แอนนาลิซ มิเชล หรือ “แอนนา อลิซาเบธ มิเชล” เธอเกิดเมื่อวันที่ 21 กันยายน ค.ศ. 1952 ทางตะวันตกของประเทศเยอรมนีและเติบโตขึ้นมาในครอบครัวที่ค่อนข้างเคร่งในศาสนามาก
ย้อนกลับไป ในปี 1948 ก่อนแอนนาเกิด 4 ปี แม่ของเธอ “อันนา” เกิดตั้งท้องนอกสมรส สร้างความเสื่อมเสียให้วงศ์ตระกูลอย่างยิ่ง ว่ากันว่าครอบครัวถึงกับบังคับให้เธอสวมชุดดำเพื่อไว้ทุกข์ให้แก่ศีลธรรมของตนเองในวันแต่งงาน และนับจากวันนั้นเป็นต้นมาความรู้สึกผิดต่อบาปกรรมที่ทำไปในครั้งนั้นก็ไปตกอยู่กับ แอนนาลิซ ซึ่งเป็นลูกคนที่สอง
อันนาใช้ความผิดพลาดของตนเป็นบทเรียนสอนสั่งแอนนาให้ตระหนักถึงผลกรรมของการทำบาปไม่เว้นแต่ละวัน ทั้งยังกระตุ้นให้ลูกสวดมนต์ ขอพร ชำระบาปอย่างสม่ำเสมอ โดยหวังว่ามันจะเป็นการล้างบาปให้ตนได้
ยิ่งเมื่อลูกสาวคนโตเสียชีวิตในอีกไม่กี่ปีต่อมา (ขณะนั้นแอนนาลิซอายุได้ 4 ขวบ) ก็ยิ่งทำให้ความรู้สึกผิดในหัวใจของแอนนาทวีคูณติดเป็นเงาตามตัว
ในช่วงวัยรุ่นขณะที่เด็กหนุ่มสาวกำลังเริงร่าอยู่กับเสรีภาพและสนุกสนานตามวัย แอนนากลับต้องใช้เวลาทุกค่ำคืนหลับนอนบนพื้นหินแข็งๆ เพราะเชื่อว่านั่นจะเป็นการไถ่บาปแทนพวกจรจัด ติดยา บาปหนา ซึ่งพบเห็นได้ทั่วไปตามที่สาธารณะต่างๆ แม้ว่าตัวเธอเองจะไม่รู้จักกับคนพวกนั้นแม้แต่น้อย
แต่แล้วในปี 1968 ในช่วงเวลาที่เธออายุได้ 16 ปี เรื่องราวแปลกๆ ก็ได้เกิดขึ้นกับเด็กสาวคนนี้จนได้ โดยเธอนั้นเริ่มมีอาการหมดสติที่โรงเรียน และบ่อยครั้งก็มักจะเดินไปเดินมาราวกับจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว และเกิดอาการสั่นอย่างรุนแรง พ่อแม่ของเธอจึงตัดสินใจรักษาเธอโดยแพทย์สมัยใหม่ ซึ่งผลการวินิจฉัยระบุว่าเธอเป็นโรคลมบ้าหมูชนิดร้ายแรง
เธอได้เข้ารับการรักษาแต่อาการของเธอก็ไม่ดีขึ้น ซึ่งตลอด 5 ปีหลังจากนั้น เธอเดินเข้าเดินออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น มียาหลายชนิดที่สั่งจ่ายให้เธอ (ยาบางตัวได้รับการวิเคราะห์ภายหลังการเสียชีวิตของเธอว่าก่อให้เกิดผลข้างเคียงร้ายแรงต่อร่างกาย) แต่ไม่ว่าจะเป็นยาตัวไหนก็ไม่สามารถช่วยให้เธอหายขาดจากอาการชักได้เลย
การแพทย์แผนปัจจุบันที่ล้มเหลวบวกรวมกับความเชื่อทางศาสนาที่เคร่งครัดอยู่เป็นทุน ส่งผลให้แอนนาเริ่มเชื่อว่าตัวเองถูกภูตผีปีศาจร้ายเข้าสิง เธอบอกใครๆ ว่า เธอเห็นใบหน้าปีศาจร้ายอยู่รายรอบและเธอได้ยินเสียงสาปแช่งของพวกมัน! นอกจากนั้นเธอยังแสดงอาการแปลกๆ อีกหลายอย่าง…
