฟฟิศหล่อมาเลย เดินเข้ามาหาพี่ยอดที่ร้าน มาถึงก็ยกมือไหว้

สวัสดีครับพี่ยอร์ช พี่คือพี่ยอร์ชใช่ไหมครับ (ปกติพี่ท็อปจะชอบเรียกพี่ยอดว่ายอร์ช เพราะด้วยความที่แกเป็นนักเรียนนอก เลยมองว่าชื่อยอดมันเฉย ก็เลยเรียกว่ายอร์ชแทน)  พี่ยอดก็ตกใจ หันไปมอง งงว่าชายวัยรุ่นคนนี้รู้จักชื่อนี้เขาได้ไง 

ชายวัยรุ่นบอกว่า “พอดีพี่ท็อปวานให้ผมมาบอกพี่ยอร์ช ว่า พี่ท็อปเขาคิดถึงพี่นะครับ เขาอยากกินต้มยำกุ้งน้ำข้นของพี่ ถ้าอาทิตย์นี้พี่พอมีเวลา ช่วยไปหาพี่ท็อปที่บ้านหน่อยได้ไหมครับ” 

“เฮ้ยเฮ้ย เดี๋ยวน้อง แล้วน้องเป็นใคร แล้วรู้จักร้านพี่ได้อย่างไร” 

ชายวัยรุ่นก็แนะนำตัวว่า “อ้ออ โทษทีครับ ผมชื่อก้องครับ เป็นพนักงานที่บริษัทของพี่ท็อป คุณท็อปเป็นคนบอกที่อยู่ร้านของพี่ ว่าอยู่ตรงนี้ ก็หาไม่ยากนะครับ เพราะผมก็เคยมาบ้านคุณท็อป 2-3 ครั้งแล้ว 

คุณท็อปบอกว่า รสชาติต้มยำกุ้งน้ำข้นฝีมือพี่เนี่ย ถ้ายังไม่ได้กิน ห้ามตายเด็ดขาดนะ ผมก็เลยต้องลองมาชิมด้วยตัวเองนี่แหละครับ”

พี่ยอดหัวเราะ แล้วบอกว่า “ขนาดนั้นเลยหรอวะ มาๆเข้ามานั่งรอก่อน เดี๋ยวพี่ทำให้กิน มื้อนี้พี่เลี้ยงเอง แล้วพี่ยอดก็เข้าครัวไปทำต้มยำกุ้งให้น้องก้องกิน

ขณะที่พี่ยอดกำลังทำต้มยำกุ้งอยู่นั่น น้องก้องก็เข้ามาคุยกับพี่ยอดในครัว พี่ยอดบอกว่า “แปลกมากเลย ก่อนที่น้องต้องจะมา พี่ท็อปเขาก็เพิ่งจะมาหาพี่เองนะ มาจอดรถอยู่ฝั่งตรงข้ามนี่แหละ พี่กำลังจะเดินข้ามไปหาแก อยู่ดีๆแกก็ขับรถออกไปเลย ที่จอดรถก็ว่างเยอะแยะ แทนที่จะจอดรถแล้วลงมาหาพี่หน่อย แต่สงสัยแกจะมีธุระด่วนละมั้ง” 

แล้วน้องก้องก็บอกว่า “ผมว่าไม่ใช่หรอกครับ ผมว่าพี่ท็อปเขาคงไม่กล้าเข้ามาหาพี่มากกว่า เพราะเขารู้ว่าพี่เป็นคนขี้กลัว เขาถึงฝากผมมาหาพี่แทนยังไงละครับ”  พี่ยอดสงสัย คิดในใจว่า กลัวอะไร แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรออกไป 

แล้วน้องก้องก็พูดต่อว่า “บางครั้งผมก็ต้องออกไปทำธุระกับพี่ท็อปอยู่บ่อยครั้ง พี่ยอดรู้จักลุงใหญ่ใช่ไหมครับ”

“อ๋อรู้จัก ๆ ลุงใหญ่คนขับรถใช่ไหม”

“ใช่ครับ ผมจะพูดยังไงดีล่ะ ผมก็สงสารลุงใหญ่นะครับ ด้วยความที่พี่ท็อปเขารักพี่ยอดมาก เวลาที่ลุงใหญ่ขับรถไม่ดี พี่ท็อปก็จะดุด่าว่าลุงใหญ่ค่อนข้างแรง แกชอบเอามาเปรียบเทียบกับพี่บ่อยๆ ประมาณว่าเนี่ยถ้าเกิดยอดยังอยู่คงไม่เป็นแบบนี้หรอก สงสัยแกจะรักพี่มาก ผมเห็นแล้วอดสงสารลุงใหญ่ไม่ได้จริงๆ” 

