ศาลาผีเฮี้ยน สัปเหร่ออุตริลองคาถาอาคม จนกลายเป็นบทจองจำผีตายโหง

ศาลาผีเฮี้ยน

วัดคือที่อยู่อาศัยของพระสงฆ์องค์เจ้าและที่สถิตของสิ่งศิกดิ์อยู่มากมาย แต่นอกเหนือกระนั้น ก็ยังมีสิ่งลี้ลับที่มองไม่เห็นอย่างภูตผีวิญาณอยู่ในเขตวัดด้วยเช่นกัน ยิ่งป่าช้าสมัยก่อนด้วยแล้ว แหล่งรวมผีตายโหงเลย…วันนี้เราจะพาทุกคนไปอ่านจะเรื่องเล่าสุดสยองจากช่อง “สัมปรายภพ Channel” เรื่องราวจะเป็นอย่างไรจะสยองขนาดไหน เราไปอ่านกันเลยดีกว่า…

ย้อนกลับไปเมื่อ 30 ปีก่อน ถ้าพูดถึงความเฮี้ยนของศาลาการเปรียญ ณ วัดป่าของทางภาคเหนือแห่งนี้ ชาวบ้านต่างร่ำลือเป็นเสียงเดียวกันถึงเรื่องราวชวนขนหัวลุก เพราะนับวันก็ยิ่งทวีความเฮี้ยน ไม่มีลดน้อยถอยลงแต่อย่างใด ความน่ากลัวจากปากของผู้คนที่พบเจอ ทำให้ศาลาการเปรียญแห่งนี้เป็นที่โจษจันทั้งคนในและต่างหมู่บ้าน 

ว่ากันว่ากลางวันแสกๆผีก็ยังไม่เว้นออกมาหลอกหลอน สร้างความหวาดผวาแก่คนที่ขึ้นไปใช้ศาลา วันดีคืนดีก็ออกมาปรากฏกายนั่งกันอยู่เต็มศาลา ท่ามกลางสายตาพระลูกวัดที่กำลังนั่งฉันเพลงกันไปเลยก็มี 

นอกจากนี้กลุ่มวัยรุ่นคึกคะนองกำลังอยากรู้อยากลอง ต่างพากันมาลองดีแล้วก็สมใจอยาก เจอดีกลับไปทั้งน้ำตาแทบทุกคน บางคนถึงขั้นกลายเป็นใบ้พูดไม่ได้ไปตลอดชีวิต บางก็นอนซมจับไข้หัวโกร๋น ผมร่วงหมดหัวจนกู่ไม่กลับ 

แถมพวกหมอผีทั้งหลายที่อยากมาลองคาถาอาคมสยบผีตายโหง หวังจะได้การยอมรับกลับไป แต่สุดท้ายแล้วกลับต้องเผ่นตูดแลบกลับออกไปจากศาลาตามๆกัน 

แม้แต่หลวงตาจันทร์ เจ้าอาวาสของที่วัดแห่งนี้เองก็ยังไม่สามารถหยุดเราสัมภเวสีผีตายโหงให้ออกมาหลอกหลอนชาวบ้านได้เหมือนกัน 

ไม่กี่ปีต่อมาก็ได้มีพระมาบวชใหม่ มีชื่อว่า พระน้อย เมื่อปลงผมบวชเสร็จ เหตุการณ์ก็มาเกิดขึ้นร่วมเข้าวันที่ 2 ของการปฏิบัติตนอยู่ในร่มกาสาวพัสตร์แล้ว พระน้อยไม่ได้ใส่ใจเวลาที่ใครคุยกันถึงเรื่องผีเฮี้ยนที่สิงอยู่บนศาลา ตอนนั้นคิดเพียงว่าเป็นคำพูดกันปากต่อปาก แต่จะหามูลความจริงกันได้กี่เปอร์เซ็นต์เชียว 

ช่วงเวลาตีสี่ พระน้อยได้ขึ้นมายังศาลาการเปรียญ เพื่อนำดอกบัวมาเปลี่ยนถวายใส่แจกันหน้าพระพุทธรูป พอเปลี่ยนดอกบัวเสร็จสรรพ จู่ ๆ พระน้อยก็ได้ยินเสียงปริศนา เสียงดังคล้ายคนคุยกันดังเจี๊ยวจ๊าว แต่พอสอดส่ายสายตามองไปรอบศาลา กลับไม่พบเจ้าของเสียง จึงลุกขึ้นยืนแล้วก้าวเดินต่อไป จนถึงเสากลางศาลา

