
นี่คือเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง…เกิดขึ้นกับตัวเราเองและเพื่อรผู้ร่วมชะตากรรมอีกสามคน….
หลังจากที่เราและเพื่อนในกลุ่มไม่เจอกันมาหลายเดือน จึงเกิดทริปปุบปับครั้งนี้ขึ้นมา ทีแรกเราจะจองที่พักที่หนึ่ง แต่ว่ามันเต็ม เพื่อนอีกคนจึงส่งที่พักพูลวิลล่าที่หัวหินแห่งนี้เข้ามาเสนอเป็นอีกทางเลือกพร้อม ๆ กับอีก 2-3 ที่ แต่เราทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่าจะเลือกที่นี่เนื่องจากมันสวยและราคาไม่แพงมาก
เมื่อเดินทางถึงบ้านพัก เรา, ฤดี, นิภา และ ขจี รู้สึกประทับใจกับที่พักทันที เพราะมันทั้งใหม่ สะอาด กว้างขวาง เป็นพูลวิลล่า 2 ห้องนอน 1 ห้องรับแขก และมีดาดฟ้าให้ขึ้นไปชมวิว ตัวบ้านมีพื้นที่พอประมาณ เรียกว่าเหมาะกับมาพักกับเพื่อนและครอบครัว
เข้าสู่ช่วงหัวค่ำ เราทุกคนกินดื่มกันที่โต๊ะอาหารพร้อมเพื่อนที่ทำงานเก่าที่บังเอิญมาหัวหินพอดีอีกสองคน เรานั่งเม้าท์มอยและดื่มกันจนถึงประมาณ 2 ทุ่มครึ่ง เพื่อนสองคนที่แวะมาก็ขอตัวกลับที่พักก่อน เรา 4 คนที่เหลือก็นั่งดื่มกันต่อ แต่ย้ายจากโต๊ะอาหารมานั่งที่โซฟาห้องนั่งเล่นที่อยู่ในบริเวณเดียวกัน เรานั่งบนถุงถั่วที่พื้น ส่วนคนอื่น ๆ กระจายตามโซฟา
หลังจากเปิดเพลงฟังนั่งคุยกันไปอีกสักพัก ก็เริ่มมีเรื่องแปลก ๆ เกิดขึ้น ซึ่ง ณ เวลานั้นเราไม่ได้คิดอะไรไปไกลนอกจากเพื่อนคนนึงที่เริ่มเมาและมีท่าทางที่แปลกไปจากเดิม แบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อนตลอดชีวิตที่รู้จักกันมาเกือบสิบปี ราวกับว่าเป็นคนละคน และคนแปลกที่ว่าก็คือ “เราเอง”
เพื่อนเล่าว่า เรา ดูแปลกไปจากเดิมมาก ตาเริ่มขวาง พูดไม่ฟัง ดื้อ เหมือนเด็กเอาแต่ใจที่อยากได้คำตอบอะไรก็คาดคั้นจะเอาให้ได้ ทีแรกเพื่อนก็เข้าใจว่าเราเมา แต่เป็นการเมาแบบเปรี้ยวตีนและไม่เคยเห็นเป็นแบบนี้มาก่อนตั้งแต่รู้จักกันมา ทุกคนต่างสงสัยว่าเดี๋ยวนี้เมาแล้วเป็นแบบนี้เหรอ ไหนก่อนมาบอกว่าปกติเมาแล้วหลับ
มีจังหวะนึง นิภา เห็นเรากำลังถือเทียนหอมไปใกล้ ๆ เพื่อนอีกคนที่กำลังนอนคว่ำอยู่ที่โซฟา แล้วจะเอาน้ำตาเทียนเทใส่หลัง ขจี ที่นอนไม่รู้ตัว นิภา เลยรีบตะโกนเรียกชื่อ ขจี ให้ลุกขึ้น เคราะห์ดีที่เธอลุกขึ้นมาทัน และเราก็เทไปนิดนึงแล้วแต่ไม่โดน รอดไป…
