เรื่องนี้เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับรุ่นน้องของผมคนนึงที่ชื่อว่า “คุณสา” ปัจจุบันคุณสาอายุ 41 ปี เป็นคนจังหวัดสมุทรสงคราม คุณสาโทรทางไกลมาจากประเทศญี่ปุ่น ฝากให้ผมนำเรื่องนี้มาเล่าให้กับเพื่อนๆ ได้ฟัง
ย้อนกลับไปตอนอายุประมาณ 20 ปี คุณสาเดินทางมาเรียนในกรุงเทพฯ และได้คบหากับแฟนที่เรียนอยู่มหาลัยเดียวกัน ตั้งแต่เข้าเรียนปี 1 จนกระทั่งเรียนจบรับปริญญาเสร็จ ทั้งคู่ก็ตัดสินใจตกลงแต่งงานใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน ตอนคบกันชีวิตก็ปกติดีไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น
กระทั่งหลังจากที่แต่งงาน… แฟนของคุณสาทำงานเป็นพนักงานขนส่งอะไหล่รถยนต์ ได้ขับรถไปประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต คุณสาเสียใจมากกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะทั้งสองคนรักกันมานาน
จนเวลาผ่านไปได้ประมาณ 2-3 ปี คุณสาเริ่มทำใจได้ก็เริ่มมีคนใหม่เข้ามาจีบมาคุยเรื่อย ๆ ตอนนั้นคุณสาทำงานเป็นไกด์ทัวร์นำเที่ยวในญี่ปุ่น เนื่องจากเป็นคนที่พูดจาฉะฉานและเรียนมาทางด้านนี้
สุดท้ายได้ไปพบรักกับผู้ชายคนนึงเป็นพ่อหม้ายมีลูกติด ผู้ชายอายุประมาณ 36-37 ปี ส่วนตัวคุณสาก็อายุเกือบจะ 30 ปี
ทั้งสองพูดคุยศึกษาดูใจกันอยู่ประมาณปีครึ่ง จนคุณสามั่นใจแล้วว่าคนๆนี้คือคนที่ใช่ จึงคิดจะฝากความหวัง ฝากอนาคตไว้ เนื่องจากมีไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่คล้ายๆ กัน ชอบเที่ยวเหมือนกัน เพราะคุณสาเองก็เป็นไกด์นำเที่ยวต้องออกเดินทางอยู่บ่อยๆ จึงตกลงตัดสินใจแต่งงานเป็นครั้งที่ 2
หลังจากแต่งงานครั้งที่ 2 ได้ประมาณ 3 เดือน ปรากฏว่าผู้ชายคนนี้เป็นมะเร็ง ทั้ง ๆ ที่ผู้ชายเป็นคนรักสุขภาพ ชอบออกกำลังกายอยู่เป็นประจำ ดูจากภายนอกก็ดูแข็งแรงปกติดี
หลังจากรักษาตัวอยู่ประมาณ 6-7 เดือน สุดท้ายผู้ชายคนนี้ก็เสียชีวิตลง คุณสารู้สึกเสียใจมาก ๆ คิดในใจ เพราะอะไร ทำไม แต่งงาน 2 ครั้ง แต่แฟนกลับต้องมาเสียชีวิตจากไปทั้ง 2 คน
หลังผ่านเหตุการณ์นั้นมาได้ประมาณ 5 ปี คุณสาก็ไม่ได้สนใจใครอีกเลย แต่ในใจก็เริ่มจะรู้สึกนิดๆ แล้วว่าตัวเองนั้นเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตของทั้ง 2 คนหรือเปล่า แต่ก็ได้ญาติๆ เพื่อนๆ คอยปลอบให้กำลังใจตลอดว่า ไม่เกี่ยวกันหรอก อุบัติเหตุมันเกิดขึ้นได้ตลอดและมะเร็งมันจะเกิดขึ้นกับใคร เมื่อไร ไม่มีใครรับรู้ล่วงหน้าหรอก
