วันนี้ขอพาทุกคนไปย้อนรอยคดีระทึกขวัญที่โหดเหี้ยมสุดอีกคดีในช่วงเวลานั้น ส่วนคดีนี้เรื่องราวและบทสรุปจะเป็นอย่างไรนั้น ขอเชิญผู้อ่านทุกท่านร่วมย้อนคดีไปพร้อมๆเลยครับ
เธอผู้นี้คือใคร ??
เธอมาจากไหน ??
เหตุใดเธอจึงถูกฆาตกรรมเหี้ยมโหดเช่นนี้ ??
ในวันอาทิตย์ ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2557 เกิดคดีฆาตกรรมสะเทือนขวัญ อำเภอสำโรงเหนือ จังหวัดสมุทรปราการ สถานีตำรวจภูธรสำโรงเหนือได้รับแจ้งจากมอเตอร์ไซค์รับจ้าง พบชิ้นส่วนมนุษย์ถูกทิ้งเกลื่อนกลาด กระจัดกระจายไปทั่วบริเวณนั้น ตำรวจจึงระดมพลพร้อมกับชาวบ้านในพื้นที่ ช่วยกันตามหาชิ้นส่วนอวัยวะที่เหลือ
ตำรวจพบชิ้นส่วน 7 ชิ้น คือ ชิ้นส่วนแขนซ้ายและขวาถูกตัดตั้งแต่ข้อศอกลงมา ที่มือของชิ้นส่วนนั้นไว้เล็บยาวทาเล็บสีแดง ต้นขาขวามีเศษเนื้อติดกระดูก ชิ้นเนื้อแผ่นหลังด้านบน ต้นแขนซ้ายและขวาตั้งแต่ไหล่จนถึงข้อศอก และสุดท้ายชิ้นเนื้อหน้าอกฝั่งขวาโดยถูกผ่าออกเป็นทางแนวตั้ง หากแต่ไม่พบชิ้นส่วนสำคัญ คือ ศีรษะ ทำให้การสืบสวนคดีของเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นไปด้วยความยากลำบาก
แต่แล้ว…เหมือนดั่งปาฏิหาริย์จู่ ๆ ก็มีศีรษะปริศนาลอยมาติดฝั่ง ในพื้นที่ ตำบลสำโรงใต้ สภาพศีรษะโล้นเกลี้ยง ไม่มีเส้นผม และมีรอยสักที่คิ้ว ลักษณะศีรษะถูกตีด้วยของแข็ง
ด้วยสภาพที่จะเน่าแล้ว ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจมองไม่เห็นโครงหน้าที่ชัดเจนมากนัก ทางด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ยังไม่สามารถทราบได้ว่า เธอผู้นี้เป็นใครและมาจากไหน
เจ้าหน้าที่ตำรวจเริ่มสืบสวนและค้นหาเบาะแส โดยการประสานงานกับพื้นที่ใกล้เคียงโดยรอบ ว่า พื้นที่ใดมีการแจ้งคนหายหรือไม่
เหมือนมีอะไรดลใจ !! สวรรค์เข้าข้างเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกครั้ง จากการตรวจสอบพบว่าพื้นที่ใกล้เคียงมีการแจ้งคนหาย โดยให้ข้อมูลว่า มีเพื่อนสนิทของหญิงสาวรายหนึ่ง เข้าแจ้งความว่าเพื่อนของเธอหายตัวไป และได้ลงบันทึกประจำวันก่อนหน้านี้ 2-3 วัน
เจ้าหน้าที่ตำรวจเชิญเพื่อนสนิทของผู้ตายเพื่อมาพิสูจน์ว่าใช่ศพเพื่อนของเธอจริงหรือไม่ ครั้งแรกที่เพื่อนสนิทของผู้ตายเห็นสภาพศพ เธอจำได้ทันที ว่านี่คือเพื่อนของเธอที่หายตัวไปจริง ๆเพื่อนสนิทของผู้ตายให้ข้อมูลว่า จำรอยสักที่คิ้วของเธอได้ และไม่ผิดตัวแน่ ๆ
เพื่อความถูกต้องเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงทำการพิสูจน์อีกครั้งโดยการ พิมพ์รอยนิ้วมือจากศพไปเทียบเคียงกับรอยนิ้วมือของผู้ตายเมื่อตอนที่ทำบัตรประชาชน ผลการพิสูจน์ออกมาตรงกับที่เพื่อนสนิทผู้ตายให้การไว้ ผู้ตายคือ “นางสมยศ” หรือ “กด” อายุ 43 ปี เป็นชาวศรีสะเกษ มาทำงานเป็นแม่ครัวร้านอาหาร ย่านนวมินทร์
จากคำให้การของเพื่อนสนิทของนางสมยศกล่าวว่า ได้พูดคุยทางโทรศัพท์กับนางสมยศว่าจะไปไหว้พระกันที่พระโขนง จึงนัดหมายเวลากันเรียบร้อย โดยนางสมยศ บอกว่า กำลังนั่งรถเมล์เพื่อไปหานายแอ้ม เดี๋ยวจะติดต่อกลับไปอีกครั้ง
เมื่อใกล้ถึงเวลานัดกัน เพื่อนสนิทของนางสมยศจึงโทรหานางสมยศอีกครั้ง แต่เมื่อเธอโทรกลับไปก็ไม่สามารถติดต่อนางสมยศได้อีกแล้ว . . .
นางสมยศหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย และไม่มีใครสามารถติดต่อเธอได้อีกเลย เพื่อนสนิทของนางสมยศถึงเข้าแจ้งความกับสถานีตำรวจนครบาลบางนาทันที
แต่แล้ว กล้องวงจรปิดก็บันทึกภาพชายผู้ต้องสงสัยได้ เป็นชายหนุ่มเข็นรถขายปลาหมึกที่กำลังเข็นรถอย่างเร่งรีบ ภายใต้รถเข็นมีกล่องโฟมขนาดใหญ่ ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเริ่มตั้งข้อสังเกตมากขึ้น และเริ่มคลี่คลายคดี
เจ้าหน้าที่ตำรวจเริ่มสัมผัสได้ถึงกลิ่นแห่งความไม่ชอบมาพากล จึงนำกองกำลังพิสูจน์หลักฐานและเจ้าหน้าที่อีกส่วนหนึ่งบุกไปยัง อพาร์ทเม้นท์แห่งหนึ่ง ย่านบางนา ซึ่งเป็นที่พักอาศัยของ “นายแอ้ม” เจ้าหน้าที่ตำรวจคาดการณ์ ว่า . . เขานี่แหละ คือ ฆาตกร!!
แต่ . . . ผิดคาด เมื่อเปิดประตูเข้าไปไร้วี่แววของนายแอ้ม ข้าวของภายในห้องอยู่ในสภาพปกติ ถูกจัดเก็บเรียบร้อยราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจปักใจเชื่อว่า ห้องนี้ คือ ห้องที่ผู้ตายถูกฆาตกรรม และถูกชำแหละ
จากการเข้าตรวจค้นพบคราบเลือดกระเซ็นติดอยู่ทางเข้าห้องน้ำ เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานใช้น้ำยาเคมีราดลงไปตรงจุดเกิดเหตุ ก็ปรากฎเป็นคราบเลือดของมนุษย์
ในส่วนด้านล่างของอพาร์ทเม้นท์ เป็นจุดรวมทิ้งขยะพบถุงพลาสติกบรรจุเส้นผมยาวอยู่ภายในนั้น และ ไดอารี่หนึ่งเล่ม
จากการตรวจสอบไดอารี่เล่มนั้น เป็นไดอารี่เขียนแนวตัดพ้อต่อว่า น้อยเนื้อต่ำใจ ระบายความในใจระหว่างนายแอ้มกับนางสมยศ และจากไดอารี่นี้เอง ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจค้นพบกับหลักฐานอะไรบางอย่าง ที่น่าขนลุกและน่าตกใจ
เจ้าหน้าที่ตำรวจค้นพบรูปภาพ เป็นรูปวาดคนโดยในรูปเป็นอวัยวะของมนุษย์ถูกแยกชิ้นส่วนออกจากกัน ซึ่งคาดการณ์ว่า นายแอ้มมีการวางแผนก่อเหตุก่อนลงมือจริง จากการตรวจสอบของลายนิ้วมือ และ หลักฐานต่าง ๆ พบว่า นายแอ้มก่อเหตุเพียงคนเดียว
4 วัน ให้หลังการบุกค้น ตำรวจสันนิษฐานจากหน้าที่การงานของนายแอ้ม ก่อนที่นายแอ้มจะมาค้าขายปลาหมึกย่าง นายแอ้มเคยเป็นพ่อครัวร้านอาหารมาก่อน จึงคาดการณ์ไว้ว่า เขาคงต้องกลับไปทำอาชีพเดิมอีก
และไม่ผิดจากที่เจ้าหน้าที่ตำรวจคาดการณ์ไว้เจ้าหน้าที่ตำรวจก็สามารถจับกุมนายแอ้มได้ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ย่านบางขุนเทียนได้
