เช้าตรู่ของวันหนึ่ง มีเพื่อนของพี่ชายมาหาคุณแม่ดิฉันที่บ้าน ขอเรียกเพื่อนพี่ชายว่าพี่หนุ่มนะคะ วันนั้นพี่หนุ่มมากับภรรยาและลูกๆค่ะ มาด้วยสีหน้าที่อิดโรยและกังวลอย่างเห็นได้ชัด ขอเท้าความก่อนว่าพี่หนุ่มแกมีอาชีพรับรื้อบ้านเก่า บ้านโบราณที่มีอายุเป็นร้อยปี และก็ยังเป็นพ่อค้าขายของโบราณตามตลาดนัดมือสอง
เมื่อพี่หนุ่มมาถึงหน้าบ้าน คุณแม่ก็ได้เรียกให้เข้ามากินน้ำกินท่ากันก่อน และก็ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบทั่วๆไป เพราะไม่ได้เจอกันนานแล้ว ส่วนดิฉันก็พูดคุยกับภรรยาพี่หนุ่มทั่วๆไปเช่นกันค่ะ
คุณแม่ได้ทักพี่หนุ่มขึ้นมาว่า หนุ่มไปทำอะไรมา ทำไมหน้าตาถึงอิดโรยเหมือนคนไม่ได้นอน มีเรื่องอะไรไม่สบายใจรึป่าวถึงมาหาแม่ พี่หนุ่มแกจะเป็นคนที่นับถือคุณแม่ของดิฉันมากค่ะ
พี่หนุ่มแกบอกว่า บ้านผมกำลังโดนยึดครับ ตอนนี้กำลังเตรียมหาบ้านเช่า ไปดูมาหลายที่ส่วนใหญ่เต็มหมด บางที่ให้เช่าก็แพงมาก แกสู้ไม่ไหว ครอบครัวแกเป็นครอบครัวใหญ่ จะหาบ้านเช่าแต่ละที ราคาถูกๆยิ่งยุคนี้นับวันยิ่งหายาก
แล้วพี่หนุ่มก็ได้เริ่มเล่าเรื่องราวอันน่าสะพรึงกลัวชวนขนหัวลุกที่ไปประสบพบเจอมา ให้คุณแม่และดิฉันได้ฟัง…
เมื่อหลายปีก่อน มีข้าราชการระดับสูงติดต่อพี่หนุ่มให้ไปรื้อบ้านไม้โบราณหลังนึงซึ่งมีอายุเป็นร้อยปีพร้อมให้นำข้าวของออกไปทั้งหมด อย่างเช่นเรือโบราณขนาดใหญ่ ตุ๊กตาไม้โบราณ งานปั้นประติมากรรมต่างๆ คือถ้าพี่หนุ่มอยากได้ของชิ้นไหน ก็สามารถนำออกมาได้เลย
ข้าราชการระดับสูงนายนี้ก็คือเจ้านายของพ่อพี่หนุ่มนั่นเอง ท่านมักจะเมตตาและช่วยเหลือครอบครัวพี่หนุ่มเสมอมา ตั้งแต่สมัยที่พ่อพี่หนุ่มยังมีชีวิตอยู่ สาเหตุที่ท่านต้องรื้อเพราะว่าลูกหลานของข้าราชการระดับสูงนายนี้ ต้องการปลูกบ้านแบบสมัยใหม่เพื่อจะไว้เป็นที่พักผ่อนของครอบครัวเวลามาเที่ยวเมืองไทย เพราะลูกหลานของท่านใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศกันหมด
บ้านหลังนี้เจ้าของบ้านหลังนี้ไม่ได้อาศัยอยู่มานานแล้ว เป็นบ้านไม้ทรงไทยโบราณดูเก่าๆโทรมๆวังเวงน่ากลัว ปลูกสร้างตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา มีศาลาท่าน้ำ ภายในบริเวณบ้านกว้างมาก เนื้อที่ประมาณ 2 ไร่ และมีต้นไม้ใหญ่รกครึ้มขึ้นเต็มไปหมด มีเรือไม้โบราณขนาดใหญ่ตั้งอยู่บริเวณสวนหลังบ้าน มีศาลไม้เก่าๆ มีรูปปั้นนางรำ ตั้งวางเรียงรายอยู่ในศาล
หลังจากที่มีการติดต่อเข้ามา เช้าวันรุ่งขึ้น พี่หนุ่ม ภรรยาและลูกๆ พร้อมกับลูกน้องอีก 6 คน ก็จัดเตรียมอุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือ กระเป๋าเสื้อผ้า แล้วมุ่งหน้าไปที่บ้านทรงไทยหลังนี้ทันที
พอมาถึงหน้างานก็เดินสำรวจบริเวณรอบๆ บ้าน ภายในบริเวณบ้านก็จะมีบึงน้ำแห้งๆ เก่าๆ ความลึกน่าจะประมาณ 2 เมตร แต่ไม่มีน้ำหลงเหลืออยู่แล้ว มีแต่ต้นไม้ วัชพืช รกครึ้มขึ้นบริเวณบึงเต็มไปหมด
หลังจากสำรวจหน้างานเสร็จแล้ว พี่หนุ่มก็ได้สั่งให้ลูกน้องนำรถไถเข้ามาบริเวณบึงเพื่อจะไถหน้าดินและต้นไม้ใบหญ้า โดยไม่ได้บอกกล่าวหรือขอเจ้าที่เจ้าทางก่อน เพราะแกและลูกน้องไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ แถมยังหนักไปทางลบหลู่ด้วย
ระหว่างทำการไถดินอยู่นั้น อยู่ๆก็มีงูเหลือมตัวใหญ่นึงสีขาวนวล เลื้อยโผล่ออกมาตรงบริเวณบึง ชูคอขึ้นมาไม่ยอมไปไหน ซึ่งตรงนั้นจะเต็มไปด้วยวัชพืช ต้นไม้มากมาย
นายไผ่ลูกน้องพี่หนุ่มซึ่งเป็นคนขับรถไถดิน พอเห็นงูโผล่ขึ้นมา แทนที่จะหยุดรถ กลับบอกทุกคนตรงนั้นว่า “ในเมื่อมันไม่หลบ งั้นก็อยู่เป็นผีเฝ้าที่นี่ไปเลยล่ะกัน!!”
แทนที่พี่หนุ่มและลูกน้องที่เห็นเหตุการณ์ตรงนั้นจะห้ามปราม กลับปล่อยให้นายไผ่ทำการไถดินทับงูจนตาย ที่สำคัญหลังจากที่บดงูเรียบร้อย เมื่อลงไปดูที่ซากงู ปรากฏว่ามันมีไข่งูหลายฟองถูกทับจนแตกเละอยู่ตรงนั้นด้วย และจุดเริ่มต้นของความสยองมันเริ่มจากตรงนี้แหละ
หลังจากเหนื่อยจากการทำงานมากันทั้งวัน พอตกค่ำก็ล้อมวงกินเหล้า ส่วนภรรยาพี่หนุ่มก็ง่วนกับการทำอาหาร และจัดเตรียมที่นอน คืนนี้ต้องกางเต้นท์นอนกันที่นี่ จนกว่าจะรื้อบ้านเสร็จ
ระหว่างที่นั่งล้อมวงกินเหล้าและพูดคุยกันไป ลูกชายคนเล็กของพี่หนุ่มอายุประมาณ 4 ขวบ ก็มีอาการแปลกๆ อยู่ๆก็เดินเข้ามาดึงมือพี่หนุ่มและพูดขึ้นมาว่า
