เรื่องนี้เป็นประสบการณ์โดยตรงของคุณบอย คุณบอยเล่าว่าครั้งนึง ป้าของเพื่อนชวนคุณบอยและพวกไปเที่ยวที่บ้าน คุณบบอกและพวกจึงตกลงไปกัน บ้านของป้าแกเป็นบ้านเดี่ยวอยู่ในโครงการบ้านจัดสรร แบบที่ทุกคนคงเคยเห็นกันจนชินตา ตัวบ้านแต่ละหลังจะถูกกั้นด้วยรั้วปูน ความสูงประมาณครึ่งตัวคน ถัดเข้ามาภายในบ้านก็จะเป็นสนามหญ้าหน้าบ้าน และตัวบ้านอยู่ตรงกลางของผืนที่ดิน
อย่างไรก็ตาม การมาเยี่ยมคุณป้าครั้งนี้ คุณบอยและเพื่อนๆไม่ได้วางแผนที่จะค้างคืนอยู่แล้ว ยิ่งเมื่อได้ยินเรื่องเล่าจากคุณป้าว่า…
“เมื่อสามวันก่อน ข้างบ้านติดกันมีคนตาย”
พอคุณบอยได้ยินก็แทบอยากจะกลับทันที แต่คุณป้าก็คะยั้นคะยอว่า …
“ไหนๆก็มาแล้ว ก็ค้างคืนกันซะที่นี่แหละ อยู่เป็นเพื่อนป้าหน่อย”
คุณป้ายังเล่าอีก… ได้ยินว่าสามีของผู้ตายไม่กลับบ้านกลับช่องมาหลายวัน จนภรรยามาทราบภายหลังว่าสามี มีเมียน้อย ทั้ง ๆ ที่พึ่งแต่งงานกันมาได้ไม่นาน เลยเป็นเหตุให้เธอเศร้าเสียใจเป็นอย่างมาก
ป้าแกซึ่งเป็นเพื่อบ้านก็มักเข้าไปปลอบโยนดูแลเธอเสมอ แต่สุดท้ายก็ไม่อาจเหนี่ยวรั้งจิตใจที่แตกสลายของเธอไว้ได้ เธอตัดสินใจจะจบชีวิตตัวเองด้วยการใช้ผ้าผูกคอตายกับพัดลมเพดานภายในบ้าน
คุณป้ายังจำวันที่เจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ มาพาร่างเธอออกจากบ้านได้ดี ศพของเธอถูกห่อไว้ในห่อผ้าอย่างมิดชิด เห็นแล้วก็อดใจหายไม่ได้
คืนนั้นคุณบอยและเพื่อนอีก 3 คน นอนกันในห้องเก็บชั้น 1 ของบ้านป้า ถึงจะบอกว่าเป็นห้องเก็บของ แต่ก็ไม่ได้รกอะไร มันกว้างขวางมากที่พอจะให้ทั้งสามคนนอนได้
กระทั่งกลางดึกไม่แน่ใจว่ากี่ทุ่ม คุณบอยที่ยังไม่หลับ ก็สังเกตเห็นว่าบ้านหลังที่อยู่ติดกัน หลังที่มีผู้หญิงผูกคคอตายนั่นแหละ ซึ่งมันมืดทึบมาตั้งแต่หัวค่ำ แต่ตอนนี้มีไฟสลัวเล็ดลอดออกมาจากหน้าต่างชั้น 2 ของบ้าน!!
คุณบอยรู้อยู่แล้วว่าบ้านหลังนั้นไม่น่าจะมีคนอยู่ แต่ด้วยความสงสัย เกิดอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา ก็เลยแอบดูจากหน้าต่างในห้องเก็บของ
คุณบอยสังเกตุเห็นว่ามีเงาอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวขยุกขยิกอยู่ แต่ด้วยมุมเงยที่ไม่ชัด เลยขึ้นบันไดบ้านไปชั้นสอง แล้วมองจากหน้าต่างชั้นบน…
คราวนี้คุณบอยมั่นใจว่า มีใครบางคนอยู่ในบ้านหลังนั้น เงาใครที่ว่านั่นกำลังเอามือยกขึ้นไปบนหัว ราวกับกำลังขยำศีรษะด้วยความหงุดหงิด หรือโมโหอะไรสักอย่าง ตอนนั้นเรื่องผีไม่ได้อยู่ในความคิดของคุณบอย นึกไปว่าอาจจะเป็นสามีของเธอที่รู้ข่าว ก็เลยกลับมาจัดการอะไรๆที่บ้านหลังนี้
ระหว่างที่สังเกตการณ์อยู่ ไฟในบ้านหลังนั้นก็ดับลงอีกครั้ง เงาของใครคนนั้นหายไป มันเงียบสงัดราวกับบ้านร้าง พอไฟดับลงคุณบอยเลยละความสนใจจากหน้าต่างชั้นสอง แล้วมองลงไปที่ประตูรั้วเลื่อนหน้า มีบางสิ่งที่ทำให้คุณบอยรู้สึกผิดสังเกต สิ่งนั้นคือแม่กุญแจที่ล่ามโซ่ล็อคประตูรั้วไว้อย่างแน่นหนา จนอดคิดไม่ได้ว่า…มีใครอยู่ในบ้านหลังนั้นจริงๆหรือ?