สักพักเสียงมันก็ดังขึ้นมาอีกระลอก คราวนี้เป็นคำถามจากบุคคลปริศนาถามท่านขึ้นมาว่า 

“ไม่กลัวผีหรอพระใหม่” 

พระน้อยเมื่อได้ยินอย่างนั้นก็ไม่เอาจิตเข้าไปปรุงแต่ง ยังอุตส่าห์ทำใจดีสู้เสือ แต่ไม่นานก็มีเสียงปริศนาถามขึ้นอีกครั้งว่า 

“กลัวพวกฉันไหม”

ท่านจึงได้มั่นใจว่าที่ถามเมื่อครู่นี้ไม่ใช่คนเป็นแน่ พอก้าวเดินต่อไม่ทันเท่าไหร่ เบื้องหน้าของป้าน้อยดันปรากฏเป็นร่างเงาดำมืด  ที่ไม่มีหัว มันมีทั้งหมดสามร่างด้วยกัน ยังไม่ทันได้ตกใจดี ร่างดำไร้หัวก็พากันพุ่งเข้ามาชนพระน้อยอย่างจัง 

แม้เป็นเพียงสัมภเวสีแต่ดวงจิตนั่นแก่กล้า สามารถทำให้คนเป็นๆเซถลาล้มลงไม่เป็นถ้าได้ อาการตอนนั้นไม่สู้ดี พระน้อยล้มลุกคลุกคลาน พอลุกขึ้นยืนได้ ก็รีบกึ่งวิ่งกึ่งเดินเพราะรู้สึกเจ็บที่หัวเข่า 

ขณะวิ่งลงจากศาลา สายตาของพระน้อยได้มองไปตรงที่พักบันได ก็เจอกับหลวงพ่อรูปหนึ่ง หน้าไม่คุ้นเพราะไม่เคยเห็นท่านมาก่อน แม้แต่ในวันที่ตนปลงผมบวชก็ไม่เคยเห็นหน้า แต่ยังไงก็ช่าง ตอนนั้นพ่อน้อยรีบฟ้องหลวงพ่อทันที 

“ช่วยผมด้วยครับหลวงพ่อ ผีหัวขาดมันวิ่งชนผม”

หลวงพ่อท่านนั้นได้ฟังก็ตอบกลับว่า 

“ไม่ต้องกลัวไปหรอกพระ ตามหลวงพ่อมา” 

พระน้อยได้ฟังอย่างนั้นก็รู้สึกใจชื้นขึ้นมา เพราะมีหลวงพ่ออยู่ด้วย จึงรีบวิ่งลงไปยืนอยู่ข้าง ๆ ตัวท่าน แต่แทนที่หลวงพ่อรูปนี้จะนำทางพระน้อยเดินลงจากศาลา กลับเดินขึ้นไปบนศาลาเอาที่ดื้อ 

ตอนนั้นพระน้อยเองก็แปลกใจ แต่ก็ค่อยๆย่องตามหลวงพ่อขึ้นไป นั่นท่านคิดจะไปทำอะไร จะไปเจรจากับผีก็คงไม่ใช่ กระทั่งหลวงพ่อได้เดินไปถึงร่างผีไม่มีหัวทั้งสามตนนั้น วินาทีนั้นพระน้อยได้ยินเสียงสนทนากันเกิดขึ้น แต่จับใจความไม่ได้ว่าพูดอะไรกันบ้าง 

พระน้อยทั้งกลัวและสงสัย นี่หลวงพ่อยืนคุยอะไรกับผีสาง จะเทพเกินไปหรือเปล่า สักพักก็มีเสียงกระซิบที่ข้างหูทั้งสองข้างของพระน้อย กระซิบให้ฟังว่า 

“ก็เป็นผีกันทั้งหมดนี่แหละ”

