เรื่องนี้เป็นเรื่องที่อธิบายยากจริงๆสำหรับเรา ซึ่งเป็นคนไม่มีความเชื่อเรื่องผี เรื่องวิญญาณ แต่ก็ยังยึดคติว่าไม่เชื่ออย่าลบหลู่ ไปไหนมาไหนก็เคารพสถานที่ตลอด วางเหรียญบนหัวเตียงตลอด
พอดีตอนนั้นเรานั่งกินส้มตำกันข้างถนน และจับกลุ่มเล่าเรื่องผีกัน เลยคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา อันที่จริงไม่เคยลืมต่างหาก เรื่องไม่ได้น่ากลัวอะไร แต่จนถึงทุกวันนี้เราก็ยังตอบไม่ได้…
เราตอนนั้นอายุ ราวๆ 17-18 มีน้องสาวหนึ่งคน ชื่อ จูน อายุ 11 ปี บ้านของเราอยู่ในจังหวัดหนึ่งทางภาคใต้ มีอยู่วันหนึ่ง ช่วงหัวค่ำ เราสองคนพี่น้องทะเลาะกับแม่หนักมากจนไม่อยากนอนบ้าน จึงโทรบอกพ่อให้มารับ (พ่อแม่เราแยกกันอยู่แล้ว) พ่อซึ่งจะเข้าใจพวกเราตลอดก็ขับมารับพวกเราถึงบ้าน
พอพ่อมาถึง เราเก็บของหลายสิ่งหลายอย่างใส่ตะกร้าผ้าแล้วหอบขึ้นรถไปอย่างไม่ลังเล จูนร้องไห้ตลอดทาง ปนน้อยใจ เรื่องที่ทะเลาะกับแม่ เนื่องจากความไม่เข้าใจกัน เราก็พูดระบายให้พ่อฟังไปตลอดทาง
จนรถมาจอดที่บ้านหลังนึง ซึ่งเป็นบ้านทรงเก่าๆสภาพทรุดโทรมมาก ที่อยู่ในตลาด ซึ่งเราสองคนรู้ดีว่าเป็นบ้านของแฟนใหม่ของพ่อ เพราะพ่อเคยแวะมาในตอนกลางวันอยู่บ่อยครั้ง
พ่อบอกว่าคืนนี้เราจะนอนที่นี่กัน จูนซึ่งเป็นคนขี้กลัวอย่างมาก มองหน้าเราอย่างลังเลและวิตก เราตบบ่าน้องเบาๆบอก มีพี่อยู่กลัวอะไร..
หลังจากลงรถ เรายืนกอดตะกร้าผ้าพร้อมมองสำรวจตัวบ้านผ่านความมืด ซึ่งตอนนั้นเวลา 5 ทุ่มแล้ว บรรยากาศรอบๆเงียบสงัด ตามประสาต่างจังหวัด
ตัวบ้านมี 2 ชั้น ชั้นล่างเป็นปูน ชั้นบนเป็นไม้ โดยชั้นล่างจะเปิดเป็นร้านขายของชำทั่วไป และพวกตุ๊กตามือสองด้วย ตอนเดินผ่านก็แอบหลอนหน่อย ๆ
หลังจากพ่อจอดรถด้านนอกเสร็จก็พาเราเข้ามาในบ้าน โดยพี่ดาว แฟนใหม่ของพ่อ เปิดประตูรออยู่ จูนมองหน้าเราแบบขอความเห็น เราเลยปลอบน้องว่า “เอาน่าา มาแล้ว เดี๋ยวก็เช้า”
หลังจากปิดบ้านเสร็จ พี่ดาวก็เดินนำเรากับน้องขึ้นไปชั้นบน โดยมีพ่อเดินรั้งท้ายสุด
ทันทีที่เดินขึ้นบันไดชั้นสอง เราเห็นรูปขาวดำหลายรูปแขวนอยู่ทางด้านซ้ายมือ บางภาพก็ออกสีเขียวๆ เพราะถูกตะไคร้น้ำเกาะ ภาพเหล่านั้นคือบรรษบุรุษของน้าดาวนั่นเอง
น้องจูนที่กลัวผีเป็นทุนเดิม แน่นอนว่าเมื่อเห็นภาพขาวดำเหล่านั้น สีหน้าของน้องเริ่มดูแย่ลงอย่างเห็นได้ชัด แต่จะเปลี่ยนใจตอนนี้คงไม่ทันแล้ว
ด้านขวามือจะเป็นห้องน้ำ และห้องเก็บของ ส่วนด้านซ้ายมือจะเป็นห้องนอน ซึ่งเป็นห้องนอนเพียงห้องเดียว และเป็นห้องที่ใหญ่ที่สุดของชั้นบน เมื่อเดินขึ้นบันไดมา เลี้ยวซ้าย จะมีทางเดินเล็ก ๆ และเจอประตูห้องเลย
พื้นชั้นสองเป็นไม้ขัดมัน ฝาผนังของห้องนอนด้านนึงจะอยู่ฝั่งเดียวกับบันได ซึ่งเป็นฝั่งเดียวกับกับรูปที่แขวนอยู่บนผนังทางขึ้นบันได ส่วนอีกด้านจะอยู่ฝั่งถนน มีหน้าต่างเปิดออกไปได้
น้าดาวเดินเข้าห้องเก็บของ เข้าไปเอาชุดที่นอนและยื่นให้เรากับน้อง แล้วบอกว่า
“ก่อนนอน ขอเจ้าของเขาด้วยนะ”
ในใจอยากจะอุทานออกมาว่า “เชี้ย ละ!!”