ขณะที่พี่ยอดกำลังจดจ่ออยู่กับการทำต้มยำ น้องก้องก็เอาหน้ายื่นเข้ามาใกล้ๆ แล้วบอกว่า “ยังไงพี่ก็ต้องไม่ลืมพี่ท็อปนะครับ พี่ต้องไปหาแกให้ได้” 

พี่ยอดก็บอกไปว่า “พี่จะลืมแกได้อย่างไร ที่พี่มีทุกวันนี้ได้ ก็เพราะบุญคุณของแกที่คอยช่วยเหลือพี่ทั้งนั้น แกเป็นผู้มีพระคุณสำหรับพี่ อยู่กันมา 3-4 ปี แกก็ดูแลพี่มาดีตลอด แกกินของดี พี่ก็ได้กินของดีด้วย แกใช้ของดี พี่ก็ใช้ของที่ด้วย บางครั้งยังซื้อของราคาแพงไปฝากไอ้สมหมายเพื่อนพี่เลย” 

พอพี่ยอดทำต้มยำกุ้งน้ำข้นเสร็จ ก็ตักใส่ถ้วยเดินออกมา แล้วดึงแขนน้องก้องมานั่งที่โต๊ะ 

“มาๆ มานั่งกินกันก่อน กินซะต้มยำในตำนาน รอแป๊บนะเดี๋ยวพี่ไปตักข้าวตักน้ำมาให้” 

ระหว่างที่พี่ยอดเดินหันหลังเดินกลับเข้าครัวเพื่อจะไปตักข้าวให้ จู่ ๆ น้องก้องก็ลุกพรวดขึ้นมาแล้วตะโกนบอกว่า 

“พี่ยอด ขอบคุณมากนะครับ ผมกินต้มยำกุ้งของพี่แล้ว อร่อยมากจริงๆ แต่ผมต้องรีบไปก่อนแล้ว ผมมานานมากแล้ว” 

พี่ยอดก็งงว่า อะไรวะ ข้าวยังไม่ทันได้ตัก น้ำก็ยังไม่ทันได้กิน มึงต้องกินขั้นเทพขนาดไหน ถึงได้กินเร็วขนาดนี้ ต้มยำยังร้อนอยู่เลย ไม่ลวกปากลวกคอกันหมดแล้วหรอ 

ภาพที่เห็นคือ น้องก้องกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกจากร้านไป ซึ่งพี่ยอดก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร เพราะคิดว่าน้องคงรีบหรือมีธุระอะไรละมั้ง 

วันต่อมา พี่ยอดตั้งใจไว้ว่า หลังจากตั้งร้านเสร็จ จะทำต้มยำกุ้งของโปรดไปให้พี่ท็อปที่บ้าน แต่ก่อนจะไป พี่ยอดได้โทรไปหาพี่ท็อป แต่ไม่มีคนรับสาย จึงโทรไปหาพี่ลดา แต่ก็ไม่รับสายเช่นกัน 

แต่ด้วยความที่พึ่งจะวันที่ 2 ของวันหยุดช่วงสงกรานต์ พี่ยอดก็คิดว่าพี่ท็อปแกคงจะอยู่บ้านละมั้ง จึงตั้งใจทำต้มยำตักใส่ถุงอย่างดีแล้วขี่มอเตอร์ไซค์ไปหาพี่ท็อปที่บ้าน 

พอขับมอเตอร์ไซค์มาถึงบ้านพี่ท็อป ประตูบ้านพี่ท็อปจะเป็นประตูเหล็ก ซึ่งจะแบ่งเป็น 2 บาน คือประตูบานใหญ่พี่เปิดให้รถเข้าออก และประตูเล็ก ที่เอาไว้ให้สำหรับคนเดินเข้าออก พี่ยอดยืนกดกริ่งอยู่หน้าบ้านสักพักนึง ลุงใหญ่ก็เดินมาเปิดประตูให้ มาถึงก็ทำหน้าดุใส่เลย 