พอได้ยินอย่างนั้นหัวใจพระน้อยถึงกับลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม จู่ๆหลวงพ่อก็หันหน้ากลับมา แล้วท่านก็วิ่งตรงมาทางพระน้อย จนแทบจะชนตัว ตอนนั้นพระน้อยตกใจกลัวจนแทบขาดสติ แต่ทว่าหลวงพ่อท่านนั้นไม่ได้วิ่งมาชนพระน้อยอย่างที่ผีไร้หัวสามตนนั้นทำ แต่วิ่งมาเพื่อกระโดดลงจากศาลา 

หลวงพ่อกระโดดลงจากศาลาต่อหน้าต่อตาของพระน้อย เสียงหล่นลงไปเบื้องล่างดัง ตุบ!! ด้วยความตกใจ พระน้อยจึงรีบวิ่งลงไปดูท่าน ปรากฏว่าไม่มีแม้แต่เงาของหลวงพ่อ จึงรู้ด้วยสัญชาตญาณ ว่าท่านเป็นพวกเดียวกับผีพวกนั้นแน่นอน 

ตอนนั้นพระน้อยไม่คอยสำรวมกายวาจาใจ รู้แค่ว่าต้องเอาตัวรอดออกจากศาลาผีเฮี้ยนนี่โดยเร็วที่สุด จึงตัดสินใจวิ่งฝ่าความมืดกลับไปที่กุฏิภายในวัด เผื่อเคาะประตูเรียกหลวงตาจันทร์ที่นั่งสมาธิอยู่ในกุฏิ 

ตอนนั้นพระน้อยน้ำหูน้ำตาไหลท่วมหน้า รีบเล่าทุกอย่างให้ฟังหลวงตาจันทร์ในทันที พอเล่าจบหลวงตาก็ก็บอกพระน้อยว่าให้เข้ามานั่งสงบสติอยู่ในกุฏิของท่านก่อน แล้วท่านจะเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง

หลวงตาจันทร์เล่าให้พระน้อยฟังว่า ที่เห็นนั่นไม่ใช่พระจริง เขาผู้นั้นแค่ใช้ผ้าเหลืองมาห่มกาย ไม่ใช่พระอย่างที่เข้าใจ นั่นคงเป็นอดีตสัปเหร่อที่ชื่อว่า โยมหมาย คนแถวนี้เรียกว่าตาหมาย  แกตายอยู่ที่หน้าศาลาการเปรียญ  

ตั้งแต่ตาหมายไปยังไม่เคยมีใครได้พบเจอ พระน้อยเป็นคนแรกที่เห็นผีตาหมายนะ ส่วนต้นตอของความเฮี้ยนของทุกวันนี้ มันเกิดจากใครทำอะไรไว้ ก็คงต้องย้อนกลับไปที่ 2 คนนี้ 

ย้อนกลับไปเมื่อ 2 ปีก่อน ก่อนที่จะมีผีตายโหงเข้าไปสิงอยู่ในศาลาการเปรียญกันมากมาย ตาแสงแกซึ่งเป็นคนดูแลวัดสนิทกันกับตาหมาย ซึ่งเป็นสัปเหร่อของวัด กินนอนด้วยกัน ถึงแม้อายุจะห่างกันเป็นรอบ แต่ตาแสงก็เป็นเหมือนเพื่อนซี้คนเดียวของตาหมาย แถมทั้งสองคนจะชอบพากันไปที่ป่าช้าท้ายหมู่บ้าน ไปหาเหรียญจากปากผีมาเข้ากระเป๋าตัวเอง หลวงตาจันทร์เคยห้ามปรามแต่ไร้ผล ที่ทำผิดมาตลอดเช่นนั้นได้ คงเพราะไม่เคยเจอเจ้าของเหรียญมาตามทวงคืน

เห็นแบบนี้ไม่ธรรมดานะ เพราะสัปเหร่อตาหมาย เคยร่ำเรียนคาถาปลุกผีมาเหมือนกัน แต่แกไม่เคยใช้มันสักครั้ง เพราะถือว่าตนเองเป็นคนทำศพ จะให้ปลุกศพขึ้นมาก็คงไม่ถูกนัก 

แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุผลกลใด คืนเกิดเรื่อง สองคนนี้ไปอุตริลองคาถาอาคม ไอ้คาถาที่ว่ามันเป็นการสวดบทปลุกผีขึ้นมาและสวดต่ออีกเป็นร้อยจบ จนกลายเป็นบทจองจำผีตายโหงไว้นะสถานที่นั้นๆ 

ตามหมายเลือกทำพิธีกรรมในคืนวันพระจันทร์สีเลือด อย่างที่รู้กันตามคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ คืนดวงจันทร์มีสีแดงเหมือนเลือดเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก กว่าจะโคจรมาถึงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ จึงถูกเชื่อมโยงเข้ากับไสยศาสตร์ ว่าถ้าใครทำพิธีกรรมวันนี้จะขังนักแล 

ทั้งคู่พากันนำข้าวของเครื่องรางต่างๆ ที่เก็บสะสมไว้ขนขึ้นไปบนศาลาการเปรียญ เหตุที่เรียกใช้ศาลาเป็นที่ประกอบพิธี เพราะมั่นใจว่าจะไม่มีใครในวัดสงสัย เนื่องจากทั้งสองคนก็ขึ้นๆลงๆ ศาลาแห่งนี้เป็นประจำอยู่แล้ว

อีกหนึ่งอุตริ คืนนั้นตาหมายแกนึกยังไงไม่รู้ ไปเอาผ้าเหลืองมาห่มกาย ประหนึ่งว่าตนเป็นพระสงฆ์องค์เจ้าไปแล้ว 

พอล่วงเข้าเวลาเที่ยงคืน ตาหมายได้ทำการไล่คาถาปลุกผีจนจบบท ก็สวดป้องกันผีตายโหงต่อทันที สิ่งที่วัดป่าแห่งนี้ คงไม่ต้องบอกว่า มีศพผีตายโหงเกลื่อนวัดป่าแห่งนี้มากแค่ไหน 

“จะดีหรือตาหมาย วันนี้ฉันรู้สึกไม่สบายใจยังไงชอบกล เปลี่ยนไปลองวันพรุ่งนี้ดีไหม” ลุงแสงเริ่มกลัว

“เฮ้ย มาถึงขั้นนี้แล้ว จะจบพิธีแล้ว ต่อให้เอ็งกลัวยังไงก็ไม่ทันแล้วล่ะ เหอะ ๆ” 

ตาหมายไม่ยอมหยุดร่ายคาถา ในขณะเดียวกัน ตาแสงเองก็เริ่มปากคอสั่นเทาเพราะความหวาดกลัว ตอนนั้นตาหมายยังสวดไม่จบพิธีกรรมดี ตาแสงแกก็เริ่มมีท่าทีแปลกไป มือเท้าเริ่มหงิกเกร็ง 

“เป็นอะไรไปไอ้แสง” ตามหมายตะคอกถาม พร้อมกับมองไปตามสายตาของตาแสง ปรากฏว่า ตาหมายเห็นวิญญาณของผีตายโหงนับร้อย กำลังเดินขึ้นมาบนศาลาแบบตามกันมา ราวกำลังต่อแถวมาทำอะไร 

เมื่อได้เห็นอย่างนั้น ตาหมายที่ดูทรงเป็นคนใจกล้า แต่พอมาอยู่ในสถานการณ์จริงก็ถึงกับสติหลุด ควบคุมตัวเองไม่ได้เท่าตาแสงด้วยซ้ำ 

จู่ ๆ ตาหมายก็ยืนขึ้นแล้ววิ่งกระโจนลงจากศาลา ร่างของแกตกลงไปกระแทกกับพื้นเบื้องล่างคอหักตายคาผ้าเหลือง แขนหักขาหักงอไปคนละทิศคนละทาง 

ลุงแสงรีบวิ่งลงไปดู ตอนนั้นแกเองก็แทบช็อค เรียกร้องตะโกนลั่นวัด จนพระท่านต้องตามกันมาดู แล้วก็พบว่า ตาหมายสัปเหร่อคนเก่าคนแก่ของวัดได้สิ้นใจตายไปเสียแล้ว 