อีกเหตุการณ์นึงเราเดินเข้าห้องนอนไปเพื่อไปอาบน้ำ (ซึ่งไม่รู้ว่าอาบหรือเปล่าจำไม่ได้ แต่ตื่นมาข้าวของอาบน้ำก็วางเต็มอ่างอยู่นะ) ระหว่างนั้นเพื่อนต่างกังวลแล้วว่าจะเอาไงกับเราดี เพราะฤทธิ์เยอะเหลือเกิน แต่ก็คิดว่าเออไปอาบน้ำออกมาแล้วคงดีขึ้นมั้ง
ไม่กี่นาทีต่อมา เราก็เดินออกมาจากห้องพร้อมกับคำถามที่ว่า “เร็วหรือช้า?” เพื่อน ๆ งง อะไรเร็วช้าวะ เพราะไม่ได้คุยอะไรมาก่อนหน้า ไม่มีบริบท อยู่ ๆ ก็ถามออกมาลอย ๆ ว่าเร็วหรือช้า
เพื่อนก็อึกอักไม่กล้าตอบ เพราะกลัวว่าถ้าตอบไม่ถูกใจแล้วเราจะอาละวาดอีก แต่มีเพื่อนคนนึงกลั้นใจตอบออกมาว่า “ก็ปกตินะพี่ ไม่ช้า”
ทันใดนั้นเราตอบกลับไปว่า “แต่เด็กคนนั้นบอกว่าเร็วนะ เขาก็บอกว่าเร็ว”
เพื่อนทั้งสามบอก “เด็กไหนวะ? เขาไหนก่อน? ไม่มีใครนอกเหนือจากเรา 4 คนในบ้านหลังนั้นแล้ว…และไม่มีเด็ก…!!” แต่ก็เออ ๆ คงเมาเลยยังไม่มีใครคิดอะไร ณ เวลานั้น
จากนั้นก็แยกย้ายกันไปนอน เดิมที ฤดี ต้องนอนกับเรา แต่จากอาการของเราก่อนนี้ นางเลยไม่กล้านอนด้วย เพราะกลัวเราจะฆ่านาง (นางดูหนังเยอะ ประกอบกับท่าทีเราน่ากลัวด้วย ณ เวลานั้น) สุดท้ายเลยไปกองกันสามคนอีกห้อง
ขณะที่เราแยกเข้าอีกห้องมาเพียงลำพัง เพื่อนปิดไฟ นอนเล่นมือถือเตรียมตัวจะนอนแล้ว ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงมาจากห้องเราดังโครมคราม เป็นเสียงคนทุบห้องดังมาก แวบแรกเพื่อนคิดว่าเราล้มในห้องหรือเปล่า จะเป็นอะไรไหม? แต่ท้ายที่สุดก็ไม่มีใครกล้าเข้ามาดู ทุกคนกลัวเรามาก
จนกระทั่ง ขจี ออกมาเข้าห้องน้ำที่ห้องรับแขกข้างนอนแล้วเห็นว่าเราลืมมือถือไว้ที่โต๊ะ พวกนางเลยตัดสินใจว่าจะใช้เหตุผลนี้เดินเข้ามาหาเราในห้อง โดยที่จับกลุ่มเดินกันมาค่อย ๆ เปิดประตูเดินเข้ามาในห้องนอนเรา
พอเปิดประตูเข้ามา เพื่อนเห็นเรากำลังนั่งยอง ๆ หันหลังให้อยู่ที่พื้น เหมือนกำลังหยิบของจากกระเป๋าตัวเอง อยู่ ๆ ทันใดนั้นก็เราตะคอกใส่เพื่อนโดยไม่หันไปมองว่า
“จะเอาอะไรจากพี่อีก!”
