ผีดอนแม่ม่าย ออกไปส่องกบ แต่เจอผู้หญิงผีหลอกให้ไปเที่ยวบ้าน

ผีดอนแม่ม่าย

ผมเป็นคนภาคกลาง แต่ด้วยบุพเพสันนิวาสหรือเป็นคู่กรรมอะไรก็ตาม ผมได้ภรรยาเป็นคนอีสาน จึงมาเป็นเขยอยู่ที่นี่กับยุพาเมียสาวของผม ยุพาเป็นสาวอีสานที่มีความสวยแบบบ้าน ๆ แต่ถูกใจผมมาก จนผมแต่งงานกับเธอ และย้ายจากบ้านเกิดไปอยู่กับเธอที่ดินแดนแห่งเสียงแคน

บ้านของยุพาอยู่ในชนบท หรือจะเรียกว่าบ้านนอกก็ไม่ผิด เพราะพ่อแม่เธอรวมทั้งญาติพี่น้องทุกคน ต่างมีอาชีพทำไร่ทำนา และจะปลูกบ้านอยู่กลางทุ่งนาของตน อยู่กินกันแบบพอเพียง แต่หมู่บ้านไม่ถึงกับกันดาร บ้านพ่อตาผมอยู่ใกล้แม่น้ำ จึงมีน้ำท่าใช้พอเพียงกับการบริโภคและทำไร่ทำนา ยิ่งฤดูฝนมีน้ำหลาก ยิ่งเหลือกินเหลือใช้เลย

ผมโชคดีหน่อยที่เมียผมเป็นลูกสาวคนเดียว จึงไม่เดือดร้อนเรื่องที่อยู่อาศัย เราอยู่กันสี่คน มีผมกับเมีย และพ่อตาแม่ยาย บ้านช่องของพ่อตานับว่ากว้างขวางดีอยู่ ผมช่วยพ่อตาทำไร่ทำนา แม้ตอนแรก ๆ จะไม่ถนัดทำนาแบบภาคอีสาน แต่อยู่ไปทำไปก็ชินไปเอง

ในฤดูฝนอันชุ่มฉ่ำ ต้นข้าวในนาเริ่มเจริญเติบโต มองไปทางไหนก็เห็นเป็นทิวข้าวเขียวขจีสวยงาม กิจกรรมอย่างหนึ่งของคนในชนบทแห่งนี้คือ พอฝนตกทีไรก็จะมีมหกรรมจับกบ.. 

คืนนั้น ฝนที่ตกตั้งแต่ตอนเย็นยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตก คำใสเพื่อนบ้านของผมคนหนึ่ง มาพบผมที่ร้านเหล้าในหมู่บ้าน มันเอ่ยปากชวนให้ไปจับกบด้วยกันที่กลางทุ่งนา เพราะตอนฝนตกแบบนี้กบมันจะออกจากโพรงมาผสมพันธุ์กัน 

ผมตอบตกลงมันไป เพราะมาอาศัยอยู่บ้านพ่อตา ถ้าขี้เกียจเขาคงไม่ชอบใจเอาแน่ ถึงแม้ผมจะไม่เคยจับกบมาก่อน และไม่คุ้นเคยกับอุปกรณ์จับกบทั้งหลาย อีกทั้งไม่ค่อยออกจากบ้านในตอนกลางคืน แต่คำใสก็ได้อธิบายวิธีจับกบโดยละเอียด 

ค่ำวันนั้นผมจึงเตรียมตัวใส่เสื้อกันฝน มีไฟฉายชนิดติดหน้าผาก และข้องใส่กบใบเขื่องร้อยเชือกมาผูกไว้ที่เอว ไม่นาน คำใสก็มาถึง พร้อมตะโกนเรียกให้ผมลงจากบ้านไปหามัน เมียผมมองแล้วแซวยิ้ม ๆ ว่า ท่าทางของผมดูทะมัดทะแมงดี สงสัยคืนนี้คงได้กบกลับมาเต็มข้องอย่างแน่นอน ผมยักคิ้วให้เธอ