หลังจากนั้น ตาแสงนี่แหละที่เป็นคนเอาเรื่องนี้มาสารภาพให้กับหลวงตาจันทร์ และบรรดาพระลูกวัดฟัง แต่ชาวบ้านยังไม่รู้ถึงสาเหตุที่แท้จริง ว่าเหตุใดทำไมผีตายโหงถึงออกอาละวาดหลังจากที่ตาหมายตาย 

“ในเมื่อทำเช่นนี้ไปแล้ว ก็ยากที่จะแก้ไข” 

หลวงตาจันทร์บอกว่า พิธีกรรมที่ตาหมายทำนั้น ก่อให้ศาลาการเปรียญ กลายเป็นที่สิงสถิตของผีตายโหง และยากที่จะหยุดพวกมันได้ เพราะไม่ใช่แค่ตนเดียว แต่เท่าที่หลวงตาจันทร์สัมผัสได้ มากกว่าร้อยดวงวิญญาณแน่นอน 

พอตาแสงได้ฟังคำหลวงตา แกก็ก้มกราบ ขอให้ยกโทษให้ และบอกว่าตนทำตามตาหมายที่จะมาชักชวนว่าอยากลองของก็เท่านั้น 

“ปลุกผีก็ว่าหนักแล้วนะโยมแสง แต่พิธีกรรมนี้ไม่ใช่แค่ปลุก แต่เป็นการจองจำให้พวกเขาต้องอยู่ ณ ที่ศาลาการเปรียญนี้ไปด้วย” 

หลังจากตสหมายตายไป ไม่กี่วันถัดมา ตาแสงก็ได้เข้ามาลาหลวงตาจันทร์ ขอย้ายกลับไปอยู่อีสานกับญาติของแก และในขณะที่กำลังหอบกระเป๋าของออกจากวัด แกได้เดินผ่านศาลาการเปรียญด้วย ตอนนั้นยังเป็นเวลากลางวันแสกๆ ตาแสงพบเห็นวัยรุ่นชายหญิงกลุ่มหนึ่ง เดินจับมือถือแขนเดินขึ้นไปบนศาลาการเปรียญเป็นคู่ ๆ 

ตาแสงสังเกตว่า คนกลุ่มนี้เป็นคนกลุ่มเดิมกับวันวาน ที่ตนพบเห็น ทำให้แกรู้สึกว่ามันชักจะไปกันใหญ่ กลัวว่าจะนัดแนะกันขึ้นไปทำอะไรไม่ดีไม่งามบนศาลา แกจึงเดินตามขึ้นไปเพื่อตักเตือน แต่ก็ต้องผงะ เมื่อพบว่ามีพระลูกวัดถึง 2 รูป วิ่งผ้าเหลืองกระเจิงลงมาจากศาลา สวนทางกับแกเข้าพอดี 

“หนีอะไรมาขอรับพระท่าน” 

“ผะ ๆ ผี ผีมาเป็นกลุ่มเลย ลงมาโยมแสง อย่าขึ้นไป” 

ด้วยความอยากรู้ ตาแสงจึงขอขึ้นไปดูเพื่อให้เห็นกับตา เพราะไม่เชื่อว่าพี่จะมากดตัวในเวลากลางวันแสกๆได้ 

ตาแสงย่ามก้าวขึ้นไปบนศาลาต่อ สอดส่องสายตา ก็พบเห็นหนุ่มสาวที่ตนตั้งใจขึ้นมาตักเตือน พวกเขามีกันทั้งหมด 6 คน แต่งกายด้วยเสื้อผ้าหลากสี กำลังนั่งอยู่ในท่าขัดสมาธิ แต่ดูสงบไม่เหมือนที่เห็นเมื่อครู่ 

ตาแสงเห็นแค่เพียงด้านหลังยังไม่ทันเห็นหน้า จึงเอ่ยถามออกไปว่ามาทำอะไรกัน แต่ไร้เสียงตอบกลับ จึงเริ่มถามออกไปอีกครั้ง หนุ่มสาวจึงหัวเราะกระซิบกันไปมา นั่นยิ่งทำให้ตาแสงไม่พอใจ จึงเดินไปหยุดอยู่ตรงเบื้องหน้าของทั้ง 6 คน เพื่อจะตักเตือน และนั่นก็เป็นเหมือนวินาทีชีวิตของตาแสง ที่น่าจะเชื่อคำของพระลูกวัดที่ตักเตือนก่อนหน้านี้ 