ทุกคนอึ้ง แต่ ขจี ใจดีสู้เสือตอบว่า “พี่ลืมมือถือไว้ น้องเอามาให้ วางไว้นี่นะ”
เราค่อย ๆ หันคอไปช้า ๆ มองตาขวางแล้วตอบว่า “ครับ” แล้วหันกลับไปรื้อของต่อ จากนั้น ขจี ก็พูดต่อว่า…
“นอนแล้วนะพี่ เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าเราไปเล่นน้ำกัน”
จากนั้นเราก็หันคอไปอย่างช้า ๆ พร้อมตอบว่า “ครับ” แล้วเพื่อน ๆ ก็กลับไปห้องนอนของตัวเอง
ใครที่รู้จักเราจะรู้ว่าเราไม่พูด ครับ ครับ ฮะ อะไรแบบนี้ทั้งสิ้น แต่ทำไมครั้งนี้เราถึงตอบเพื่อนแบบนั้นล่ะ? นี่คือคำถามที่คาใจเพื่อน ๆ หลังจากแยกกลับห้องไป
เมื่อเพื่อน ๆ กลับไปถึงห้องเตรียมจะนอน ระหว่างที่เพื่อน ๆ นอนไถ Tiktok กันอยู่ สักพักได้ยินเสียงดังจากห้องเรา “ครืดดดดดด ครืดดดดดด” เหมือนคนกำลังหยิบของแล้วเล็บขรูดไปกับโต๊ะ…
เพื่อนๆเริ่มใจไม่ดีอีกละ แต่สุดท้ายทุกคนก็กลั้นใจข่มตานอนหลับไปโดยที่ล็อกประตูห้องอย่างแน่นหนา เพราะกลัวเราเข้ามากลางดึก
ภาพตัดมายามเช้าเวลาประมาณ 8 โมงกว่า เรานอนอยู่บนเตียงในห้องคนเดียว โดยที่ไม่คิดอะไรว่าทำไม ฤดี ถึงไปนอนอีกห้อง เพราะว่าก่อนมาพวกเราคุยกันแล้วว่าใครนอนกรนบ้าง ซึ่งมีเราคนเดียวที่ไม่กรน ก็เข้าใจว่า ฤดี คงไม่อยากให้การกรนของนางรบกวนเรา
เราเดินออกจากห้องนอนมาที่สระว่ายน้ำเพื่อถ่ายรูปลงสตอรี่ จากนั้นดูเวลา เฮ้ย!! สายแล้ว ชวนเพื่อนไปกิน Breakfast ที่ห้องอาหารดีกว่า คงหิวกันแล้วมั้ง
เราก็เดินไปถึงหน้าห้องนอนเพื่อน กำลังจะยกมือเคาะประตู ทันใดนั้นเราก็ได้ยินเสียงลูกบิดดังก็อกแก๊ก ๆ จากข้างใน พร้อมเสียงพูดอะไรสักอย่างฟังไม่รู้เรื่องว่าคุยอะไรกัน เราก็เออ สงสัยเพื่อน ๆ ตื่นแล้ววุ้ย แกล้งยืนนิ่ง ๆ เอาหน้าแนบประตูให้ตกใจเล่นดีกว่า ..
สักพักประตูเปิดออกช้า ๆ ทุกคนในห้องนอนผวากับการเจอเราที่หน้าประตูมาก เป็นการตกใจแบบไม่โวยวาย แต่เหมือนใจหล่นวูบไปที่ตาตุ่ม
เราก็งงว่าทำไมต้องตกใจขนาดนั้นอะ ไม่ได้แฮ่! เสียงดังใส่อะไรนี่หน่า จากนั้น ฤดี พูดกับเราว่า “เดี๋ยวพี่มีเรื่องต้องเคลียร์กับฉันนะ” เราก็งง อะไรวะ ไปทำอะไรให้
จากนั้นพวกเราก็ไปกินข้าว ระหว่างกินข้าว ฤดี ก็บ่นแบบอารมณ์เสียออกมาว่า “เมื่อคืนตอนตี 4 ใครคุยกันเสียงดังจนตื่นเลย แต่ฟังไม่รู้เรื่องนะว่าคุยไรกัน แบบเสียงผู้ชายงืมงำ ๆ”