“พ่อจ๋าๆๆเค้าจะมาเอาชีวิตแล้วพ่อ กลับบ้านกันเถอะพ่อ”
พี่หนุ่มพอได้ยินลูกพูดแบบนั้นแทนที่จะเชื่อลูก กลับคิดว่าลูกไปจำใครเค้ามา คงพูดไปตามประสาเด็ก
คืนที่ 1 ผ่านไปด้วยดี พอมาคืนที่ 2 คืนนี้ก็ยังนอนที่นี่และทุกอย่างก็ยังเป็นปกติ พอมาถึงคืนที่ 3 ก็มานั่งล้อมวงกินเหล้ากันเหมือนเช่นเคย จนถึงประมาณเที่ยงคืนกว่าๆ ต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันเข้านอน
ช่วงที่พี่หนุ่มนอนอยู่นั้น ก็ได้ฝันว่ามีผู้หญิงคนนึง หน้าตาน่ากลัว ในตาดำสนิท ผมยาวรุงรัง แต่งชุดไทยโบราณ มาเรียกพี่หนุ่ม เรียกครั้งที่ 1 ก็แล้ว ครั้งที่ 2 ก็แล้ว แต่พี่หนุ่มก็ยังไม่สะทกสะท้าน จนกระทั่งครั้งที่ 3 คราวนี้เธอโผล่เข้ามาในเต้นท์ มาดึงขาพี่หนุ่ม ทั้งดึงทั้งลากเลย
ขณะนั้นพี่หนุ่มที่อยู่ในอาการครึ่งหลับครึ่งตื่น สับสนว่านี่ตนฝันไปหรือเกิดขึ้นจริง เพราะรู้สึกเหมือนมีมือมาดึงขาตัวเองออกมานอกเต้นท์จริง ๆ
ด้วยความตกใจพี่หนุ่มสะดุ้งตัวลุกขึ้นจากที่นอน ก็พบว่าตัวพี่หนุ่มออกมาอยู่ด้านนอกเต้นท์ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ซึ่งพี่หนุ่มก็งงและสับสนว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ยังคิดว่าน่าจะเป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอลรึเปล่า
บรรยากาศในตอนนั้นคือมันมืดมากและดูวังเวงพิลึก บวกกับได้ยินเสียงหมาแถวๆนั้นมันเห่ากรรโชก หอนรับกันเป็นทอดๆ คือเสียงเห่าหอนมันใกล้มาก ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยได้ยินเสียงหมาหอนที่ชวนขนหัวลุกได้ขนาดนี้ นี่ขนาดพี่หนุ่มแกไม่กลัวเรื่องผีๆสางๆนะ
พอรุ่งเช้า ทุกคนก็ยังคงทำการรื้อถอนบ้านกันตามปกติ แต่วันนี้พี่หนุ่มดูวุ่นทั้งวัน เพราะมีลูกค้าโทรติดต่อนัดให้ออกมาดูหน้างานไม่ขาดสาย พี่หนุ่มออกไปคุยงานพร้อมพาภรรยาและลูกๆไปด้วย เหลือลูกน้องที่ยังทำงานตามปกติ
กว่าจะเสร็จธุระก็ปาเข้าไป 3 ทุ่ม ถ้าจะย้อนกลับไปนอนที่บ้านทรงไทยคืนนี้ก็คงดึกแน่ พี่หนุ่มจึงตัดสินใจกลับมานอนบ้าน เมื่อมาถึงบ้านทุกคนก็อาบน้ำอาบท่า เตรียมจะกินข้าวกัน ระหว่างที่นั่งกินข้าวอยู่นั้น ลูกชายคนเล็กของพี่หนุ่ม พูดว่า..