“ทำไม มากดกริ่งทำไม มีธุระอะไร” ลุงใหญ่พูดจาเสียงดังใส่

พี่ยอดไม่ได้ใส่ใจอะไร ยกมือขึ้นสวัสดีลุงใหญ่ “สวัสดีครับ ผมมาหาพี่ท็อปครับ เอาต้มยำกุ้งของโปรดแกมาให้ ขอเข้าไปหน่อยนะครับ” จังหวะที่พี่ยอดกำลังจะเดินเข้าประตู ลุงใหญ่แกก็เอาตัวเข้ามาขวางเลย 

“ไม่ต้องเข้าไปหรอก คุณท็อปเขาไม่สบาย นอนพักอยู่” 

พอพี่ยอดได้ยินว่าคุณท๊อปไม่สบาย ก็รู้สึกเป็นห่วง ยิ่งอยากเข้าไปมากกว่าเดิมอีก จึงบอกไปว่า “งั้นเดี๋ยวผมขอเข้าไปดูแกหน่อยได้ไหม ไหนๆก็มาแล้ว ขอเข้าไปสวัสดีพี่ลดากับคุณป้าแม่บ้านซะหน่อยก็ยังดี 

ลุงใหญ่จึงพูดขึ้นมาเลยว่า “ไม่มีใครอยู่บ้าน เขาออกไปข้างนอกกันหมด ก็บอกแล้วว่าคุณท็อปกินยานอนพักอยู่ คงตื่นมาคุยด้วยไม่ไหวหรอก มาๆ เอากับข้าวไหมนี่ เดี๋ยวเอาเข้าไปให้เอง”

พี่ยอดก็งงว่าลุงใหญ่เขาเป็นอะไรของเขา จะโมโหอะไรขนาดนี้ แต่อีกใจก็ห่วงที่ร้านด้วย เพราะกะว่าจะมาแป๊บเดียว ก็เลยยื่นต้มยำกุ้งให้กับลุงใหญ่ไป แล้วบอกว่า “โอเคครับ งั้นผมฝากหน่อยละกัน ผมขอตัวกลับไปดูร้านก่อน รบกวนลุงใหญ่เอาให้แกด้วยนะครับ ถ้าเกิดพี่ท็อปตื่นแล้ว รบกวนบอกให้แกโทรหาผมด้วยนะ”

“เออๆกลับไปเถอะ” 

คืนนั้นพี่ยอดนอนมองโทรศัพท์ตลอดทั้งคืน มองด้วยความกังวลใจ ว่าพี่ท็อปจะเป็นอะไรมากหรือเปล่า เพราะตั้งแต่กลับมาทั้งพี่ท็อปและพี่ลดาก็ยังไม่โทรกลับมาเลย 

จนมาถึงวันพุธ (เป็นวันเดียวกับที่คุณแวนกลับมาถึงคอนโด ซึ่งคือเหตุการณ์ในต้นเรื่อง ที่คุณแวนเห็นพี่ยอดนั่งร้องไห้อยู่กับพี่สมหมาย สาเหตุเพราะพี่ยอดนั่งกังวลว่าพี่ท็อปจะเป็นอะไรหรือเปล่า ก็เลยมาร้องไห้กับพี่สมหมาย) 

ช่วงเที่ยงๆของวันนั้น หลังจากพี่ยอดกลับมาจากซื้อของที่ตลาดเสร็จ ก็ขี่มอเตอร์ไซค์ไปหาพี่ท็อปที่บ้านอีกครั้ง เมื่อไปถึงหน้าบ้าน ก็สังเกตเห็นว่ามีถุงอะไรวางอยู่ที่หน้าประตูบ้าน เมื่อพี่ยอดเดินเข้าไปดูใกล้ๆ ปรากฏว่า มันเป็นถุงต้มยำกุ้งที่แกทำมาให้พี่ท็อปเมื่อวาน

“อ้าว นี่มันถุงต้มยำกุ้งของกูนี่หว่า ทำไมมันร่วงอยู่ตรงนี้ได้วะ” 

หรือจะเป็นเพราะลุงใหญ่ ที่ไม่พอใจแก ก็เลยวางถุงต้มยำกุ้งทิ้งไว้ที่หน้าบ้าน พี่ยอดคิดแล้วก็รู้สึกโมโห  พยายามกดกริ่งหน้าประตูบ้าน เพื่อจะเรียกลุงใหญ่ออกมาเคลียร์กัน พี่ยอดยืนอยู่ที่หน้าประตูบ้านประมาณ 4-5 นาที ก่อนจะสังเกตว่าบ้านมันเงียบผิดปกติ จึงกดโทรศัพท์ไปหาพี่ท็อป 

เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ได้ยินเสียงแตรรถดังมาจากด้านหลัง พี่ยอดจึงหันหลังไปดู เห็นเป็นรถของพี่ลดากำลังจะขับเข้าบ้าน โดยมีพี่ดนัย ซึ่งเป็นพี่ชายของพี่ลดา เป็นคนขับรถให้ 

ด้วยความที่พี่ยอดจอดมอเตอร์ไซค์ขวางหน้าประตูใหญ่อยู่ จึงรีบเข็นมอเตอร์ไซค์หลบให้ พอรถของพี่ลดาเข้าไปจอดภายในบ้านเรียบร้อย พี่ยอดก็สังเกตเห็นว่าทำไมทุกคนใส่ชุดดำกันหมดเลย 

จนรถของพี่ลดาจอดสนิท ด้วยความที่พี่ยอดยังหัวร้อนเรื่องต้มยำกุ้ง ก็เลยเดินตรงไปหาพี่ลดา 

“สวัสดีครับ พี่ลดา พี่ท็อป…..” 

แต่ยังไม่ทันที่พี่ยอดจะพูดต่อ พี่ลดาก็พูดแทรกขึ้นมาเลยว่า “ยอด ๆ พี่ขอโทษ พี่ไม่มีเวลาโทรหายอดเลย ขอโทษด้วยจริงๆนะ พี่มัวแต่ยุ่งกับงานศพ พี่ยังทำใจไม่ได้จริงๆ” 

ณ ตอนนั้นพี่ยอดก็ยังคิดว่าพี่ลดาอาจจะหมายถึงงานศพของญาติผู้ใหญ่ หรือเปล่า ก็เลยตอบกลับไปว่า”อ๋อครับๆ งานศพใครหรอครับ แล้วพี่ท็อปอาการดีขึ้นหรือยัง ผมรู้สึกกังวลใจมากเลย ก็เลยต้องมาดูด้วยตัวเอง” 

จู่ ๆ พี่ลดาพูดกลับมาเลยว่า “ฮ๊ะ ก็งานศพของพี่ท๊อปไงยอด พี่ท็อปเขาเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ตั้งแต่วันจันทร์แล้ว วันนี้สวดศพคืนที่ 3 แล้วนะ ดีนะเนี่ยที่วันนี้ยอดมาหาพี่ ยังทันที่จะได้ส่งพี่ท็อปขึ้นสวรรค์ พี่ท็อปก็คงจะดีใจมาก” 

วินาทีนั้นพี่ยอดเหมือนกับโดนน้ำกรดรดที่หัวใจ ทั้งงง ทั้งช็อค แข่งขามันอ่อนไปหมด สับสนว่ามันคือเรื่องจริงใช่ไหม พี่ยอดถึงกับกระอึกกระอัก พูดติดๆขัดเหมือนคนติดอ่าง 

“วันจันทร์เนี่ยนะ พี่ลดา ช่วงกี่โมงครับ ก็เมื่อวันจันทร์ตอนหัวค่ำพี่ท็อปเขายังขับรถมาหาผมที่ร้านอยู่เลย ผมกำลังจะเดินไปหาแก แต่แกก็ขับรถออกไปเสียก่อน ไม่รู้ว่าแกจะรีบไปไหน ผมงงไปหมดแล้วเนี่ย

แล้วเมื่อวันจันทร์ตอน 21:00 น. น้องพนักงานของบริษัทพี่ท็อปที่ชื่อก้อง เขายังแวะมาหาผมอยู่เลย เขายังบอกผมอยู่เลยว่าพี่ท็อปเขาคิดถึงผม อยากกินต้มยำกุ้งของผม เมื่อวานผมยังทำให้พี่เขาที่บ้านอยู่เลย เนี่ยพี่ พี่ลดาดูสิครับ ทำไมลุงใหญ่ต้องทำแบบนี้ พูดจาไม่ดีกับผมไม่พอ ยังมาทำนิสัยทิ้งถุงต้มยำกุ้งที่ผมอุส่าตั้งใจทำมาให้พี่ท็อปไว้ข้างนอกอีก เรื่องนี้ผมยังไม่โกรธเท่าไรนะ แต่เรื่องที่แกมาโกหกว่าพี่ท็อปไม่สบายเข้านอนไปแล้วนี่สิ เรื่องแบบนี้แกไม่บอกผมได้อย่างไร 