ฝนยังตกพรำ ๆ ผมและคำใสขี่รถมอเตอร์ไซค์พากันมาที่ทุ่งนา เราเดินลุยลงในท้องทุ่งนาที่มีต้นข้าวขึ้นสูงเกือบถึงอก คำใสหันมาบอกผมว่า ถ้าเดินตามกันแบบนี้ไม่มีทางได้กบหรอก ต้องแยกย้ายกันไป 

ดังนั้นผมจึงแยกกับมัน ส่องไฟฉายที่ติดหน้าผากดูตามคันนา เดินไปอย่างช้า ๆ หลายครั้งที่ผมเห็นแสงไฟฉายส่องไปกระทบดวงตาของกบเขียด แต่ด้วยความไม่ชำนาญ พวกมันจึงโดดหนีไปเสียก่อนที่ผมจะทันได้จับมัน 

ผมลุยสายฝนไปตามคันนา หันไปมองทางด้านขวา เห็นแสงไฟฉายของคำใสอยู่ไกล ๆ สงสัยว่ามันคงได้กบเขียดไปหลายตัวแล้ว ส่วนตัวผมน่ะหรอ หึ.. ได้เขียดเพียงไม่กี่ตัว แต่ผมไม่ยอมแพ้หรอก ต้องจับกบให้ได้สักตัว เอาไปอวดเมียเพื่อลบคำสบประมาท 

ผมเดินก้มหน้าก้มตาส่องหากบอยู่นาน พอยกมือปาดน้ำฝนที่ไหลเข้าตา มองไปด้านข้างอีกที ปรากฏว่าคราวนี้เห็นแต่ความมืดมิด ได้ยินเพียงเสียงฝนตกซ่า ๆ แสงไฟฉายของคำใสไม่รู้หายไปไหนแล้ว หรือว่ามันจะลงไปหากบแถวลำเหมือง เพราะแถวนั้นกบจะชุกชุม 

สายฝนยังโปรยปรายลงมาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตก ผมรู้สึกหนาว แต่ยังคงส่องไฟฉายหากบไปเรื่อย ๆ กระทั่งผมสังเกตเห็นแสงไฟเรืองๆ อยู่แถวลำเหมือง ทีแรกเข้าใจว่าเป็นแสงไฟของคำใส จึงเดินไปหา แต่เมื่อเดินเข้าไปใกล้กลับเห็นเป็นแสงไฟดวงกลมๆ ที่มีสีเขียวเรือง ๆ กระจายออกมาโดยรอบ มันลอยสูงประมาณศีรษะคน ด้วยความอยากรู้ผมจึงเดินเข้าไปดูใกล้ๆ

ระหว่างที่ผมกำลังเดินเข้าไปใกล้ ๆ ในระยะไม่ถึงห้าเมตรผมก็ต้องสะดุ้งสุดตัว เมื่อแสงที่เห็นนั้นมันอยู่บนปลายจมูกของคนคนหนึ่ง เป็นคนที่มีรูปร่างผอมกะหร่อง ผมยาวสยายยุ่งเหยิง กระเซิง นุ่งผ้าขะม้าผืนเดียว ร่างนั้นลงนั่งยอง ๆ สองมือถือกบตัวเขื่อง กำลังกัดกินอย่างมูมมาม 

เมื่อคนคนนั้นได้ยินเสียงฝีเท้าของผม เขาก็หันมามอง แสงไฟฉายบนหน้าผากของผมส่องกระทบใบหน้าของเขาที่กำลังค่อย ๆ เงยขึ้นมองมาที่ผม เห็นเป็นใบหน้าเล็ก ๆ ดูซูบตอบ ตาใหญ่ปูดโปนออกมา ปากที่อ้าออกเห็นฟันซี่เล็ก ๆ แหลมคม ยังมีซากกบคาปากอยู่เลย 