เช่น ระหว่างเดินทางแสวงบุญ หญิงชราที่ร่วมเดินทางบอกว่า เธอเห็นแอนนาหลบเลี่ยงที่จะเดินผ่านรูปภาพพระเยซู ปฏิเสธที่จะดื่มน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ภายในโบสถ์ อีกทั้งยังได้กลิ่นผีชั่วเหม็นสาบสางจากร่างของแอนนา
แน่นอนว่าทั้งหมดนั้นทำให้โจเซฟและอันนาซึ่งพร้อมที่จะเชื่ออยู่แล้ว ยิ่งมั่นใจว่าลูกสาวถูกผีเข้าเป็นแน่ ทั้งคู่จึงไม่รอช้า แสดงความจำนงต่อบาทหลวงประจำโบสถ์ในหมู่บ้านขอให้ประกอบพิธีไล่ผีให้แอนนาทันที
ในปี 1974 ได้มีการขออนุญาตประกอบพิธีไล่ผีให้แก่แอนนา แต่ก็ถูกปฏิเสธหลายครั้ง ซึ่งในระหว่างนั้นพฤติกรรมของแอนนายิ่งแปลกประหลาดและหนักข้อ เธอเริ่มด่าทอ ทุบตีและจิกกัดสมาชิกคนอื่นๆ ในครอบครัว ปฏิเสธที่จะกินอาหาร แต่หันไปยังชีพด้วยการบริโภคแมลงวัน แมงมุม ถ่านหิน ดื่มปัสสาวะตัวเองแทนน้ำสะอาด แทะทึ้งซากนกจนหัวมันหลุดจากร่าง ฉีกเสื้อผ้าตัวเองเป็นว่าเล่น เห่าหอนราวกับสุนัขเป็นวัน กรีดร้องไม่รู้จักเหนื่อยนานนับชั่วโมง
แต่ก็มีช่วงที่ได้สติสัมปชัญญะกลับคืนมา แอนนาก็ตกอยู่ในภาวะหดหู่ซึมเศร้าอย่างรุนแรง บางครั้งบางหนเธอคิดที่จะฆ่าตัวตายไปเสียให้พ้นๆ
สถานการณ์ที่นานวันก็ยิ่งแย่ ส่งผลให้คำร้องขอประกอบพิธีไล่ผีครั้งที่ 3 ได้รับอนุญาต เริ่มทำพิธีในเดือนกันยายน ในปี 1975 มีบาทหลวงเป็นผู้ประกอบพิธี ซึ่งตามกำหนดแล้วพิธีไล่ผีนี้จะต้องทำกันสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ครั้งหนึ่งใช้เวลาร่วม 4 ชั่วโมง
เหตุการณ์ในระหว่างประกอบพิธีนั้น แทบไม่ต่างอะไรจากที่เห็นในหนังเรื่อง The Exorcist เมื่อแอนนาดิ้นรน ขัดขืนสุดแรงเกิด เรี่ยวแรงของเธอเพิ่มพูนมหาศาลถึงขนาดต้องใช้ผู้ชายแข็งแรงกำยำ 3 คนช่วยกันจับจึงจะเอาอยู่ และบางคราวถึงกับต้องเอาโซ่ล่ามเธอไว้
กล่าวกันว่าหลังผ่านพิธีไล่ผีไม่นานนัก อาการของแอนนาก็ทุเลาขึ้นอย่างน่าประหลาด ระยะนั้นเธอสามารถกลับเข้าเรียนได้หรือจะไปโบสถ์ก็ยังไหว อย่างไรก็ตาม แอนนาก็ดีขึ้นเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น หลังจากนั้นอาการของเธอก็กลับเป็นเหมือนเดิมอีก และยังต้องเข้ารับการไล่ผีอย่างต่อเนื่อง