ตาแสงตกใจรีบวิ่งลงศาลา ในขณะเดียวกันลุงแสงก็เจอกับชาวบ้านที่เข้ามาทำบุญ พอชาวบ้านได้ยินลุงแสงโวยวาย ต่างพากันขึ้นไปดูบนศาลาเพราะอยากรู้ว่าแกกลัวอะไร 

ไม่นานชาวบ้านก็ต่างพากันวิ่งลงมาจากศาลา สภาพกระเจิดกระเจิงไม่ต่างกัน จากนั้นก็ไปเล่าให้กันฟังว่า บนศาลามีผีมาหลอกหลอน บางก็ว่าเดินหิ้วหัวมาต้อนรับ บ้างก็ว่าเจอเป็นผ้าขาวห่อศพ กระโดดเหยงๆ บอกว่าไม่เอาส่วนบุญ 

ส่วนตาแสงได้เล่าให้ฟังว่า ตอนที่ตนเดินเข้าไปจะตักเตือนหนุ่มสาวกลุ่มนั้น แต่แค่เห็นหน้าก็รู้ได้ทันทีว่าไม่ใช่คน เพราะแต่ละคนนั้นมีดวงตาลึกกรวงโบ๋ มีเลือดสดๆไหลออกมาจากเบ้าตา น่าสยดสยองมาก 

เมื่อพระน้อยได้ฟังหลวงตาจันทร์ท่านเล่า ก็ได้รู้ถึงต้นสายปลายเหตุ จึงได้ตั้งใจว่า ตลอดระยะเวลาที่บวชอยู่วัดแห่งนี้ จะไม่ขอขึ้นไปทำกิจอันใดเพียงลำพังคนเดียวแน่นอน เพราะเข็ดขยาดกับผีหัวขาด ผีสัปเหร่อตาหมาย ที่ออกมาหลอก แม้กระทั่งพระสงฆ์ พวกเขาก็ยังไม่เว้นเลย 

จากเหตุการณ์ความเฮี้ยนนี้ ทำให้หลวงตาจันทร์และชาวบ้านต่างหาวิธีหยุดผีเฮี้ยน แต่ไม่ว่าทางใดก็ไร้ผลสำเร็จ เพราะหลังจากที่พระน้อยสึกออกมา ก็ยังมีเหตุการณ์และหลอน ๆ เกิดขึ้นเรื่อยๆ ทำให้สุดท้ายแล้วศาลาการเปรียญแห่งนี้ ก็ต้องปิดไม่ให้ขึ้นไปใช้งานกันอีก 

ชาวบ้านที่มาทำบุญต่างก็ไม่กล้าขึ้นไปฟังเทศน์ฟังธรรม  ต้องขอถวายข้าวของทำบุญกันที่โรงทานของวัดแทน แม้กระทั่งพระสงฆ์เองยังเลี่ยงที่จะใช้พื้นที่นี้ 

สุดท้ายการปิดตายศาลาก็คือทางออกเพียงทางเดียว และไม่ว่าเวลาจะผ่านมานานนับ 30 ปี ทุกวันนี้ศาลาการเปรียญของวัดแห่งนี้ก็ยังคงอยู่ แม้จะมีสภาพทรุดโทรมไปตามกาลเวลา แต่ก็ไม่มีใครกล้าที่จะทุบทิ้ง หรือทำการปรับปรุง เพราะต่างก็กลัวอาถรรพ์ของผีตายโหง 

ขอขอบคุณเรื่องเล่าจากช่อง Youtube สัมปรายภพ Channel เรื่อง ศาลาการเปรียญ ผีตายโหง คุณแอร์

บทความนี้ถูกเรียบเรียงจาก Youtube ห้ามนำไปทำซ้ำ หรือคัดลอกเนื้อหาไปลงที่อื่นใด

Previous articleตบปากผี ลูกเอ๊ย ใครทำมึง ก็บอกกูมา ให้มึงมือบอนปากบอนมาบอกกู
Next articleป๊อบ ปองกุล เจอผีข้างทางต่างช่วงเวลา ถนนเส้นหนองจอก