คุณบอยได้แต่เก็บงำความสงสัย แล้วกลับลงไปนอนต่อที่ห้อง ระหว่างที่นอนๆอยู่ ก็รู้สึกด้ว่า… มีใครบางคนอยู่ด้านนอกของบ้าน เสียงเหยีบย่ำลงบนสนามหญ้าที่อยู่ระหว่างกำแพงบ้านกับผนังห้องเก็บของ บวกกับแสงภายนอกที่ส่องเข้ามาในห้อง ถูกบดบังด้วยบางสิ่งที่อยู่ด้านนอก ไปแวปนึง….
นั่นหมายความว่า… มีใครบางคนเดินพึ่งผ่านหน้าต่างห้องเก็บของไป… เงาที่พาดเข้ามาอยู่บนขอบหน้าต่าง ผ่านไปทางด้านหลังบ้าน แล้วผ่านกลับไปทางหน้าบ้าน
คุณบอยลุกขึ้นมาแอบดูอยู่ชิดขอบหน้าต่างอย่างใจจดจ่อ ภาพที่เห็นคือ มีคนอยู่ในเขตบริเวณบ้านของป้าจริงๆ เขาหรือเธอก็ไม่ทราบได้ เพราะถูกคลุมโปงด้วยผ้าผืนยาวสีขาวหม่น ตอนนั้นคุณบอยตกใจมาก เข้าใจว่าเป็นขโมยขึ้นบ้านแน่ๆ บางทีอาจเป็นรายเดียวกับที่ขึ้นบ้านหลังข้างๆ เลยพยายามจะปลุกเพื่อน แต่ก็ไม่มีใครตื่น
จู่ๆก็มีเสียงเพลงลอยแว่วมาตามลม มันเป็นเพลงที่คุณบอยก็ไม่รู้จักมาก่อน แต่ค่ำคืนนั้นมันทำให้คุณบอยจำได้ไม่มีวันลืม…
“โอ้ห้วยแก้วเป็นพยาน สาบานว่าใจจะรักจริง ไม่เปลี่ยนแปลง…”
มันเป็นเพลงที่ขับร้องด้วยเสียงผู้ชาย ฟังจากทำนองและดนตรี เป็นเพลงเก่าคล้ายเพลงลูกกรุง ตามด้วยท่อนที่เป็นเสียงผู้หญิง ในลักษณะเพลงคู่
“ใจยังเกรงจะทิ้ง ลวงล่อ เพียงพะนอนแนบแลล้วงหน่าย…”
ทั้งๆที่เป็นเพลงรัก เนื้อหาหวานซึ้งแท้ๆ แต่คุณบอยกลับรู้สึกเสียวสันหลังวาบที่ได้ฟัง ระหว่างนั้นก็มีอีกเสียงดังขึ้นมาสอดประสานกับเสียงเพลง
“ฮืออ…ฮือๆๆ…”
เสียงสะอื้นร้องไห้ที่บาดลึก และเหน็บหนาวที่สุดเท่าที่เคยได้ยิน มันเป็นเสียงสะอื้นที่ดังมาจากทางหน้าบาน ใครบางคนในชุดคลุมสีขาว
คุณบอยได้แต่กลืนน้ำลายตัวแข็งทื่อ ทำได้เพียงจ้องมองดูเหตุการณ์ชวนประหลาดดังกล่าว และแล้วเสียงเพลงก็ดับลงกระทันหัน พร้อมๆกับเสียงร้องไห้ ดูเหมือนใครบางคนที่ว่าจะรู้ตัวว่ามีคนแอบมองอยู่ กำลังค่อยๆหันมาทางคุณบอยช้าๆ…
คุณบอยถลากลับไปหากลุ่มเพื่อนในห้อง กึ่งวิ่งกึ่งคลาน ขดตัวแน่นบนที่นอน กระทั่งเสียงเพลงนั้นดังขึ้นอีกครั้ง ราวกับเพลงที่หยุดเล่นชั่วคราวไว้ ถูกกดปุ่มเพลย์ขึ้นอีกครั้ง บทเพลงที่ว่าบรรเลงต่อเนื่องจากรอบแรก แต่ต้นเสียงมันใกล้มาก พร้อมๆกับเสียงสะอื้นร่ำไห้ที่ดังกว่าเดิม คุณบอยรู้สึกได้ว่ามันอยู่ใกล้แค่เพียงกำแพงกั้น