ผมตกใจมาก และมันเองก็คงตกใจผมเหมือนกัน ผมหันหลังวิ่งหนีมัน แต่ด้วยความที่รีบเร่ง เลยพลัดตกคันนา  เมื่อตั้งตัวได้จึงหันหลังกลับไปมอง เห็นดวงไฟสีเขียวลอยไล่หลังมา ผมไม่รอช้า ตะเกียกตะกายวิ่งหนีต่อไป

ผมวิ่งฝ่าสายฝนมาอย่างไม่คิดชีวิต เนื้อตัวเลอะเทอะเปรอะเปื้อนไปด้วยดินโคลน เสื้อกันฝนฉีกขาดหลายที่ จนมาหยุดยืนอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ แล้วหันหลังกลับไปดูมันอีกครั้ง ปรากฎว่าดวงไฟสีเขียวนั้นหายไปแล้ว 

ผมหายใจหอบแฮก ๆ ไม่รู้ว่าจุดที่ตัวเองยืนอยู่คือที่ไหน เพราะมันมืดบวกกับมีฝนพรำอยู่ตลอดเวลา 

ผมมองซ้ายมองขวาฝ่าสายฝนไปในความมืด จนเห็นแสงไฟวับ ๆ แวม ๆ อยู่ใต้เงาไม้ใหญ่บนโคกแห่งหนึ่ง มันไม่เหมือนกับแสงสีเขียวที่ผมพึ่งวิ่งหนีมา ลักษณะเป็นเงาตะคุ่มใต้ต้นไม้ดูเหมือนจะเป็นกระท่อม 

ผมดีใจมากคิดว่าเจอบ้านคนแล้ว จึงรีบวิ่งไปที่บ้านหลังนั้นทันที แล้วก็ใช่ตามที่ผมคิดจริง ๆ มันคือกระท่อม ยกใต้ถุนสูงจากพื้นประมาณเมตรกว่า แสงไฟมาจากตะเกียงดวงเล็กที่จุดอยู่ ทำให้เห็นหญิงวัยกลางคน คนหนึ่ง กำลังนั่งทำบางอย่างง่วนอยู่ ปล่อยผมที่มีหงอกขาวแซม ยาวสยายลงคลุมไหล่ ใส่เสื้อแขนยาวและผ้าถุงสีดำ 

เหมือนแกจะรู้ว่ามีคนวิ่งมา แกเงยหน้าขึ้นดู จ้องมองมาทางผมที่วิ่งมายืนหอบอยู่หน้าบันไดบ้านแก แล้วเอ่ยทักขึ้นว่า

“อ้าว พ่อหนุ่มวิ่งหนีอะไรมาล่ะ ตัวเปียกหมดแล้ว มาหลบฝนบนบ้านป้าก่อนสิ”

ผมขอบคุณแก แต่ไม่ตอบแกว่าวิ่งหนีอะไรมา ดูเหมือนแกก็ไม่ได้สนใจในสิ่งที่ถามออกมาเหมือนกัน ผมรีบเขยิบเข้าไปใต้ชายคากระท่อม ไปยืนอยู่ที่ตีนบันไดห้าขั้น เห็นแกกำลังจับกบตัวใหญ่หลายตัวในกะละมังยัดใส่ในข้องเพื่อขังมันไว้ ดูเหมือนแกจะอยู่คนเดียว เพราะไม่เห็นมีใครในกระท่อมอีก สักพักแกก็หันมาชวนว่า

“ขึ้นมาเช็ดตัวบนบ้านก่อนก็ได้นะ ตัวเปียกแบบนั้นหนาวแย่”

แกชวนซ้ำ แต่ผมรู้สึกเกรงใจ เพราะเห็นแกอยู่คนเดียว จึงเพียงแต่ยิ้ม 

เมื่อเห็นผมไม่ยอมขึ้นไป แกก็ถามอีกว่า

“มาจับกบเหรอ ได้บ้างไหมล่ะ”

