เรื่องนี้ผมได้รับฟังมาจากรุ่นน้องคนหนึ่ง ขอเรียกว่าน้องปื้ดนะครับ เรื่องมันเกิดเมื่อ 4-5 ปีแล้ว ตอนนั้นปื้ด เรียนอยู่ที่โรงเรียนอาชีวะแห่งหนึ่ง ในจังหวัดนครราชสีมา ปื้ดเป็นเด็กที่หนุ่มรูปร่างค่อนข้างใหญ่ ผิวสีเข้ม อายุประมาณ 18-19 ปี แต่หน้าตาจะออกไปทางคนอายุ 28 ถึง 29 ปีมากกว่า พูดง่ายๆก็คือเป็นเด็กหน้าแก่และหน้าดุนั่นแหละ
ตอนนั้นปื้ดเรียนอยู่ชั้น ปวส.ปีที่ 2 ซึ่งเป็นช่วงที่โรงเรียนมีกิจกรรมอยู่บ่อยๆ เงินที่พ่อแม่ให้มาก็ไม่เพียงพอต่อการใช้จ่าย วันจันทร์ถึงวันศุกร์ หลังเลิกเรียนจึงต้องไปทำงาน part time ตั้งแต่เวลา 16:00 น. ถึงประมาณ 20:00 น.
สถานที่ทำงานที่ปื้ดไปทำ เป็นร้านกิ๊ฟช็อป ขายหนังสือและอุปกรณ์การเรียนต่างๆ ลักษณะจะเป็นตึก 3 ชั้น ชั้นล่างเป็นหน้าร้าน ชั้น 2 จะเป็นคลังสินค้า และชั้น 3 จะเป็นที่พัก
ช่วงแรกที่เข้าทำงาน ปื้ดทำหน้าที่เช็คสต๊อกของและคอยพาลูกค้าหาสินค้าที่ต้องการอยู่ที่หน้าร้าน ทำหน้าที่นี้อยู่ประมาณ 3-4 วัน เจ๊เจ้าของร้านก็เห็นว่าลูกค้าที่มาซื้อของไม่ค่อยกล้าเรียกใช้บริการปื้ดเท่าไร เนื่องจากลูกค้าส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง เด็กนักเรียน นักศึกษา ประกอบกับเจ้าปื้ดเป็นคนหน้าดุ ลูกค้าอาจจะกลัว หรือเกรงใจ เลยไม่กล้าเรียกใช้เจ้าปื้ด เจ๊เจ้าของร้านจึงเรียกปื้ดมาคุยว่า
“อาปื้ด ถ้าอั้วจะให้ลื้อไปทำงานบนชั้น 2 ลื้อโอเคไหม”
“ได้ครับ แล้วผมจะต้องทำอะไรบ้างล่ะครับเจ๊ เจ๊บอกผมมาได้เลย” เจ้าปื้ดถาม
“ก็มีงานหนังสือ ทำป้ายราคา ทำเซ็ตเครื่องเขียน เช็คสต๊อกโหลดของ” เจ้าปื้ดก็เลยตอบตกลง
ทางขึ้นไปชั้น 2 มี 2 ทาง ทางแรกเป็นบันไดเดินขึ้นไป แล้วมีประตูเหล็กทึบบานใหญ่ปิดล็อคไว้อยู่ และอีกทางเป็นลิฟท์ส่งของ กว้างประมาณ 2 เมตรคูณ 2 เมตร ประตูลิฟต์จะเป็นประตูเหล็กซี่ ๆ ปิดไว้แบบโล่งๆ ง่ายๆ จะไม่เหมือนกับลิฟท์ในห้างสรรพสินค้า กว่าลิฟท์จะขึ้นจะลงได้ ต้องใช้เวลานานมาก
ถึงแม้ลิฟท์มันจะเก่ามากแล้ว แต่พนักงานในร้านส่วนใหญ่ก็ยังใช้ลิฟท์ซะมากกว่า เพราะทางบันไดประตูเหล็กมันขึ้นสนิม ซึ่งเปิดยากมาก
พอวันรุ่งขึ้นเจ้าปื้ดก็ได้ขึ้นไปเริ่มงานบนชั้น 2 โดยมีรุ่นพี่ในร้านอีกคน ชื่อว่าพี่นก มาค่อยบอกหน้าที่ที่ต้องทำ
พี่นกก็สอนงานให้ปื้ดต่าง ๆ นา ๆ เช่นเอาถุงใส่ผ้าห่อหนังสือใหม่ เพื่อกันลูกค้าแกะอ่าน ติดป้ายราคา จัดเซตเครื่องเขียนไว้เป็นเซตพร้อมขาย หลังจากสอยงานจนหมด พี่นกก็บอกว่า…