คุณบอยทำใจดีสู้เสืออีกครั้ง ความคาใจมันเอาชนะความกลัวชั่วขณะ เลยไปส่องที่ข้างหน้าต่างอีกครั้ง ภาพที่เห็นทำเอาคุณบอยช็อค จนล้มทั้งยืน บุคคลนิรนามที่ว่าเป็นสตรี ที่บัดนี้กำลังนอนอยู่ชิดกำแพงใต้หน้าต่าง ด้วยความที่ใกล้มาก มันทำให้คุณบอยเห็นอย่างชัดเจนว่า… เครื่องนุ่งห่มที่เธอสวมใส่ ไม่ใช่เสื้อผ้าหรือผ้าห่มกันหนาว หากแต่มันเป็นผ้าดิบที่ใช้ห่อศพต่างหาก เธอหันหน้ามาช้าๆ ก่อนจะร้องเพลงต่อบทในท่อนของผู้หญิง ในเพลงที่ชวนขนลุกว่า…
“แม้ใครเลวเลือนลืมคำ… ขอจงจมน้ำวังบัวบาน”
นั่นเป็นภาพและเสียงสุดท้ายที่คุณบอยรับรู้ ก่อนจะสลบเหมือดไปนานเท่าใดไม่ทราบ รู้สึกตัวอีกทีก็ช่วงสายของวันถัดมา คุณบอยเล่าให้เพื่อนๆฟัง เพื่อน ๆ ตต่างก็หน้าถอดสีกันยกแก๊ง มีเพียงคุณป้าเท่านั้นที่สงบนิ่งราวกับว่าไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับแก
คุณป้าสอบถามถึงรูปพรรณสัณฐานของหญิงคนดังกล่าว ก็บอกกับคุณบอยว่า ความจริงตั้งแต่คืนแรกที่มูลนิธินำร่างของเธอไป คนแถวนี้ก็เจอกันทุกคืน! จนบางหลังย้ายหนีกันไปชั่วคราวแล้ว แม้แต่ป้าแกเองก็เจอ วันดีคืนดีก็เห็นนางไปยืนร้องเพลงที่ว่าอยู่บนหลังคาบ้าน หนักกว่านั้นคือ เวลาเดินผ่านบ้านนางกลางคืน มีบางคนเห็นนางห้อยต่องแต่ง
เท่าที่คุณป้าเสวนากับคนในละแวกมา พอจะได้ความว่า หลังจากแต่งงานกันได้ไม่นาน ผัวเธอหายไปอยู่กับเมียเก็บ ทิ้งให้เธอเหงาอยู่คนเดียว ทั้งๆที่เป็นคนที่เธอรัก คนที่เธอมั่นใจและไว้ใจ
ส่วนเพลงเจ้าปัญหา ได้ยินมาว่าเป็นเพลงที่เธอร้องคู่กับสามีในงานแต่ง ดังนั้นมันจึงเป็นเพลงที่เธอหวงแหน เป็นเพลงแห่งคำมั่นสัญญาในความรักระหว่างเธอและเขา และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม… เพลงดังกล่าว แม้เป็นเพลงรักหวานชื่น แต่ต้นฉบับก็มีความหลอนในตัว “เพลงวิมานรักห้วยแก้ว” เป็นเพลงที่มีเนื้อหาว่า ใช้น้ำตกห้วยแก้วเป็นสักขีพยานในความรักของคู่หนุ่มสาว หากใครผิดคำสัญญา ก็ขอให้จมน้ำตกแห่งนี้ตาย ต่อให้น้ำจะเหือดแห้งเพียงใด แต่ความรักจะมั่นคงตลอดไป บอกเลยว่า… ต้องลองไปหามาฟังกัน
Cr : เสียงสยอง
Original : sayongsquare