ระหว่างที่พี่ยอดกำลังพูดอยู่ พี่ยอดก็สังเกตเห็นว่าพี่ลดาเหมือนจะเป็นลม ป้าแม่บ้านจึงรีบเข้ามาพยุงพี่ลดาไปนั่งที่เก้าอี้ จากนั้นพี่ดาก็ควักยาดมขึ้นมาดม  แล้วพี่ดนัยซึ่งเป็นพี่ชายของพี่ลดา ก็เป็นฝ่ายพูดแทนว่า 

“อ้าว ยอด ยอดก็รู้ใช่ไหมว่าลุงใหญ่เขาเป็นคนขับรถให้พี่ท็อป แล้ววันนั้นน่ะ น้องก้องก็ไปกับพี่ท็อปด้วย น่าจะไปเคลียร์งานก่อนหยุดยาวสงกรานต์ โดยมีลุงใหญ่เป็นคนขับรถ คนที่เห็นเหตุการณ์เล่าว่า ลุงใหญ่กำลังขับแซงรถสิบล้อ แต่เหมือนแกจะแซงไม่พ้น จึงประสานงากับรถสิบล้อที่วิ่งสวนเลนมาเต็ฒ ๆ  ท็อปกับลุงใหญ่เสียชีวิตคาที่ ส่วนน้องก้องนั้นไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาล เมื่อตอนประมาณ 21:00 น. 

เนี่ย พี่กับพี่ลดาก็เพิ่งกลับมาจากโรงพัก เจ้าหน้าที่เขาให้ไปเอาของมีค่าที่อยู่ในรถ 

เมื่อเล่ามาถึงตรงนี้ พี่ลดาก็เรียกให้พี่ยอดเข้าไปหา พร้อมกับหยิบซองกระดาษสีน้ำตาลในกระเป๋าออกมา ซึ่งมันก็คือซองจดหมายสีน้ำตาล ที่ลุงหมายโชว์ให้คุณแวนดูในตอนต้นเรื่อง ซึ่งภายในซองจะมีกำไรข้อเท้าเด็ก และเงินก้อนหนึ่ง 

พี่ลดาพูดว่า “พี่ท็อปเขาคงจะรักยอดมากเลยนะเนี่ย พี่ท็อปเขาจำได้ว่า สาว เมียของยอดใกล้จะคลอดแล้ว เขาก็เลยชวนพี่ไปซื้อกำไลทองข้อเท้าเด็กให้ลูกของยอด และเงินก้อนนี้ เขาก็ให้เป็นเงินขวัญถุงของลูกยอด แต่พี่เขายังไม่มีโอกาสได้เอาไปให้ยอดเลย ซึ่งพี่ท็อปเขาได้เก็บไว้ในลิ้นชักหน้ารถ ตำรวจเขาก็เลยเรียกให้พี่ไปรับ พร้อมกับเอกสารอย่างอื่นๆด้วย  ดีนะที่พี่กลับมาเอาของที่บ้านพอดี จึงได้เจอกับยอดเนี่ย 

เนี่ย เดี๋ยวพี่ก็จะต้องรีบกลับไปงานศพต่อแล้ว ยอดต้องไปให้ได้นะ ศพของพี่ท็อปตั้งอยู่ที่วัดเทพลีลา” 

พี่ยอดก็บอกว่า “ผมไปแน่ครับพี่ เพราะพี่ท็อปคือผู้ที่มีพระคุณที่สุดในชีวิตผมแล้ว เดี๋ยวผมจะรีบกลับไปเคลียร์ของที่ร้านก่อน แล้วจะรีบตามไปที่วัดเลยครับ” 

เมื่อเล่ามาถึงตรงนี้ ตัดกลับมาช่วงที่พี่สมหมายกับคุณแวนคุยกันต่อ พี่สมหมายบอกว่า “เนี่ยไอ้ยอดมันเจอมาขนาดนี้ ตอนมาหาพี่มันแทบจะไม่มีแรงขี่รถเลย นั่นไงมอเตอร์ไซค์มัน มันจะทิ้งไว้ที่คอนโด แล้วมันก็นั่งแท็กซี่กลับไป 