“เฮ้ย เดี๋ยวพี่ขอตัวลงไปทำงานข้างล่างก่อนนะเว้ย”
เจ้าปื้ดก็เลยบอกว่า “อ้าวผมก็นึกว่าพี่จะอยู่เป็นเพื่อนผมซะอีก”
“โอ๊ย พี่เบื่องานชั้น 2 แล้วอยากจะไปอยู่ข้างล่างบ้าง”
บนชั้น 2 จะมีชั้นวางหนังสือ และอุปกรณ์ต่างๆ วางเต็มไปหมด แต่จะมีที่โล่งๆอยู่บริเวณหน้าลิฟท์ไว้ให้นั่งทำงาน ฝั่งขวามือเป็นที่เก็บอุปกรณ์กิ๊ฟช็อป และมีชั้นวางของกั้นเอาไว้ เพื่อแบ่งโซนสินค้า ซึ่งจะมองไม่เห็นอีกฝั่งแน่นอน ต้องเดินอ้อมชั้นวางของไปถึงที่เห็นอีกฝั่ง
ปื้ดนั่งหอหนังสืออยู่บริเวณหน้าลิฟต์ ทำอยู่ 3 วันแรกก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ที่น่าแปลกใจก็คือ เวลาที่คนอื่นขึ้นมาชั้น 2 มักจะไม่ขึ้นมาคนเดียว บางทีขึ้นมาเอาของมาเบาๆ อย่างลังดินสอหรือหลังปากกา ก็ขึ้นกันมา 2 คน
แล้วเวลาที่ปื้ดทำงาน ก็จะไม่มีคนมาคอยตรวจงาน หรือไม่มีคนมาสนใจเลยว่าปื้ดจะทำงานไปถึงไหนแล้ว อู้งานหรือเปล่า แต่ปื้ดก็คิดไปในทางที่ดีว่า งานที่หน้าร้านคงจะยุ่งมาก เลยไม่มีเวลาขึ้นมาตรวจงานละมั้ง
พอวันที่ 4 ปื้ดเริ่มเบื่องานบนชั้น 2 แล้ว ก็เลยเอาโทรศัพท์มาเปิดเพลงฟังบ้าง ดู YouTube บ้าง เพื่อแก้เซ็ง จนพักหลังหลังมาพฤติกรรมปื้ดก็เริ่มหนักขึ้น คือเริ่มงีบหลับบ้าง พักเล่นเกมบ้าง
เพราะคิดว่า ด้วยความที่ตัวเองนั่งทำงานอยู่หน้าลิฟต์ พอคนกดลิฟท์ขึ้นมา ตัวเองก็ต้องได้ยินเสียง และทางขึ้นบันไดชั้น 2 ก็ไม่มีใครขึ้นมาอยู่แล้ว ก็เลยทำให้ปื้ดอู้งานได้สบายเลย
จนอยู่มาวันหนึ่ง เวลาประมาณ 19:00 น ระหว่างที่ปื้ดกำลังนั่งก้มหน้าก้มตาเล่นเกมอยู่ ปื้ดก็ได้ยินเสียงหัวเราะดัง หึหึหึ เป็นเสียงเหมือนผู้หญิงหัวเราะอยู่ในลำคอ
ปื้ดตกใจ พยายามเงียบหูฟัง ว่าตัวเองหูเพี้ยนไปหรือเปล่า สักพักเสียงหัวเราะก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง หึหึหึ ๆๆๆ ปื้ดมั่นใจว่า เสียงนั้นดังมาจากทางขวามือแน่นอน คือฝั่งที่มีชั้นวางของกั้นอยู่ จึงลุกขึ้นแล้วย่องไปดูอีกฝั่งของชั้นวางของ
ระหว่างที่เดินไป ก็ยังได้เสียงหัวเราะดังอยู่ในลำคอนั้นตลอด พอไปถึงปื้ดก็ค่อย ๆ ชะโงกหน้าไปดูอีกฝั่ง แล้วก็ต้องตกใจ เมื่อเห็นว่ามีผู้หญิงคนหนึ่ง กำลังนั่งหันหลังให้อยู่ที่พื้น ผมยาวถึงกลางหลัง ก้มหัวโยกลงไปข้างหน้า จนหัวแทบจะแตะที่พื้น แล้วเงยตัวขึ้นมา ตามจังหวะเสียงหัวเราะ
“หึหึหึ ๆๆๆ”