กระทั่งคุณสาอายุได้ 36 ก็เริ่มทำใจได้อีกครั้ง จึงตัดสินใจคบกับผู้ชายอีกคนนึง ซึ่งเป็นคนไทยด้วยกัน ผู้ชายคนนี้มีอาชีพเป็นเกษตรกรรม ปลูกผัก ทำไร่สวนผสม เขาได้มาจองทัวร์ของคุณสาเพื่อไปศึกษาดูงานที่ประเทศญี่ปุ่นและท่องเที่ยว
เมื่อเริ่มไปเที่ยวด้วยกันบ่อยครั้งคุณสากับผู้ชายคนนี้ก็เริ่มที่จะสนิทสนมกัน ผู้ชายคนนี้เคยแต่งงานครอบครัว แต่ได้หย่าร้างกันไปแล้ว ทั้งสองได้คบหาดูใจกันอยู่นานจนคุณสาอายุได้ 38 ปี ในที่สุดทั้งสองก็คุยกันถึงเรื่องแต่งงาน
เพราะคุณสารู้สึกชื่นชอบชีวิตการชีวิตชาวไร่ชาวสวน การทำเกษตร รู้สึกเจริญหูเจริญตาทุกครั้งเวลาที่ได้เข้าไปเดินดูโน้นดูนี่ในสวนในไร่ อีกทั้งผู้ชายคนนี้ก็เป็นคนที่ไม่ค่อยพูดมาก จึงเข้ากับไลฟ์สไตล์ของคุณสาได้เป็นอย่างดี จึงตัดสินใจแต่งงานอีกเป็นครั้งที่ 3
โดยที่คุณสาก็ไม่ได้ปิดบังเรื่องการแต่งงานทั้งสองครั้งที่ผ่านมา ผู้ชายคนนี้เค้าไม่ได้คิดอะไรกับเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว เพราะเค้าเชื่อว่าคนเราเกิดแก่ เจ็บ ตาย มันก็เป็นรื่องปกติ และเขาเองก็อยู่กับธรรมชาติมาทั้งชีวิต
หลังที่แต่งงานกันได้ประมาณแปดเดือน ตอนนั้นคุณสากำลังพานักท่องเที่ยวไปเที่ยวที่ประเทศญี่ปุ่น ได้รับข่าวร้ายว่าสามีชีวิต จากอาการหัวใจวายเฉียบพลันกระทันหัน ที่เค้าเป็นคนที่แข็งแรงมาก ตอนเช้ามักจะตื่นตีสี่ตีห้าลุกขึ้นมาดูไร่ดูสวนทำการเกษตรปลูกผัก ขายผัก มีลูกน้องคนงานหลายคนคอยช่วยดูแล
ครั้งนี้คุณสาเริ่มรู้สึกว่ามันต้องมีอะไรเกิดขึ้นกับตนแน่ ๆ ที่ทำให้ทั้งสามครั้งที่ผ่านมาของการแต่งงาน ผู้ชายทุกคนต้องเสียชีวิต
ด้วยความที่คุณสาได้จดทะเบียนสมรสกับสามีคนที่สาม พอสามีเสีย ทรัพย์สินก็ตกเป็นของคุณสาบางส่วน มีเงิน ทองพอสมควร
คุณสายังทำใจไม่ได้ จึงมาความคิดผุดขึ้นมาว่าอยากย้ายไปอาศัยอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น เนื่องจากคุณสาทำทัวร์มานานก็มีคนที่รู้จักกันเปิดร้านอาหารไทยอยู่ที่โน้น
คุณสาตัดสินใจขายทรัพย์สินบางส่วนที่ได้มาและไปร่วมหุ้นเปิดร้านอาหารไทยกับคนรู้จักกันที่ประเทศญี่ปุ่น ทุกครั้งที่เดินทางไปทำทัวร์ที่ญี่ปุ่นก็แวะไปดูร้านอยู่เป็นประจำ ซึ่งส่วนใหญ่คุณสาจะใช้ชีวิตอยู่ที่ญี่ปุ่นซะมากกว่า ไม่ค่อยอยู่ประเทศไทย