“พ่อจ๋า แม่จ๋า มีคนมาบ้านเรา ยืนอยู่หน้าบ้าน เค้าเข้าไม่ได้ ตาไม่ให้เข้า”
ขณะที่ลูกพูด พี่หนุ่มก็ชะโงกมองออกไปทางหน้าต่าง แต่ก็ไม่เห็นมีใคร เลยถามลูกว่า…
“ใครลูก ไม่เห็นมีใครเลย”
“มีจ้ะพ่อ” ลูกแกตอบ
พี่หนุ่มจึงไม่รีรอเดินออกจากวงข้าว ไปที่หน้าบ้านเพื่อจะไปดูให้แน่ใจว่ามีใครมาหรือเปล่า ปรากฎว่าไม่เห็นมีใครสักคน แล้วลูกพี่หนุ่มก็เดินตามหลังแกมาติดๆ และพูดว่า
“คืนนี้จะมีคนตาย เค้ามาเลือกเอาชีวิต 2 คนนะพ่อ”
พี่หนุ่มก็เริ่มชักแปลกใจกับอาการและคำพูดแปลกๆของลูกตัวเอง เพราะปกติลูกคนเล็กจะมีนิสัยเรียบร้อย ว่านอนสอนง่าย แต่ตั้งแต่มารับงานรื้อบ้านทรงไทยโบราณหลังนี้ ลูกคนนี้มักจะงอแงและกลัวอะไรบางอย่างแบบไม่มีเหตุผล โดยเฉพาะตอนกลางคืน ส่วนคำพูดคำจาก็ดูเป็นทางการผิดนิสัยของเด็ก แถมน้ำเสียงก็เปลี่ยนไปมาก เสียงจะออกเล็กๆแหลมๆ
พี่หนุ่มถามลูกว่า “เค้าคือใคร ใครจะมาเอาชีวิต” ลูกไม่พูดแต่ชี้ไปตรงหน้าบ้าน พี่หนุ่มจึงได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้ และคืนนั้นก็เข้านอนตามปกติ
จนประมาณเกือบๆตี 5 เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น พี่หนุ่มรับสายด้วยอาการงัวเงีย ปลายสายพูดด้วยน้ำเสียงสั่นๆ
“แย่แล้วๆๆ พี่หนุ่ม ตอนนี้ไอ้ไผ่ ไอ้เขียว ไอ้กบ โดนวัยรุ่นรุมตี มาด่วนเลยพี่ คนที่โทรมาก็คือลูกน้องพี่หนุ่มนั่นเอง พอพี่หนุ่มได้ยินดังนั้น ก็รีบปลุกภรรยา และอุ้มลูกขึ้นรถไปเดี๋ยวนั้น
พอมาถึงจุดเกิดเหตุ ก็เห็นว่ามีทั้งรถกู้ภัย รถพยาบาล รถตำรวจมากันก่อนหน้านี้แล้ว คนละแวกนั้นมายืนมุงดู พูดคุยสนทนาต่างๆนาๆถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จนพี่หนุ่มได้เจอกับลูกน้องที่โทรมาบอก เขาบอกว่า
“ไอ้ไผ่ ไอ้เขียว ไอ้กบ มันออกมากินเหล้ากัน แต่ไปทำอีท่าไหนไม่รู้ โดนวัยรุ่นเจ้าถิ่นรุมตี ผมจึงรีบมาดูพวกมัน แต่คนที่จะเล่าเรื่องนี้ได้ดีที่สุดก็คือไอ้กบ ที่ตอนนี้กู้ภัยพามันไปส่งที่โรงพยาบาลแล้ว ส่วนไอ้ไผ่กับไอ้เขียว ยังหาตัวไม่เจอ”
พี่หนุ่มจึงสอบถามคนละแวกนั้น มีพยานที่เห็นเหตุการณ์เล่าว่าตอนนั้นประมาณตี 3 ครึ่ง กำลังจะจัดเตรียมทำกับข้าวไปขายตอนเช้า เห็นผู้ชาย 2 คน มีเลือดไหลเปรอะเต็มเนื้อเต็มตัว เหมือนกำลังวิ่งหนีใครมา ไปทางด้านหลังตรงแม่น้ำเจ้าพระยา