ตอนนั้นเจ้าปื้ดยังไม่คิดว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นผี แต่กลัวว่าเธอจะเห็นตอนที่ตนอู้งานหรือเปล่า ในใจก็คิดว่า ที่ผ่านมานึกว่าอยู่ชั้น 2 คนเดียวมาตลอด แล้วตัวเองก็ทำพฤติกรรมที่ไม่ค่อยดีนัก หากเธอไปฟ้องเจ๊ ตัวเองต้องซวยแน่ๆ ปื้ดก็เลยเดินย่องกลับมานั่งทำงานเหมือนเดิม
แต่เสียงหัวเราะนั้นก็ยังคงดังอยู่ จนปื้ดเริ่มแปลกใจ เพราะเหมือนกับว่า เสียงหัวเราะนั่น มันดังเข้ามาใกล้ตัวเองมากขึ้น ๆ เรื่อย ๆ
ระหว่างที่นั่งทำงานอยู่ หางตาปื้ดเหมือนเห็นเงาดำๆอยู่ทางขวามือ เยื้องไปข้างหลัง ลักษณะเหมือนคนนั่งโยกหัวลงสลับกับเงยขึ้น พร้อมกับเสียงหัวเราะในลำคอ
“หึๆๆๆๆๆๆ”
จังหวะนั้นด้วยสัญชาตญาณ ปื้ดรู้แล้วว่าผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่คนแน่ๆ ทางออกเดียวที่ทำได้ตอนนี้ก็คือ ลงลิฟท์ไปชั้นล่าง
ตอนนั้นปื้ดนั่งหันหลังให้ลิฟท์ ห่างจากลิฟท์ประมาณ 5 เมตร หางตาด้านขวายังคงเห็นเงาดำนั้นนั่งโยกตัวไปมาอยู่ ก้มเงยเป็นจังหวะตามเสียงหัวเราะอยู่
แต่ที่แย่ไปกว่านั้นคือ ลิฟท์มันดันไปจอดอยู่ที่ชั้น 1 เพราะมีคนจากชั้น 1 ขึ้นมาเอาของไปเมื่อช่วงเย็น หากกดเรียกตอนนี้ ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1 นาทีกว่าลิฟท์จะขึ้นมาจอดบนชั้น 2
ปื้ดตัดสินใจหลับตาแล้วหมุนตัวกลับหลังหัน แล้วรีบวิ่งไปที่ลิฟท์ทันที ปื้ดกดปุ่มลิฟท์รัวๆ เสียงลิฟท์ค่อยๆเลื่อนขึ้นมาอย่างช้าๆ แต่มีอีกเสียงหนึ่งที่แทรกเสียงลิฟเข้ามาในหูของปื้ด นั่นคือเสียงหัวเราะในลำคอ หึๆๆๆๆๆ
เหมือนเสียงหัวเราะนั้นมันดังแนบติดกับหูของปื้ดเลย ความรู้สึกเย็นเยือกตรงต้นคอ ใบหูแผ่นหลัง ลามไปถึงกระดูก
ปื้ดไม่กล้าที่จะลืมตามอง เพราะไม่รู้ว่าหากลืมตาขึ้นมาแล้วจะเห็นเธอคนนั้นอยู่ในสภาพไหน
ปกติแล้วระยะเวลาที่ลิฟต์เคลื่อนตัวจากชั้น 1 ขึ้นมาชั้น 2 ไม่น่าจะเกิน 1 นาที แต่สำหรับปื้ดตอนนี้มันเหมือนเวลาผ่านไปเป็นชั่วโมง บวกกับเสียงหัวเราะที่ยังคงดังก้องอยู่ในหัวไม่หยุด
สักพักเสียงลิฟท์ก็ค่อยๆเลื่อนขึ้นมาจนใกล้จะถึงชั้น 2 ปื้ดยังคงหลับตาสนิท มือทั้งสองข้างลูบคลำไปที่ประตูเหล็กของลิฟท์แล้วเปิดมันออก
เมื่อลิฟท์ขึ้นมาถึงชั้น 2 ปื้ดก็ก้าวเข้าไปในลิฟท์อย่างรวดเร็ว แต่ลิฟท์ยังไม่ทันจะจอดสนิท พื้นลิฟท์น่าจะห่างจากพื้นชั้น 2 ประมาณ 1 ฟุต นั่นทำให้ปื้ดหัวทิ่มลงไปนอนกองอยู่ในลิฟท์
ปื้ดรีบตะเกียกตะกายขึ้นมาคว้านหากปุ่มกดลิฟท์ แล้วกดลงไปชั้น 1 ในสภาพที่ยังหลับตาปี๋อยู่ พอกดปุ่มลงมาจนถึงชั้น 1 ได้ ปื้ดรับรู้ได้ว่าลิฟท์กำลังค่อย ๆ เลื่อนลงไปที่ชั้น 1
