ข้าพเจ้าจะขอเล่าเหตุการณ์อีกเรื่องหนึ่งที่เคยโดนผีหลอกตอนกลางวัน เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2546 ข้าพเจ้าและญาติพี่น้องประมาณ 20 คนได้ไปเที่ยวที่หมู่บ้านแหลมนาว จังหวัดระนอง ซึ่งเป็นหมู่บ้านชาวประมง ห่างไกลความเจริญไม่มีไฟฟ้าและน้ำประปาใช้
ลักษณะพื้นที่ของหมู่บ้านจะอาศัยปลูกบ้านกันอยู่ริมทะเล มองไปคล้ายกับหมู่บ้านที่เกาะปันหยี ของจังหวัดพังงา โดยบนฝั่งไม่มีพื้นราบ จะมีภูเขาสูงเป็นกำแพงกันคลื่นกันลมที่จะพัดมาจากทะเลอันดามัน การเดินทางไปได้ทางเดียวคือเช่าเรือนั่งไปประมาณ 45 นาที เมื่อไปถึงเราก็นอนพักค้างคืนที่นั่น
ชาวบ้านเล่าว่า คนในหมู่บ้านแหลมนาวและหมู่บ้านใกล้เคียงในจังหวัดระนอง ทั้งที่นับถือศาสนาอิสลามและศาสานาพุทธให้ความเคารพกับบุคคลหนึ่งที่เสียชีวิตไปแล้วเมื่อประมาณ เกือบ 100 ปีก่อน บุคคลนั้นก็คือ “โต๊ะกีเสม”
ศพของท่านได้ถูกฝังไว้ที่เกาะ ร้างกลางทะเล ชาวบ้านเรียกว่า “เกาะโต๊ะกีเสม” ที่เกาะนั้นชาวบ้านได้ช่วยกันสร้างมัสยิดไว้หนึ่งหลังข้างสุสานของท่านนั่นเอง
ที่เกาะแห่งนี้ไม่มีผู้คนอาศัยอยู่ ชาวบ้านมักจะไปเยี่ยมเยือนหลุมศพของท่าน และไปละหมาดที่มัสยิดบนเกาะนี้ ข้าพเจ้าและคณะจึงตกลงกันว่าในวันรุ่งขึ้นจะไปเยี่ยมเยือนสุสานของท่าน
พอรุ่งเช้าเวลาประมาณ 10 นาฬิกา ชาวบ้านก็พาพวกเราลงเรือหางยาวสองลำไม่มีหลังคา มุ่งตรงไปยังเกาะโต๊ะกีเสม ข้าพเจ้าและญาติๆที่ไป มีวัยอ่อนกว่าก็รีบกระโดดลงเรือลำใหญ่ จุคนได้ 10 กว่าคน ใช้เครื่องยนต์ที่แรงกว่าและเร็วกว่า ออกเรือล่วงหน้าไปก่อน ทิ้งให้ญาติที่มีอายุมากกว่าไปเรือลำเล็กเครื่องยนต์ก็ไม่ดีวิ่งไม่เร็ว
คนภายในเรือของข้าพเจ้าก็พูดดูถูกเรือลำเล็กว่า “สงสารคนแก่ที่อยู่เรือลำเล็ก กว่าจะไปถึงก็คงจะตากแดดหัวแดงกันหมด” และพวกเราก็หัวเราะกันสนุกสนาน
เรือของข้าพเจ้าได้วิ่งไปตามเส้นทางในป่าโกงกาง วิ่งไปประมาณ 40 นาที พวกเราก็เริ่มเห็นภูเขาลูกใหญ่ยืน ตระหง่าน บนเกาะ “โต๊ะกีเสน” ทันใดนั้น พี่สาวของข้าพเจ้าก็ตะโกนบอกข้าพเจ้าที่นั่งอยู่ท้ายเรือว่า
“เมื่อข้าพเจ้าไปถึง ให้ลองถ่ายรูปเกาะโต๊ะกีเสน เห็นชาวบ้านคุยว่าที่เกาะนี้ถ่ายรูปไม่ติดถ้าไม่ขออนุญาตจากโต๊ะกีเสน”
ความรู้สึกในเวลานั้น ข้าพเจ้ารู้สึกว่าพี่สาวข้าพเจ้าได้พูดท้าทาย แต่ข้าพเจ้าก็ไม่พูดว่าอะไร ทันใดนั้นเองภูเขาที่เราเห็นอยู่ข้างหน้าก็หายไป และเรือที่พาเราไปนั้นก็หลงหาทางออกจากป่าโกงกางไม่ได้
ชาวบ้านที่ขับเรือพาไปก็งงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะเขาเป็นคนพื้นที่ขับเรือมาตั้งแต่เด็กๆจนกระทั่งเติบโตเป็นผู้ใหญ่ รู้เส้นทางนี้เป็นอย่างดี