ด้วยความตกใจ เห็นท่าไม่ดี จึงรีบให้แฟนโทรศัพท์แจ้งตำรวจ รออยู่สักพักทั้งรถตำรวจ ทั้งรถกู้ภัย และรถพยาบาลก็มาถึงที่เกิดเหตุ เจ้าหน้าที่กู้ภัยช่วยกันงมหาเจ้าไผ่กับเจ้าเขียวในแม่น้ำ แต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ
ยังมีชาวบ้านอีกคนที่เห็นเหตุการณ์เล่าว่า ระหว่างที่เจ้าไผ่กับเจ้าเขียว กำลังวิ่งไปทางแม่น้ำเจ้าพระยา เค้าเห็นว่ามีผู้หญิงคนนึงวิ่งตามมาด้วย ลักษณะการแต่งกายดูแปลกๆ แต่งตัวเหมือนคนโบราณ ผมยาวปกคลุมใบหน้า ทำให้เห็นหน้าไม่ชัด เลยคิดว่าผัวเมียคงทะเลาะกัน
ชาวบ้านรายนี้ยังยืนยันกับตำรวจอีกว่าเห็นวิ่งกันมา 3 คน แต่เมื่อมาดูกล้องวงจรปิดตามจุดต่างๆ กลับพบว่ามีแค่เจ้าไผ่กับเจ้าเขียวเท่านั้น ที่วิ่งกระเซอะกระเซิงเหมือนคนเสียสติ
จนผ่านไป 3 วัน มีคนมาแจ้งว่า พบศพลอยขึ้นอืดมาติดอยู่ตรงศาลาท่าน้ำ ตรงบ้านของข้าราชการที่พี่หนุ่มกำลังรื้อถอน ลักษณะศพเจ้าไผ่กับเจ้าเขียว คือดวงตาเบิกโพลงทั้งคู่ เหมือนกลัวอะไรสุดขีด หลังจากที่ชันสูตรศพก็พบว่ามีบาดแผลตามลำตัว ตามใบหน้า และที่สำคัญ ทั้งคู่คอหัก! แต่ตำรวจสันนิษฐานว่า เจ้าไผ่กับเจ้าเขียว คงวิ่งหนีตายจากกลุ่มวัยรุ่นมา
แต่มันก็น่าแปลกว่าทำไมศพของเจ้าไผ่กับเจ้าเขียวถึงได้ลอยมาติดอยู่ตรงศาลาท่าน้ำของบ้านที่พวกมันไปทำงานพอดีล่ะ มันอาจจะบังเอิญ หรืออาถรรพ์ก็ไม่อาจทราบได้
หลังจากพักรักษาตัวอยู่หลายวัน อาการเจ้ากบก็เริ่มดีขึ้น จึงได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้พี่หนุ่มฟัง เรื่องมีอยู่ว่า…
“วันนั้น ไอ้เขียว ไอ้ไผ่และผม ได้ออกไปหาร้านนั่งกินเหล้ากันซึ่งห่างจากบ้านทรงไทยไปประมาณ 1 กิโล เป็นร้านเพิงๆเล็กๆมีโต๊ะม้าหินให้นั่งกินเหล้า ส่วนพวกที่เหลือไม่ได้มาด้วย พวกผมนั่งกินจนร้านปิดตอนเที่ยงคืน จนเจ้าของร้านปิดร้านกลับบ้านไปก่อน เหลือแต่พวกผมก็ยังนั่งกินกันต่อ
ตอนนั้นเวลาปาเข้าไปตี 3 กว่า อยู่ๆก็กลุ่มวัยรุ่นผู้ชายไม่รู้มาจากไหน ขี่รถมอเตอร์ไซค์มา 4 คัน มีคนซ้อนท้ายมาด้วย รวม ๆ แล้วน่าจะประมาณ 7-8 คน ขี่รถมาวนดูตรงร้านที่ผมนั่งกินกันอยู่หลายรอบ สักพักพวกมันก็จอดรถ แล้วก็ถามพวกผมว่า “พวกมึงข้องใจไรป่าว เห็นมองหน้าพวกกู” ทั้งที่พวกผมไม่เคยมีเรื่องกับกลุ่มวัยรุ่นกลุ่มนี้เลย คือพูดง่ายๆว่าพวกมันพยายามจะมาหาเรื่องกลุ่มพวกผม
สถานการณ์เริ่มจะแย่ลง ผมดึงแขนไอ้ไผ่กับไอ้เขียวที่กำลังเมาได้ที่ ให้รีบกลับ ส่วนผมเป็นสายกินกับแกร้ม ดื่มไปนิดเดียว จึงยังมีสติอยู่ แต่ไอ้ไผ่กับไอ้เขียวมันไม่ยอมกลับ ตอนนั้นผมใจคอไม่ดีแล้ว รู้เลยว่าจะต้องเกิดเรื่องขึ้นแน่ ๆ