พวกเราที่เหลือตอบว่า “ไม่ได้ยินนะ” แต่ตอนนั้นไม่มีใครคิดอะไร คิดว่า ฤดี หูแว่วไปเอง เสร็จแล้วก็กลับมาเล่นน้ำในสระกันอีกสักพัก จากนั้นก็มีฝนตกลงมา เลยไปทำคอนเทนต์แช่อ่างจากุซซี่ในห้องน้ำแทน แช่กันไปได้สักพักก็เริ่มแบ่งกันไปอาบน้ำเพื่อเตรียมเช็กเอาท์
ขณะที่เราทั้ง 4 คนกำลังเก็บของอยู่นั้น เรากับ ฤดี อยู่ในห้องเดียวกัน ส่วนอีกห้องนอนคือ นิภา กับ ขจี จู่ ๆ นิภา เดินหน้าตาตื่นเข้ามาในห้องนอนเรา ทำหน้าเลิกลั่กแล้วเดินกลับไปห้องตัวเอง
จากนั้นเราก็ได้ยินเสียงพูดว่า “ไม่มีประตู” ต่อจากนั้นไม่ถึงนาที นิภา กับ ขจี ก็เดินเข้ามาในห้องนอนเราอีกรอบแล้วพูดว่า “เห็นมั้ยหนูบอกแล้วว่าไม่มี เจ้ก็ได้ยินใช่มั้ย” เราหันหน้าไปมอง ฤดี แบบงง ๆ ว่าอะไรวะ พวกนั้นเลยบอกว่า “เดี๋ยวค่อยเล่า ออกไปจากที่นี่ก่อน”
ทันทีที่เราเช็กเอาต์แล้วขับรถออกมาจากที่พักเพื่อไปร้านกาแฟ เพื่อนก็เล่าให้ฟังว่า “เมื่อคืนพี่ทำอะไรไว้บ้าง จำได้มั้ย?” เราตอบว่าจำไม่ได้เลย ไม่ได้แม้แต่นิดเดียว ไม่เคยเมาแล้วภาพตัดแบบไม่เหลือความทรงจำขนาดนี้มาก่อน (ก็คือเหตุการณ์เมื่อคืนที่เล่ามาข้างต้นนั่นแหละ)
เราฟังแล้วแบบ จริงเหรอวะ? อำปะเนี่ย? แต่จากสีหน้าเพื่อน ๆ แล้วมันไม่ตลกกันเลย พวกเราทั้งหมดจึงค่อย ๆ ปะติดปะต่อเรื่องราวที่แต่ละคนเจอมา จนกระทั่งย้อนมานึกถึงคำพูดของ ฤดี ที่พูดออกมาตอนเข้ามาเหยียบในตัวบ้านครั้งแรกเลยว่า
“บ้านหลังใหญ่ดีเนอะ นอนได้ตั้งหลายคนแหนะ”
พอมารวมเรื่องราวทั้งหมดแบบนี้ จึงลงความเห็นตรงกันว่า “อืมมมม น่าจะเจอของจริงเข้าแล้วแหละ”
หมายเหตุ: สิ่งที่เล่าต่อจากนี้เป็นคำบอกเล่าจากเพื่อน ๆ เราจำสิ่งที่เกิดขึ้นคืนนั้นไม่ได้แม้แต่นิดเดียว ไม่เหลือความทรงจำกับสิ่งที่ทำไปแม้แต่น้อย อาจเก็บรายละเอียดได้ไม่หมด บรรยายถึงความน่ากลัวได้ไม่ชัดเท่ากับผู้เห็นเหตุการณ์ และอาจผิดเพี้ยนไปบ้างเล็กน้อย เพราะเหตุการณ์นี้ผ่านมากสักพักแล้ว
ปล. เสื้อที่เราใส่คืนนั้นบังเอิญเป็นเสื้อจากหนังร่างทรง เลยทวีความหลอนเข้ากับเหตุการร์ที่เกิดขึ้นไปอีกเท่าตัว และเพื่อน ๆ บอกให้เอาเสื้อตัวนี้ทิ้งไปได้แล้ว
ปล. อีกที: เราไม่เคยเจอเรื่องเหนือธรรมชาติอะไรแบบนี้มาก่อนในชีวิต ครั้งนี้เรียกว่า ทั้งเจอกับตัว และเข้าตัว เป็นครั้งแรก และขอเป็นครั้งสุดท้ายด้วย
ส่งท้าย…เราทั้ง 4 คนยังไม่เลิกคบกันนะ แม้จะเจอเรื่องสยองและเหตุการณ์กาลกิณีหลังออกมาจากที่พักแล้วอีก 2-3 ชอต เฮ้ออออ บ้าบอคอแตก แต่รักเพื่อนกลุ่มนี้มาก บุญแค่ไหนแล้วที่พวกมันไม่ทิ้งฉันไว้กลับบ้านหลังนั้นตามลำพังกลางดึก…