พอเหตุการณ์นั้นผ่านไป จนเมื่อประมาณปี 61 คุณสาอายุได้ประมาณ 40 ปี มีอยู่คืนนึงคุณสานอนหลับและฝัน ในฝันสามีทั้งสามคนที่เสียชีวิตไปแล้วมายืนทะเลาะกันและพูดประมาณว่า “คนนี้เมียกู” “คนนี้เมียกู” “คนนี้เมียกู” ยืนเถียงกันไปเถียงกันมาทะเลาะกันเหมือนกำลังแย่งคุณสากัน
คุณสาตื่นขึ้นมา คิดในใจว่าฝันแบบนี้หมายความว่ายังไง แต่ก็ยังใช้ชีวิตไปตามปกติ จนมีอยู่ครั้งนึงที่คุณสาเดินทางกลับมาไทยหลังจากที่ไปอยู่ญี่ปุ่นมานาน และได้มาเจอเพื่อนในงานเลี้ยงรุ่นที่เรียนจบมหาวิทยาลัยมาด้วยกัน
คุณสาเริ่มระบายเล่าเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นให้เพื่อนๆ ได้ฟังตามประสาสาวๆ เพื่อน ๆ ก็เลยแนะนำว่าให้ไปเช็คดวงชะตากับหมอดูมั้ย มีหมอดูที่รู้จักคนนึงเก่งมากๆ ดูแม่นมาก
หลังจากงานเลี้ยงรุ่นจบลง วันรุ่งขึ้นเพื่อนๆก็พาคุณสาเดินทางไปหมอดู ซึ่งหมอดูคนนี้เป็นเหมือนผู้ทรงศีลมีตำนักอยู่ต่างจังหวัด
เมื่อไปถึงหมอก็เริ่มตรวจดวงชะตา และได้บอกกับคุณสาว่า สมัยตั้งแต่สงครามโลกครั้งแรกต่อเนื่องมาจนถึงครั้งที่สองสมัยนั้นคุณสาเป็นนางโลม (สาวบริการ) และมีแฟน คนไทย พอชาตินี้มาเกิดใหม่อีกครั้งคุณสาจึงมีผู้ชายมาชอบมาติดพันเยอะ แต่จะอยู่กับคุณสาได้ไม่นาน หมอดูพูดประมาณนี้
“มันยังไม่จบนะ มันยังจะต้องมีอีกคนนึง…เป็นชายชาวญี่ปุ่น”
เพราะในชาติที่แล้วคุณสาเกิดมาได้ไปพบรักกับชายชาวญี่ปุ่นและก็ทำให้ชายชาวญี่ปุ่นเสียชีวิตด้วย
จากที่ทุกข์อยู่แล้ว พอเจอหมอดูทักกลับมาแบบนี้มันยิ่งเพิ่มความทุกข์ให้คุณสามากขึ้นไปอีก ทำให้ตัวคุณสาเริ่มขาดความมั่นใจอย่างมากที่จะไปรักหรือชอบพอกับใครอีกแล้ว เพราะกลัวว่าตัวเองจะเป็นสาเหตุทำให้อีกฝ่ายนึงเสียชีวิตอีก
หลังจากเหตุการณ์นั้นคุณสาก็เดินทางกลับประเทศญี่ปุ่นอีกครั้ง เพื่อไปดูกิจการร้านอาหาร จนกระทั่งเวลาผ่านไปได้พักใหญ่ ๆ
ช่วนนั้นที่ร้านอาหารเริ่มมีลูกค้ามากขึ้น จนคุณสาได้ไปเจอชายสูงวัยคนนึง อายุประมาณ 55 ปี มาติดพัน เขาชอบคุณสามาก เสนอทุกอย่างให้หมด ผู้ชายคนนี้หม้ายเนื่องจากภรรยาเสียชีวิตไปแล้ว เขามีลูกที่โตเป็นหนุ่มเป็นสาว แต่ลูก ๆ ได้แต่งงานและมีครอบครัวกันไปหมดแล้ว
คุณสาลืมไปแล้วกับคำพูดของหมอดูที่เคยทำนายไว้ อีกอย่างพี่ที่สนิทกันที่อยู่ญี่ปุ่นรู้สึกชื่นชอบผู้ชายคนนี้มากเพราะเป็นลูกค้าประจำ และก็เป็นคนที่ค่อนข้างจะนิสัยดีมากๆ จึงชักนำให้มาชอบพอกันกับคุณสา
เพราะความรัก คุณสาจึงตัดสินใจคิดว่าจะเป็นรักครั้งสุดท้าย ถ้าครั้งนี้ผิดพลาดอีกก็คิดว่าจะไม่มีครอบครัวอีกตลอดชีวิต จึงตอบตกลงคบหาดูใจกับผู้ชายคนนี้ซึ่งเป็นชาวญี่ปุ่น