พอตัวลิฟต์เลื่อนลงกำลังจะพ้นชั้น 2 ในใจก็เกิดความสงสัย มันอดที่จะลืมตามองไม่ได้ ปื้ดจึงค่อย ๆ หรี่ตาขึ้นมองไปที่หน้าลิฟต์ ปรากฏว่า เห็นใบหน้าของผู้หญิงคนหนึ่ง ขาวซีด กำลังนอนเอาหน้าแนบอยู่กับพื้นชั้น 2 ก้มลงมามองหน้าปื้ด จ้องตาเขม่นอยู่แบบนั้น
สิ่งที่เห็นทำให้ปื้ดช็อคยืนตัวสั่นขาแข็งอยู่ในลิฟท์ จนเยี่ยวเล็ดออกมาเลย จนกระทั่งลิฟท์เลื่อนลงมาจอดที่ชั้น 1 พนักงานคนอื่นในร้านที่ได้ยินเสียงโครมคราม จึงรีบวิ่งเข้ามาดูอาการเจ้าปื้ด เขย่าแขนเขย่าขาเขย่าตัวปื้ดให้ได้สติ แล้วจูงแขนพาตัวเองมานั่งพักอยู่ที่โต๊ะหินอ่อนหน้าร้าน และสอบถามว่ามันเกิดอะไรขึ้น ปื้ดจึงเล่าเรื่องทั้งหมดที่เจอให้ฟัง
เจ๊เจ้าของร้านก็ออกมาคุยกับเองและสอบถามว่า ที่เห็นน่ะรูปร่างลักษณะแบบไหน ปื๊ดก็เล่าให้ฟังว่าเป็นผู้หญิงผมยาวถึงกลางหลัง ส่วนเสื้อผ้าและรายละเอียดอื่นๆจำไม่ได้ เพราะไม่ได้สังเกต แต่จำใบหน้าที่แนบลงกับพื้นได้ชัดแน่นอน
เมื่อฟังจบ เจ๊เจ้าของร้าน เดินกลับเข้าไปในร้าน แล้วหยิบอัลบั้มรูปเก่าออกมาให้ดู พร้อมกับชี้ไปที่รูปผู้หญิงคนหนึ่ง แล้วก็ถามว่าผู้หญิงคนนี้ใช่ไหม ปื้ดดูอยู่สักพัก จึงบอกว่า “คนนี้แหละเจ๊ แต่ที่ผมเห็นตัวเค้าขาวๆซีดมาก”
เจ๊เลยบอกว่า คนนี้คือพี่สาวของตน เค้าเสียไปแล้ว 4-5 ปี เดิมนี้พี่สาวเป็นเจ้าของร้าน แต่ระยะหลังแกป่วยออดๆแอดๆ แกก็เลยเรียกเจ๊มาให้ดูกิจการต่อ สุดท้ายแกก็เสียชีวิตลง เลยยกกิจการทั้งหมดนี้ให้เจ๊
ด้วยความที่ทั้งสองพี่น้องไม่มีสามีทั้งคู่ พี่สาวคงยังเป็นห่วงน้องสาว เลยคอยเป็นหูเป็นตาให้ ถึงแม้ตัวจะตายไปแล้ว แต่เหมือนแกยังค่อยช่วยดูอยู่เสมอ
พอเรื่องทั้งหมดถูกเฉลย เจ้าปื้ดรู้สึกทำใจไม่ได้ ที่จะต้องทำงานอยู่ที่นี่ต่อ เพราะเจอมาค่อนข้างหนัก จึงขอลาออกตั้งแต่วันนั้นเลย
เจ๊เองก็เข้าใจ จึงไม่ขัดข้องอะไร ส่วนพี่นกที่เคยทำงานอยู่บนชั้น 2 มาก่อน แกก็บอกว่า ตัวพี่นกเองทำงานอยู่ร้านนี้มานานมากแล้ว ตั้งแต่สมัยที่เจ๊ใหญ่ยังอยู่ แกเลยผูกพันกับเจ๊ทั้งสองคนมาก เลยไม่กลัว และไม่เคยเจอผีเจ๊ใหญ่
พี่นกเลยถามปื้ดว่า เอ็งไปทำอะไรหรือเปล่า เพราะปกติเจ๊ใหญ่แกไม่ค่อยออกมาหลอกใครนะ นอกจากพวกที่ทำตัวไม่ดี ถึงจะโดนผีเจ๊ใหญ่หรอก ปื้ดก็เลยรับสารภาพกับสิ่งที่ตัวเองทำไปทั้งหมด
ขอขอบคุณเรื่องเล่าจาก ชบาแก้วเล่าเรื่องผี เรื่อง เจ๊ใหญ่ไม่ชอบ โดย.คุณธีร์ญนัฐ
บทความนี้ถูกเรียบเรียงจาก Youtube ห้ามนำไปทำซ้ำหรือเล่าลงพอดแคสต์ หรือคัดลอกเนื้อหาไปลงที่อื่นใด