จูนจับแขนเราแน่น เราเลยกระซิบบอกว่า “ทำตามที่เขาบอกละกันนะ”
“จะเข้าห้องน้ำก็เข้าซะตอนนี้เลย ถ้าเป็นไปได้ไม่ต้องออกมาอีกนะ” น้าดาวบอกพวกเรา
พ่อเดินเข้าไปจัดห้อง ปูที่นอนให้ ไอ้เราก็กำลังยืนก้มลงมองชุดที่นอนที่ถืออยู่ในมือ พลันคิดในใจไปด้วยว่า “เอาวะ นอนก็นอน”
พ่อกับน้าดาว นอนฝั่งหน้าต่าง ส่วนเราสองคนพี่น้องนอนฝั่งที่ติดกับบันได ใกล้ประตู ซึ่งประตูจะอยู่ตรงหัวนอนเราพอดี เอาจริง ๆ ห้องมันกว้างมาก กว้างจนตรงกลางโล่งเลย
จูนจะห้อยพระไว้ที่คอตลอดเวลา แม้แต่เวลานอนก็ไม่ถอด ซึ่งผิดกับเราที่ไม่ชอบห้อยพระเลย แต่คืนนั้นเราเอามาด้วย หลังจากสวดมนต์ บอกขออนุญาติเจ้าที่เสร็จแล้ว ก็ล้มตัวลงนอน แต่นอนว่านอนไม่หลับ..
จนกระทั่งผ่านไปราวๆ 2 ชม. บรรยากาศในห้องมืดและเงียบสนิท มีเพียงแสงไฟสลัวๆ จากฝั่งถนนที่ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามา ฝั่งที่พ่อและน้าดาวนอนอยู่
พ่อเริ่มกรน จูนพลิกตัวไปมา เรานอนลืมตา ในหัวคิดอยู่หลายเรื่องจึงทำให้นอนไม่หลับ จนเวลาประมาณ ตี 1 กว่าๆ จู่ ๆ เราก็คิดถึงคุณตาขึ้นมา (ตาเสียไปเกือบปีแล้ว เราสนิทกับตามาก ตาเป็นคนเดียวที่เราอยากเจอมาก แต่ไม่ได้เจอ)
เริ่มพยายามข่มตาให้หลับ กระทั่งเราเริ่มเคลิ้ม ๆ กำลังจะหลับ ….ทันใดนั้น เราได้เสียงเหมือนคนกำลังวิ่งขึ้นบันไดมาอย่างดัง ตึกๆๆๆๆ จนเราสะดุ้งตื่น!!
เราลืมตาขึ้น แล้วหันไปหาจูน ปรากฏว่า จูนก็ยังไม่หลับเช่นกัน จูนเริ่มเบียดเข้ามาซบไหล่เรา เรารู้ว่าน้องกำลังกลัวมาก
เรามองเห็นหน้าจูน ที่กำลังจะอ้าปากพูดกับเรา เราเลยยกมือปิดปากน้อง แล้วจ้องหน้าเป็นอันรู้กันว่า ห้ามทัก!!