“ไม่ได้สักตัวเลยป้า ผมจับกบไม่เก่ง” ผมตอบพร้อมกับส่ายหน้า ยิ้มอาย ๆ 

แกหัวเราะขำผม ก่อนทักว่า “ท่าทางจะเหนื่อย กินน้ำกินท่าซะก่อน เดี๋ยวป้าจะไปเอาน้ำมาให้” แล้วแกก็เดินผลุบหายไปทางหลังบ้าน โดยไม่รอให้ผมพูดอะไร

สักครู่แกก็โผล่ออกมา แต่คราวนี้ร่างของแกกลับเป็นหญิงชราแก่หง่อมในชุดเสื้อผ้าชุดเดิม เดินหลังค่อม สองมือเหี่ยวย่นประคองขันน้ำออกมา แต่ที่ทำให้ผมแทบหัวใจวายตายก็คือ ในขันน้ำนั้นมันเต็มไปด้วยตัวหนอนไต่ยั้วเยี้ย บ้างก็ไต่ขึ้นไปบนมือแก ผมตกตะลึง เงยหน้าขึ้นมองแก แล้วแกก็พูดด้วยเสียงเย็น ๆ ว่า

“เอ้า! ตกใจใหญ่เลย จับกบไม่ได้ก็แบ่งกบของป้าไปสิ ป้ามีเยอะ”

แล้วแกก็หัวเราะเหอะ ๆ วางขันน้ำลง หันไปล้วงมือเอากบออกมาจากข้อง แต่กบมันปลิ้นออกจากมือแก กระโดดลงบนพื้น ทันใดนั้นแกก็ยื่นมือยาว ๆ ไปคว้ากบมา แล้วมือยาว ๆ ของแกก็หดกลับมา อย่างกับในหนังแม่นาคพระโขนง

พอผมรู้ตัวว่าโดนผีหลอกแน่แล้ว ผมก็รีบเผ่นออกจากกระท่อมหลังนั้นทันที วิ่งหนีไปข้างหน้าอย่างไม่คิดชีวิต ได้ยินเสียงเย็น ยานคางดังไล่หลังมาว่า

“จะรีบไปไหน กลับมาก่อน มาเอากบไปด้วยยยย”

เรื่องอะไรจะกลับไปให้โง่ล่ะ ผมใส่ตีนหมาโกยอ้าว แต่ให้ตายเถอะ วิ่งเท่าไหร่ก็เหมือนวิ่งวนกลับมาที่หน้ากระท่อมเหมือนเก่า เห็นร่างป้าผีก็ยังคงนั่งมองผมอยู่ที่นั่น 

ผมพยายามไม่มองไปทางกระท่อมหลังนั้นอีก ตั้งหน้าตั้งตาวิ่งไปข้างหน้าอย่างเดียว สักพักได้ยินเหมือนเสียงฝีเท้าม้าวิ่งไล่กวดตามหลังมา เมื่อหันไปดูก็เจอชายร่างใหญ่ ตัวดำ วิ่งตามหลังมาติด ๆ เขาวิ่งมาขนาบข้างผม แล้วผงกหัวขึ้นลงเหมือนจะบอกให้ผมรีบวิ่งตามมา

ผมนึกอะไรไม่ทันแล้วตอนนั้น ได้แต่วิ่งตามเขาไปเรื่อย ๆ  เพราะถ้าไม่วิ่งตามเขาไป ผมคงจะไม่มีทางหนีออกจากหน้ากระท่อมนั้นมาได้แน่นนอน 

ชายร่างใหญ่พาผมวิ่งมาฝ่าความมืด ผ่านสายฝนที่ยังคงตกปรอย ๆ มาหมอบอยู่ในพุ่มไม้หลังต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ผมนอนหมอมนิ่ง ๆ ร่างกายไม่ไหวติง แต่คงเพราะความเหนื่อยและตกใจ ในที่สุดสติของผมก็ดับวูบลงคาหลังม้านั่นเอง

รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาปรากฏว่าพบตัวเองนอนอยู่บนที่นอนในห้องของผมเอง มีเมียและพ่อตาแม่ยาย กับเพื่อนบ้านอีกสี่ห้าคน รวมทั้งคำใส กำลังมองมาที่ผมเป็นตาเดียว 

ทุกคนแสดงความดีใจที่เห็นผมฟื้นแล้ว คำใสเล่าว่า ระหว่างเดินไปหากบ มันกับผมพลัดกัน คำใสเดินตามหาผมอยู่นานจนอ่อนใจ เมื่อไม่เจอจึงนึกว่าผมกลับมาที่บ้านเองแล้ว เลยกลับบ้านมานอน

ส่วนเมียผมก็เข้าใจว่าผมไปนอนค้างที่บ้านคำใส พอรุ่งเช้าจึงออกมาตามหาที่บ้านคำใส พอทุกคนรู้ว่าผมหายตัวไปทั้งคืน ต่างพากันแตกตื่นด้วยความร้อนใจ แยกย้ายกันออกตามหา 

คำใสไปเจอผมนอนไม่ได้สติอยู่ในสภาพนอนควบทับอยู่บนขอนไม้แห้งขนาดใหญ่บนดอนแม่ม่าย พวกเขานำตัวผมกลับมา พยายามปลุกให้ตื่น ไม่นานผมก็ตื่นขึ้นมา

เมียผมถามว่าเมื่อคืนนี้เกิดอะไรขึ้น ทำไมผมไปนอนหลับอยู่ที่ดอนแม่ม่าย รู้ไหม ที่นั่นไม่ค่อยมีใครกล้าไปตอนกลางคืน เพราะผีดุมาก คนลือกันว่ามีผีผู้หญิงคอยหลอกหลอนให้ไปเที่ยวบ้าน พอใครเผลอเดินขึ้นไป ก็จะเจอผีแม่ม่ายหลอก พากันจับไข้หัวโกร๋นไปเป็นแถว ต้องไปรดน้ำมนต์ที่วัด เจอมาหลายรายแล้ว

ผมได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ แล้วปฏิเสธเมียไปว่า ไม่มีอะไร ผมคงเหนื่อยมากเลยเผลอหลับคาขอนไม้ไปในท่านั้น  ผมเองรู้ว่าคงไม่มีใครเชื่อในสิ่งที่ผมบอก แต่ผมก็ไม่อยากเล่าเรื่องที่ตัวเองโดนผีหลอก แม้ชาวบ้านจะพากันซุบซิบนินทา และพยายามให้ผมเล่า ผมก็ไม่ยอมเล่าอยู่ดี 

แต่สุดท้ายผมก็ต้องยอมแพ้ให้แก่ยุพา ยอมเล่าให้เธอฟังตามความเป็นจริง เพราะเธอขู่ว่าถ้าไม่ยอมเล่า เธอจะให้ผมออกไปหากบอีก เข็ดครับเข็ดจริง ๆ ให้ไปทำอะไร ผมทำได้ทั้งนั้น ขออย่างเดียวอย่าให้ผมไปจับกบอีกเลย…. 

ต้นฉบับ เรื่องหลอน…ผีดอนแม่ม่าย 

เนื้อเรื่อง โดย…ล. วิลิศมาหรา 

เรียบเรียง : คลังหลอน เนื้อหาในเรื่องบางส่วนอาจถูกดัดแปลงไปจากเดิม

เรื่องนี้ได้รับอนุญาติจากเจ้าของเรื่องแล้ว ห้ามคัดลอก ดัดแปลง หรือทำซ้ำ โดยไม่ได้รับอนุญาต

Previous articleบ้านพักผี พวกเขาโกรธที่โยมมาสร้างบ้านขวางทางพวกเขา
Next articleน้ำตาศพ ประสบการณ์ขนหัวลุกจากหมอห้องดับจิต