ไม่มีการจัดพิธีการแต่งงานใดๆ เพราะคิดว่าตัวเองก็อายุมากแล้ว จึงไปมาหาสู่กันตามปกติ ใช้ชีวิตกันอย่างมีความสุข จนกระทั่งเมื่อประมาณช่วงโควิดระบาดครั้งแรก ปรากฏว่าผู้ชายคนนี้ติดโควิดและเสียชีวิต
มันเป็นเรื่องราวที่แปลกมากเพราะตอนที่เขายังไม่คบหากับคุณสาทำไมเขาถึงไม่เห็นเป็นอะไรเลย ในขณะที่พูดคุยกันกับผม คุณสาก็เอาแต่โทษตัวเองตลอดจนผมต้องบอกว่า “อย่าโทษตัวเองเลย มันอาจจะเป็นวิบากรรมของเขา มันถึงเวลาของเขา” ซึ่งคุณสารู้สึกเสียใจมากกับรักครั้งนี้
พอสามีเสียชีวิตจากโรคโควิด ตัวคุณสาก็ติดโควิดจากสามีติดเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้เป็นอะไรรุนแรง รักษาตัวจนหาย เพราะความเสียใจเสียใจและโทษว่าตัวเองคือต้นเหตุ จึงตัดสินใจเดินทางกลับประเทศไทยเพื่อมาบวชชี
คุณสากลับมาบวชชีที่วัดวัดนึง ทำทุกอย่างตามประเพณี อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กับสามีทั้งสี่คน ในขณะที่บวชชีอยู่คุณสาก็อยู่ในศีลในธรรมจึงทำให้เห็นสิ่งต่างๆ ได้มากขึ้น
คุณสาเห็นสามีทั้งสี่คนมาก้มลงกราบ ก็ได้แต่รู้สึกตกใจ จึงไปถามแม่ชีอาวุโสท่านนึงอาศัยอยู่ที่นี่มานานหลายปีแล้ว แม่ชีท่านก็บอกว่า
“ทั้งสี่คนเคยทำร้ายโยมมาเมื่ออดีตชาติ พวกเขาทำสิ่งที่ไม่ดีกับโยม มาชาตินี้เลยต้องมาขออโหสิกรรม”
คุณสาจึงถามต่อไปว่า “แล้วเรื่องราวมันจบสิ้นหรือยัง หรือว่าถ้าเกิดวันใดที่คุณสามีครอบครัวอีก มันจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีกไหม”
แม่ชีก็ตอบว่า “ไม่แล้วละ เพราะทั้งสี่คนนี้เป็นคนกระทำกับโยมมาก่อน พอมาขออโหสิกรรมแล้วก็ไม่น่าจะมีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้นได้แล้ว…หมดเวรหมดกรรมต่อกันแล้ว”
หลังจากได้ฟังแม่ชีพูดดังนั้นคุณสาก็เริ่มรู้สึกสบายใจขึ้นมา และรู้สึกว่าตัวเองคงหมดวิบากกรรมจากสิ่ง ๆ นั้นแล้วจริง ๆ
คุณสาบวชชีอยู่ได้ประมาณ 9 วัน อุทิศส่วนบุญส่วนกุศล กรวดน้ำให้ทั้งสี่คนทุกวันจนตัวเองสบายใจขึ้น และตัดสินใจเดินทางกลับมาใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่นจนถึงทุกวันนี้ …และนี่ก็เป็นเรื่องราว คนกินผัว ที่เกิดขึ้นกับคุณสาทั้งหมด…
ขอบคุณค่ะ…
ขอขอบคุณเรื่องเล่าจาก คุณเนตร ธนัชพงศ์ ช่องพาเที่ยว เลี้ยวไปหลอน เรื่อง คนกินผัว
บทความนี้ถูกเรียบเรียงจาก Youtube ห้ามนำไปทำซ้ำลง Youtube หรือ พอดแคสต์ หรือคัดลอกเนื้อหาไปลงที่อื่นใด