ความเลวร้ายอีกอย่างก็คือ วิธีที่รุนแรงของพิธีกรรม เริ่มจะสร้างความบอบช้ำแก่ร่างกายของแอนนา อาการเกร็งจนไม่อาจขยับเขยื้อนหรือจู่ๆ ก็เป็นลมล้มพับหมดสติไปเริ่มเกิดกับเธอถี่ขึ้น การปฏิเสธที่จะรับอาหารกลับมาอีกครั้ง ซ้ำเธอยังบังคับตัวเองให้ถ่ายท้องอยู่บ่อยๆ โดยให้เหตุผลว่านั่นเป็นหนทางหนึ่งที่จะกำจัดปีศาจออกจากร่างกาย
น้ำหนักของเธอลดวูบ (ช่วงที่เสียชีวิต น้ำหนักของเธอลดเหลือเพียง 63 ปอนด์ หรือราว 30 กิโลกรัมเท่านั้น) ร่างกายผ่ายผอมดูเผินๆ ไม่ต่างจากโครงกระดูก ทั้งยังมีร่องรอยฟกช้ำปรากฏให้เห็นไปทั่ว
ในปี 1976 พิธีไล่ผี เป็นไปอย่างเข้มข้น ประกอบกับร่างกายที่อ่อนแอจากการขาดน้ำและอาหาร ก็ทำให้แอนนาล้มป่วยด้วยโรคปอดบวม ไข้ขึ้นสูง ไม่มีเรี่ยวแรง แต่พิธีไล่ผีก็ยังต้องดำเนินต่อไป…
พ่อและแม่ต้องเข้ามาช่วยพยุงไม่เช่นนั้นลูกสาวคงไม่อาจผ่านพ้นมันได้จนตลอดรอดฝั่ง แต่ครั้งนี้ก็เป็นพิธีกรรมครั้งสุดท้ายของแอนนาเพราะเช้าวันถัดมา เมื่อโจเซฟกับอันนาแวะเข้ามาดูอาการลูกสาวตามปรกติ ก็พบว่าเธอเสียชีวิตเสียแล้ว
เป็นระยะเวลาร่วม 10 เดือน แอนนาต้องเข้าพิธีไล่ผีถึง 67 ครั้ง เล่ากันว่า ประโยคสุดท้ายที่แอนนาพูดกับแม่ของเธอในคืนก่อนหน้านั้น ก็คือ
“แม่ … หนูกลัว”
การที่หญิงสาววัยเพียง 24 ปี ต้องมาเสียชีวิตในสภาพร่างกายผ่ายผอมบอบช้ำ นับว่าเป็นเรื่องไม่ปรกติและไม่ธรรมดา
หลังได้รับแจ้งเหตุ เจ้าหน้าที่รัฐจึงยื่นเรื่องขอชันสูตรศพแอนนาลิซและผลการชันสูตรก็สรุปออกมาว่า เธอเสียชีวิตด้วยภาวะขาดอาหารและน้ำอย่างรุนแรง ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้นเลย
จากการที่ แอนนาเสียชีวิต พ่อ-แม่ และบาทหลวงที่ทำพิธีกรรม ถูกอัยการรัฐตัดสินใจสั่งฟ้องด้วยข้อหากระทำการโดยประมาททำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ครอบคลุมถึงการฆ่าผู้อื่นโดยไม่เจตนาและฆ่าเนื่องจากถูกยั่วยุโทสะ
เมื่อเริ่มพิจารณาคดี ในปี 1978 พ่อแม่ของแอนนาว่าจ้างทนายชื่อดัง เอริช ชมิดต์-ลีชเนอร์ (เคยว่าความให้อดีตสมาชิกนาซีซึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็นอาชญากรสงครามมาแล้วหลายราย) เขายกข้ออ้างเรื่องสิทธิที่จะประกอบพิธีการต่างๆ ตามความเชื่อทางศาสนา ซึ่งได้รับการรับรองโดยรัฐธรรมนูญมาเป็นข้อแก้ต่าง นอกจากนั้นยังเสนอ หลักฐานเป็นเทปบันทึกเสียงระหว่างประกอบพิธี