แรกๆพวกเราก็หัวเราะสนุกสนานกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่เมื่อเวลาผ่านไป 1- 2 ชั่วโมง ก็ยังหาทางออกไม่ได้ ขับเรือวนตากแดดจนทุกคนเริ่มวิตกกังวลเพราะมองไปรอบตัวไม่เห็นเกาะมีแต่ป่าโกงกาง ไม่เห็นภูเขาเลย มองไปเหนือยอดไม้ก็มีแต่ท้องฟ้าและแสงแดด ต้นไม้ก็เป็นต้นโกงกางซึ่งเป็นต้นไม้เตี้ยๆไม่สามารถให้ร่มเงาได้เลย
จนในที่สุดชาวบ้านผู้หญิงคนหนึ่งที่มีอายุมากแล้ว ที่มากับเรือของข้าพเจ้าก็กล่าวขอโทษกับเหตุการณ์ที่พี่สาวข้าพเจ้าได้ลบหลู่ดูหมิ่น ทันใดนั้นเองเรือของเราก็สามารถหาทางออกไปจนถึงเกาะโต๊ะกีเสมได้และพบว่า เรื่อลำเล็กไปถึงก่อน ประมาณ 2 ชั่วโมง ทุกคนได้แต่สมน้ำหน้าตัวเอง และได้เห็นอิทธิฤทธิ์ของญิน (ผี) ที่อาศัยอยู่ที่เกาะโต๊ะกีเสมนี้ ถึงแม้ว่าเป็นกลางวันแสกๆก็ยังทำให้พวกเรากลัวได้
เมื่อพวกเราไปถึงก็รีบตรงไปที่บ่อน้ำ ซึ่งชาวบ้านได้ต่อท่อน้ำมาจากตาน้ำตกบนภูเขา น้ำจะไหลตลอดทั้งปี ทั้งกินทั้งอาบจนหายคลายร้อนจากนั้นก็ไปเยี่ยมเยือนหลุมศพของโต๊ะกีเสม และร่วมทำละหมาดกันที่มัสยิดบนเกาะ
ในหลักการของศาสนาอิสลามนั้นมีอยู่ว่า การขอพรนั้น จะต้องขอต่อพระเจ้าเพียงองค์เดียว ไม่มีสิ่งอื่นหรือผู้ใดจะให้พรที่ขอได้ การขอพรจะขอที่ไหนก็ได้ แต่ก็มีสถานที่ที่พระเจ้าจะรับพรได้ง่ายไม่กี่ที่ เช่นที่วิหารศักดิ์สิทธิ์ “กะห์บะห์” ในเมืองมักกะ ของประเทศซาอุดีอาราเบียเป็นต้น และที่อื่นๆอีกตามที่คัมภีร์อัลกุรอ่านได้บอกไว้
ข้าพเจ้าคิดว่าที่เกาะโต๊ะกีเสมนี้ก็คงเป็นสถานที่แห่งหนึ่ง ที่พระเจ้าคงจะประทานพรให้กับผู้ที่ดั่งด้นเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาวิงวอนขอเพราะในอดีตนั้น โต๊ะกีเสม เป็นคนดีที่เคร่งคัดในการปฏิบัติธรรมในศาสนาอิสลาม และได้รับทราบจากชาวบ้านว่าได้มีผู้นำแพะมาปล่อยแก้บนไว้บนเกาะเป็นจำนวนมาก
และข้าพเจ้าก็คิดต่อไปว่า ญิน ที่อาศัยอยู่บนเกาะนี้ก็คงจะเป็นญินที่มีพลังอำนาจมาก คอยดูแลทรัพย์สินของมัสยิด เช่นถ้วยชามลายครามอายุเป็นร้อยปี ของโต๊ะกีเสม เพราะบนเกาะไม่มีคนอาศัยอยู่เลย แต่ก็ไม่มีผู้ใดนำทรัพย์สินเหล่านี้ไปได้
เมื่อได้เวลาเดินทางกลับใครที่มาเรือลำไหนก็กลับลำนั้น เรือทั้งสองลำออกเดินทางพร้อมกัน แต่ครั้งนี้เราเปลี่ยนเส้นทางโดยวิ่งออกไปทางทะเล เมื่อออกจากเกาะได้สักพักหนึ่งเรือลำที่ข้าพเจ้านั่งมาก็ผจญกับคลื่นลูกใหญ่จนแทบจะเอาชีวิตไม่รอด
แต่เรือลำเล็กที่วิ่งตามมากลับไม่ผจญกับคลื่นลูกใหญ่เลย และเห็นเรือของข้าพเจ้าเหมือนกับถูกคลื่นกลืนลงทะเลไปแล้ว ข้าพเจ้าก็งงกับเหตุการณ์นี้เหมือนกัน โชคยังดีที่เรากับถึงที่พักกันอย่างปลอดภัย…และนี่คือเรื่องราวทั้งหมด