กระทั่งกลุ่มวัยรุ่นได้เดินปรี่เข้ามา แล้วก็มีวัยรุ่นคนนึงเข้ามากระชากคอเสื้อไอ้ไผ่ ไอ้ไผ่มันก็เลยสวนกลับไปหมัดนึง จนเหตุการณ์ชุลมุนมาก พวกมันมีทั้งมีด มีทั้งเหล็กแปบ ไม่รู้ว่าพวกมันเอามาตอนไหน
ผมคิดว่าผมคงไม่รอดแน่ ตอนนั้นสิ่งเดียวที่ผมมีคือพระที่ห้อยคอ ผมภาวนาขออำนาจพุทธคุณให้ท่านช่วยผมรอดจากความตายครั้งนี้ด้วยเถิด หากรอดชีวิตกลับไป ผมจะขอบวชแบบไม่มีกำหนดสึก
พอนึกเสร็จเท่านั้นแหละ อยู่ๆก็มีวัตถุแข็งๆฟาดมาที่หัวผมอย่างจัง ตามมาด้วยทั้งโดนเตะโดนต่อย โดนแทงที่ลำตัว 1 แผล จนผมล้มฟุบลงไปกองกับพื้น แต่ผมยังรู้สึกตัวอยู่ แต่ต้องทำเป็นแกล้งตาย ไม่กล้ากระดุกกระดิก จนพวกมันคิดว่าผมตายแล้วจริงๆ พวกมันจึงหยุด แล้วเปลี่ยนไปวิ่งไล่ตามไอ้ไผ่กับไอ้เขียวไปแทน
ตอนนั้นเวลาประมาณตี 4 พอผมเห็นว่าพวกมันไปกันหมดแล้ว จึงพยายามประคับประคองสติ ลากสังขารของตัวเองที่เต็มไปด้วยเลือดออกมาจากจุดเกิดเหตุ โชคดีที่มีชาวบ้านแถวนั้น ที่กำลังจะไปขายของผ่านมาพอดี เข้ามาช่วยผม แล้วก็โทรแจ้งตำรวจ เรียกรถพยาบาล
หลังจากนั้นไม่นาน ตำรวจก็ตามจับแก๊งวัยรุ่นได้ทั้ง 8 คน แต่มีอยู่ 4 คนเล่าให้ฟังว่า ระหว่างที่เจ้าไผ่กับเจ้าเขียวกำลังวิ่งหนีพวกมัน จังหวะนั้นพวกมันเห็นผู้หญิงคนนึง แต่งชุดไทยโบราณ ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกำลังเรียกชื่อคนใดคนหนึ่ง ไม่เจ้าไผ่ ก็เจ้าเขียวนี่แหละ
ซึ่งขณะนั้นพวกมันคิดว่าคงเป็นเมียของคนใดคนหนึ่ง แล้วเจ้าไผ่กับเจ้าเขียวก็รีบวิ่งเข้าไปหาหญิงสาวคนนั้นเหมือนจะให้ช่วย พวกมันก็ไม่ลดละ วิ่งตามจนเกือบจะถึงตัวหญิงสาวคนนั้น
แต่แล้วพวกมันก็ต้องผงะ เพราะหญิงสาวที่เห็นอยู่ตรงหน้านั้น เธอใบหน้าของเธอบิดเบี้ยวไปข้างนึง เหมือนโดนกระแทกกับอะไรอย่างรุนแรง ในตามีแต่ลูกตาดำ ทั้ง 4 คนเห็นเหมือนกัน ด้วยความตกใจสุดขีด เลยหนีกันไปคนละทิศคนละทาง แต่ก็แปลกใจว่าทำไมสองคนนั้น คือเจ้าไผ่กับเจ้าเขียวถึงไม่หนี
หลังจากเหตุการณ์นี้ พี่หนุ่มจึงทำการยุติรื้อบ้านโบราณ 100 ปี ทันที หลังจากนั้นก็มีอีกผู้รับเหมาอีกหลายรายเข้ามาทำการรื้อบ้าน แต่ก็ไม่สำเร็จ เพราะว่ามักจะมีเหตุการณ์แปลกๆประหลาดๆเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง
นับตั้งแต่นั้นมาชีวิตฐานะความเป็นอยู่ของพี่หนุ่มแย่ลงเรื่อยๆ จากที่แต่ก่อนมีฐานะร่ำรวย บ้านพี่หนุ่มกำลังจะโดนยึด หนี้สินประดังเข้ามา ใช้ชีวิตกันอย่างลำบาก ลูกน้องก็พากันลาออกหมด ส่วนอีกคนที่รอดตาย คือเจ้ากบ ทุกวันนี้บวชเป็นพระไม่ยอมสึกเลย
ส่วนลูกชายคนเล็กของพี่หนุ่มมักจะมีอาการเพ้ออยู่บ่อยๆ คือมองอะไรก็เห็นเป็นงูไปหมด และชอบกรี๊ดตอนกลางคืนแบบไม่มีสาเหตุ
แล้วเมื่อเร็วๆนี้น้องชายพี่หนุ่มก็ขับรถชนต้นไม้ จนรถพังยับแต่คนปลอดภัย น้องพี่หนุ่มบอกว่าระหว่างที่ขับรถขับมาเรื่อยๆ จู่ ๆ มีผู้หญิงวิ่งตัดหน้ารถ ทำให้รถเสียหลักเลยไปชนกับต้นไม้
คงเพราะเรื่องราวเลวร้ายต่าง ๆ ที่ประสบพบเจอมา มันเลยทำให้พี่หนุ่มมักจะมีอาการเหมือนประสาทหลอนอยู่บ่อยๆ ชอบบอกว่ามีวิญญาณตามมา บางทีก็รู้ตัว พูดรู้เรื่อง บางทีก็ร้องไห้แบบไม่มีสาเหตุ เหลือแต่ภรรยาพี่หนุ่มและลูกชายคนโต น้องสะใภ้กับหลานตัวเล็กๆอีก 2 คน ที่ยังไม่เป็นอะไร ทุกวันนี้ภรรยาพี่หนุ่มต้องกลายเป็นเสาหลักของครอบครัวโดยปริยาย
แฟนพี่หนุ่มยังบอกอีกว่าช่วงที่เกิดเรื่อง ตอนนั้นลูกชายคนเล็กมักมีอาการแปลกๆ ชอบพูดแปลก ๆ เหมือนเป็นคนละคน จนกุมารของพี่หนุ่มที่เลี้ยงไว้นั่นเองมาเข้าฝัน ถึงได้รู้ว่ากุมารพยายามมาสื่อผ่านทางลูกชาย แต่ไม่มีใครเชื่อ และที่ลูกชายบอกว่า ตาไม่ให้เข้าบ้าน คิดว่าน่าจะเป็นศาลตายายที่อยู่ตรงริมรั้ว
โชคยังดีที่พี่หนุ่มยังดวงแข็ง แต่ที่โชคร้ายก็คือการเป็นคนประสาทหลอน คุ้มดีคุ้มร้ายไปเสียแล้ว แม้จะไปรักษาที่โรงพยาบาลไหน แต่อาการของพี่หนุ่มก็ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย เห็นแล้วก็รู้สึกสงสารและเวทนาเป็นแกอย่างยิ่ง
เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์และบทเรียนให้กับใครหลายๆคนได้เป็นอย่างดี ว่าหากเราจะไปที่ไหนหรือทำอะไรก็ควรบอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทาง ให้ความเคารพต่อเจ้าของสถานที่นั้น ๆ ด้วย ไม่ใช่ไปลบหลู่ หรืออยากลองดี ยิ่งเจองูลักษณะแบบนี้มั่นใจได้เลยว่าไม่ใช่งูธรรมดาแน่นอน เพราะอาจเป็นเจ้าที่จำแลงกลายเป็นงู ให้เห็นก็เป็นได้
เค้าถึงบอกว่าให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัว พอพี่หนุ่มเล่าเรื่องนี้ให้ดิฉันและคุณแม่ฟังจนจบ
ดิฉันจึงขออนุญาตจากพี่หนุ่มขอนำเรื่องนี้ มาเล่าผ่านตัวอักษรให้ใครหลายๆคนได้อ่าน อาจจะเป็นประโยชน์ให้กับใครหลายๆคนไม่มากก็น้อย….
ขอบคุณที่มา กระทู้เรื่องสยองขวัญ พันทิปดอทคอม
เรียบเรียง คลังหลอน