ซึ่งปรากฏว่าเป็นเสียงของแอนนาพูดจาด้วยภาษาแปลกประหลาด บางครั้งด้วยน้ำเสียงกราดเกรี้ยว บางคราวเป็นเสียงกรีดร้องโหยหวน (มีเสียงหนึ่งซึ่งพูดด้วยสำเนียง แฟรงกลิช และบาทหลวงทั้งสองรูปยืนกรานว่า นั่นคือเสียงของ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ หนึ่งในปีศาจที่เข้าสิงแอนนาลิซ )
ทั้งยังมีเทปบันทึกเสียงที่แอนนาพูดถึงชื่อของปีศาจทั้งหมด 6 ตนที่อยู่ในร่างของเธอด้วยน้ำเสียงที่เกรี้ยวกราดและแตกต่างกันออกไป
ทั้งหมดนี้เพื่อยืนยันว่า แอนนาลิซ มิเชล ไม่ได้ป่วยด้วยโรคธรรมดา ทว่าเธอถูกผีเข้าจริง
ปลายปี ค.ศ. 2005 เอลิซาเบธ เดย์ นักข่าวเดินทางไปสัมภาษณ์ อันนา แม่ของอันเนลึส (ตอนนั้นในวัย 80 กว่าปีแล้ว) ใช้ชีวิตตามลำพังในบ้านหลังเดิมที่เคยเกิดเรื่องราวฝันร้ายในคราวนั้น โจเซฟผู้เป็นสามีเสียชีวิตไปเมื่อ 6 ปีก่อนหน้า ส่วนลูกสาวอีก 3 คนต่างก็แยกย้ายไปคนละทิศละทางกันหมด
อันนารำลึกถึงลูกสาวที่ชื่อคล้ายกันกับเธอให้เอลิซาเบธ เดย์ ฟังว่า “แอนนาลิซเป็นคนอ่อนหวาน จิตใจดี อยู่ในโอวาทเสมอ แต่หลังจากถูกผีสิง เธอก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน มันเป็นเรื่องเกินธรรมชาติ เป็นสิ่งที่เราอธิบายไม่ได้”
อันนายอมรับว่าเธอคิดถึงลูกสาว “ฉันมองเห็นหลุมศพลูกจากหน้าต่างห้องนี่ ฉันแวะไปเยี่ยมลูกอยู่บ่อยๆ เอาดอกไม้ติดมือไปฝากลูกด้วย”
อย่างไรก็ตาม กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้น อันนา มิเชล ยืนยันว่า เธอกับสามี รวมถึงบาทหลวง ทำสิ่งที่ถูกต้องที่สุดแล้ว! เธอเพียงแต่ทำตามพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า ฉะนั้นมันจึงเป็นสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสมอยู่แล้ว เธออาจจะเศร้าที่ลูกจากไป แต่เธอไม่เสียใจ เพราะรู้ว่าลูกไม่ได้ตายอย่างสูญเปล่า
“ฉันเห็นรอยแผลศักดิ์สิทธิ์ (Stigmata) บนมือของเธอและนั่นก็เป็นสัญญาณที่พระผู้เป็นเจ้าส่งมาถึงเรา บอกเราว่าถึงเวลาต้องกำจัดปีศาจร้ายที่สิงสู่อยู่ในร่างของแอนนาลิซไปให้พ้นๆ”
“ลูกของฉันตายเพื่อปกป้องดวงวิญญาณซึ่งกำลังหลงทาง เธอตายเพื่อชำระบาปให้คนบาปหลายต่อหลายคน”
สุดท้ายแอดมินไปเจอคลิปใน Youtube ชื่อเรื่องว่า “(Real EMILY ROSE) Anneliese Michel, The Exorcist Tapes 2011 LKRG PART 06 (SUBI .PILOT)” ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าเป็นเทปที่บันทึกจากสถานะการณ์จริง หรือจำลองขึ้นมา เอาเป็นว่าทุกคนลองใช้ วิจารณญาณ ดูกันนะครับ
กดดูคลิปตรงนี้ (Link)
ของคุณแหล่งที่มา Blockdit