เราพยายามปลอบตัวเอง คิดว่าแมวหรือป่าว แต่ความคิดในหัวมันดันเถียงอยู่ตลอดเลยว่า แมวบ้าบอที่ไหน เสียงเท้าจะดังขนาดนั้น
เหมือนบางสิ่งที่อยู่ด้านนอกนั้น มันกำลังวิ่งขึ้นวิ่งลงบันไดอย่างสนุกสนาน แต่พ่อและน้าดาวกลับหลับสนิท เป็นไปไม่ได้เลยที่พ่อจะไม่ได้ยิน เพราะเสียงเท้าของมันดังมากจริง ๆ
แต่มันยังไม่จบ เมื่อเเสียงนั้นมันกำลังวิ่งลงบันไดไป และหยุดเงียบไปพักนึง และเดินกลับขึ้นมาอย่างช้าๆ จนมาหยุดที่หน้าประตู ตรงหัวนอนเรา!! มีเพียงผนังห้องที่ทำจากไม้แผ่นบางๆกั้นระหว่างเรากับสิ่งนั้นไว้
ความหลอนเริ่มทวีขึ้น เมื่อมีเสียงขูดผนังดัง กลืด….กลืด….กลืด…สลับกับเสียงลูกปัดหล่นลงพื้นดัง ต๊อกๆๆ เรารู้สึกได้ว่า เหมือนมีคนหลายคนที่อยู่อีกฝั่งของผนังห้อง
เราหันไปมองจูน เห็นน้องนอนตัวสั่น เป็นอันรู้ว่า น้องก็คงได้ยินเหมือนกันแหละ แต่แปลกที่พ่อกับน้าดาวยังคงนอนหลับเป็นตายอยู่
บอกตรงๆ เกิดมาจนอายุจะ 20 ปี เราไม่เคยเจอผี และไม่เคยเจออะไรที่น่ากลัวขนาดนี้มาก่อน บอกตรงๆอธิบายไม่ถูกว่ามันคืออะไร
แต่คงเพราะความเพลีย บวกกับง่วงนอนมาก ทำให้เราเริ่มโมโห พูดออกไปในใจว่า “คนจะนอน จะอะไรนักหนา?! ผีเหรอ? ถ้าผีมีจริง คุณตาเราก็ต้องมีจริงสิ ตาจ๋าคุ้มครองหนูกับจูนด้วยนะ หนูไม่อยากให้น้องกลัว”
และเหมือนจะได้ผล เสียงขุดฝาผนังหยุดลง และได้ยินเสียงพวกมันกำลังวิ่งลงบันไดไป จนที่ทุกอย่างเงียบสนิท …เสียงวิ่งหยุดลง!! เราก็คิดว่ามันคงไปแล้ว แต่เปล่า…
เราเอาหูแนบกับพื้นไม้ เพื่อฟังเสียง…และแล้ว เราก็ได้ยินเสียงพวกมันเดินกลับขึ้นมาอย่างช้าๆ ด้วยความกลัว เรากอดน้องไว้แน่น ตอนนั้นแม้แอร์จะเย็นแค่ไหน แต่เราและน้องกลับเหงื่อท่วมตัว
สิ่งนึงที่คิดได้คือ คิดถึงบ้าน คิดถึงแม่ แม่หนูจะไม่มาอีกแล้ว หนูอยากกลับบ้าน หนูขอโทษ
ในใจนี่ก็ด่าสารพัด สารเพ ด่าหยาบๆคายๆออกไป “ถ้ามึงมาหลอกให้น้องกูขวัญเสียหรือมาให้เห็นนะ กูจะแช่งแม่มเลยไม่ไหวแล้ว นอนก็นอนไม่ได้ คือปกป้องน้องมาก” จนเวลาตี 5 ไก่เริ่มขัน เสียงทุกอย่างจึงหยุดเงียบไป
เรามองไปที่พ่อและน้าดาว เห็นเค้าทั้งสองยังคงนอนหลับอยู่ที่เดิม จนเวลาผ่านไปอีกครึ่งชม. ฟ้าเริ่มสว่าง เรากับน้องรีบเข้าไปปลุกพ่อ บอกอยากกลับบ้านแล้ว
ระหว่างเดินลงบันได เรามองรูปภาพที่ฝาผนังด้วยความโกรธ แล้วคิดในใจ “กูจะไม่มานอนที่นี่อีกแล้ว”
พอกลับมาถึงบ้านแม่ พ่อส่งเราเสร็จก็ขับรถกลับออกไปทันที เราเล่าให้แม่ฟังพร้อมขอโทษเรื่องเมื่อคืน แม่ก็ปลอบน้องบอกทีหลังอย่าไปอีก
หลังจากนั้นเราก็โทรไปเล่าเรื่องที่เจอเมื่อคืนให้พ่อฟัง และถามพ่อว่าเมื่อคืนได้ยินอะไรไหม พ่อบอกเสียงบ้าบอคอแตกอะไร นอนสบาย เพิ่งมาตื่นตอนหนูปลุกนั่นแหละ
แม่เราบอกว่า สงสัยน้าดาวจะเลี้ยงผี ซึ่งเราก็ไม่รู้นะว่าจริงหรือเปล่า แต่เราก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่า สิ่งที่เราเจอทั้งคืนมันคืออะไร และตอนนี้พ่อกับน้าดาวเลิกกันแล้ว พ่อบอกว่าจะไม่ขอข้องเกี่ยวใดๆกับน้าดาวอีก…
ทุกวันนี้เรายังเคืองอยู่เลยว่าเราไม่ได้ทำไรให้พวกเขา ทำไมพวกเขาต้องมารบกวนเราด้วย…
ขอบคุณที่มา Pantip.com