ขณะที่ตำรวจเข้าจับกุมนายแอ้ม ตำรวจถามนายแอ้มว่า “รู้ใช่ไหมว่ามาทำไม ?” นายแอ้มตอบกลับทันทีอย่างใจเย็นและไม่คิดหนี “ทราบครับ ผมยอมรับ”
จากคำรับสารภาพของนายแอ้ม จึงสรุปเรียบเรียงเหตุการณ์ได้ ดังนี้
เช้าวันอาทิตย์ 7 ธันวาคม พ.ศ.2557 นางสมยศเดินทางออกจากที่พักย่านประดิษฐ์มนูธรรมเพื่อเดินทางมาพบนายแอ้ม หลังจากทั้งสองพบกัน ก็มีปากเสียงกันอย่างหนัก ทำให้นายแอ้มเผลอทำร้ายร่างกายนางสมยศจนเธอสลบไป เขาปล่อยให้เธอนอนแล้วตนเองออกไปขายปลาหมึกย่างตามปกติ
หลังจากเขากลับมา ก็พบว่า นางสมยศไม่มีลมหายใจแล้ว นายแอ้มจึงตัดสินใจ ชำแหละร่างที่ไร้ลมหายใจของนางสมยศ แล้วนำชิ้นส่วนต่าง ๆ ที่ตนเองชำแหละ นำใส่กล่องโฟมออกไปโยนทิ้งตามพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อปกปิดคดี
ขณะที่นายแอ้มทําแผนประกอบคํารับสารภาพ เขาร้องไห้ออกมาอยู่ตลอดเวลาที่ทำแผน พร้อมเล่าทั้งน้ำตาว่า …
ย้อนไปเมื่อ 6 เดือนก่อน นายแอ้มและนางสมยศตัดสินใจแยกทางกัน แต่ยังคงเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน มีไปเที่ยวด้วยกันบ้าง เป็นบางครั้ง ทั้ง ๆ ที่ ต่างฝ่ายก็รู้ดีว่า ทั้งสองได้มีคนรักใหม่แล้ว
ก่อนเกิดเหตุ นายแอ้มได้โทรหานางสมยศเพื่อขอเอกสารและสมุดบัญชีคืน แต่ถูกนางสมยศปฏิเสธ โดยเธอบอกว่าต้องขออนุญาติแฟนใหม่เธอก่อน พร้อมทั้งกดโทรศัพท์หาแฟนใหม่ พูดจาเยาะเย้ยนายแอ้ม ทั้ง ๆ ที่เขานั่งอยู่ต่อหน้าเธอ
ทั้งแรงแค้นและแรงหึงหวงของนายแอ้มจึงเกิดบันดาลโทสะทำร่างกายเธอ ก่อนที่เธอจะสลบไป
ผลการตรวจสอบ นายแอ้มไม่มีอาการทางจิต ไม่ได้เสพยา และไม่ใช่พฤติกรรมเลียนแบบ แต่เกิดจากความแค้นรุนแรงที่เขาถูกบอกเลิก
จากประวัตินายแอ้มเป็นเด็กกำพร้า เขาถูกครอบครัวนำตัวมาฝากไว้กับพระที่วัด จ.หนองคาย ตั้งแต่เด็ก ทำให้ไม่สามารถตรวจสอบประวัติเขาได้ สาเหตุเพราะพระที่เลี้ยงนายแอ้มมา ไม่ได้แจ้งเกิดเอาไว้แต่แรก
ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจพบคดีลักทรัพย์ 2 ครั้ง ในเขตหลักสอง และ บางบอน และเพิ่งพ้นโทษออกมาได้เพียง 3 ปีเท่านั้น เขาก็ก่อคดีสะเทือนขวัญฆ่าหั่นศพแฟนเก่าอีก
ทั้งหมดนี้คือชนวนเหตุแห่งการเกิดโศกนาฏกรรม แรงแค้น แรงหึงหวง ที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น เป็นอย่างไรกันบ้างคะกับคดีนี้ ทุก ๆ ท่านสามารถร่วมกันพูดคุยเพื่อแลก้ปลี่ยนความคิดเห็นกันได้เลยนะคะ
Cr.mcot , sanook , ข่าวดังข้ามเวลา , ผู้จัดการ
เรียบเรียง : Red Diary