ไอ้ยอดมันเป็นคนที่กลัวผีมาก แต่มันบอกว่า ตอนที่มันเจอพี่ใหญ่ กับน้องก้อง  พวกเขาก็มาในสภาพเหมือนคนปกติทั่วไปนี่แหละ แล้วไอ้ยอดเองก็ยังจับแขนของคนชื่อก้องมานั่งที่โต๊ะ เพื่อกินต้มยำกุ้งอยู่เลย 

ถามว่าไอ้ยอดมันรักพี่ท็อปไหม มันก็รักของมันแหละ แต่มันก็กลัวด้วย มันก็เลยเอากำไรมาฝากไว้ที่พี่ก่อน เนี่ย เดี๋ยวพี่คุยกับแวนเสร็จ พี่ก็จะอาบน้ำแต่งตัวไปงานศพพี่ท็อปแล้ว” 

เมื่อฟังมาถึงตรงนี้ คุณแวนนี้รู้สึกขนลุกไปทั้งตัว แล้วคืนนี้ตัวคุณแวนว่าจะนอนยังไง ใครที่ได้ฟังได้เจอเรื่องราวอะไรแบบนี้ก็ต้องกลัวกันเป็นธรรมดา ถึงแม้จะไม่ใช่เรื่องที่ได้เจอกับตัวเอง แต่ก็มีส่วนร่วม ได้รับฟังบรรยากาศของเรื่อง ได้เห็นพี่ยอดมานั่งร้องไห้ฟูมฟายกับพี่สมหมาย ….

เมื่อเรามาถึงตรงนี้ ทำให้คุณแวนรู้เลยว่า ทำไมลุงใหญ่ถึงต้องโมโหพี่อ๊อดด้วย คงเพราะช่วงที่ยังทำงานขับรถให้พี่ท็อปอยู่ แกคงโดนบ่น โดนเอามาเปรียบเทียบกับพี่ยอดอยู่บ่อยๆ แกก็เลยไม่พอใจพี่ยอด เคืองพี่ยอด  ตอนตายความรู้สึกนั้นก็คงจะยังติดมาด้วย 

แล้วในจังหวะที่ส่งต้มยำกุ้งให้ลุงใหญ่ พี่ยอดก็บอกว่าแกรับไปกับมือเลย แล้วก็เดินเข้าบ้านไปเลย เมื่อย้อนกลับไปดูภาพในกล้องวงจรปิด ปรากฏว่าในภาพ นอกจากพี่ยอดแล้ว ก็ไม่มีใครอยู่จริงๆ หลังจากที่พี่ยอดยื่นถุงต้มยำกุ้งให้ลุงใหญ่ ต้มยำกุ้งก็หล่นลงมาอยู่ตรงหน้าประตูบ้านเลย

อยากจะยกให้เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์กับใครหลายๆคน เราอาจจะลืมใครสักคนที่เคยมีบุญคุณกับเรา อาจจะไม่ใช่พ่อแม่หรือญาติผู้ใหญ่ของเรา อาจจะเป็นเพื่อน เป็นพี่ เป็นน้อง ที่เคยช่วยเราในยามลำบาก ไม่อยากให้เราลืมคนเหล่านั้น 

สมัยนี้เทคโนโลยีทำให้เราติดต่อสื่อสารกันง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์ Video Call Facebook หรือ LINE ผมก็อยากจะให้เราแสดงออกความรักถึงกันบ่อยๆ ส่งข้อความไปหาเขาหน่อยก็ได้ ว่าคิดถึงนะ ทำอะไรอยู่ สบายดีไหม อย่าให้ต้องมาพูดในวันที่พวกเขาเหล่านี้จากไปแล้ว 

หรือถ้ามีโอกาสก็ไปหาเลย ชวนไปทำบุญ ชวนไปเที่ยวกันเลย บางครั้งเขามีเรื่องเครียด จิตตก หรือคิดสั้นอยู่แล้ว ถ้าเราไปเข้าจังหวะที่เขาคิดอยู่ มันอาจจะช่วยเขาได้ก็เป็นได้…

ขอขอบคุณเรื่องเล่าจาก ก๊อก ก๊อก ก๊อก เรื่อง ต้มยำกุ้งน้ำข้น – คุณแวนสิงคโปร์

บทความนี้ถูกเรียบเรียงจาก Youtube ห้ามนำไปทำซ้ำหรือเล่าลงพอดแคสต์ หรือคัดลอกเนื้อหาไปลงที่อื่นใด

LEAVE A REPLY

Please enter your comment!
Please enter your name here