อสุรฆาต ประสบการณ์หลอนๆกับเกาะที่ห่างไกล ตอนจบ..

อสุรฆาตตอนจบ

“หลานลุงเอง”

คำพูดนั้นทำผมสะดุ้งรีบหันขวับไปทางลุง สายตาลุงดูเหม่อลอยแววตาเศร้ามากครับ แล้วลุงแกก็เริ่มเล่าให้ฟังว่า…

“เรื่องมันเกิดเมื่อสิบปีที่แล้ว ลุงชอบวิชาคาถาอาคม ชอบสายนี้มาตั้งแต่สมัยวัยรุ่น เมื่อก่อนลุงอยู่เขมรเลยไปฝากตัวเป็นศิษย์อาจารย์ท่านหนึ่ง แต่แล้วมีไอ้หมอผีชั่วมันคิดลองดีเลยเล่นคาถาใส่อาจารย์ลุง ลุงเลยเล่นคาถาช่วยอาจารย์ มันบาดเจ็บเจียนตาย หนีเข้าป่าไป 

จนพักหลังๆ ลุงได้ยินว่ามันกลับลงมาในหมู่บ้านและตั้งตนเปิดสำนัก มันมาคราวนี้แกร่งกล้าด้วยคาถาอาคม มันมาปิดบัญชีกับอาจารย์ของลถง แต่ด้วยมันแข็งกว่า อาจารย์ลุงเป็นฝ่ายแพ้และเป็นศพลอยอยู่ในทะเล ลูกศิษย์ต่างพากันกลัวเลยไปเข้ากับมันหมด เหลือแต่ลุงที่ยังไม่ยอมอ่อนข้อ มันเลยให้คนไปจับหลานสาวลุง มันขืนใจหลานสาวลุง หลังจากนั้นมันฆ่าทิ้งแล้วสะกดวิญญานมาเป็นบริวาร” ถึงตอนนี้ผมน้ำตาคลอเบ้าเลยครับ นึกสงสารอย่างมาก 

ขอแทรกนอดนึงนะครับพอดีนึกขึ้นได้ว่าลืมเล่าไปช่วงนึง คือตอนที่ลุงสนถึงสาเหตุที่ว่าทำไมพวกเราถึงโดนเพราะพวกเราดันไปทักเข้าอะครับ จริงๆเค้ากะจะเล่นพวกเราตอนเราลงไปทะเลแต่ลุงสนแกมาเห็นก่อนเลยรอดไปครับ คราวนี้เลยยกแก๊งกันมาเล่นงานเราเลย 

ต่อนะครับ  ลุงสนบอกว่าตัวแกเองชีวิตไม่เหลืออะไรไม่มีญาติพี่น้องที่ไหน เลยมาสมัครทำงานบนเกาะนี้  แต่ทว่ายังไม่พ้นเงื้อมือหมอผีเลวทรามที่จ้องแต่จะใช้วิชาต่ำๆเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง โดยปกติชาวบ้านแถวนี้จะรู้กันดีเมื่อถึงแรมอสุรฆาตเมื่อไหร่จะรีบปิดบ้านอยู่แต่ในบ้านกันไม่มีใครออกไปไหนหรอก 

ผมนั่งสนทนากับลุงสักพัก เวลานั้นก็เริ่มโพล้เพล้แล้วแสงอาทิตย์เริ่มลับขอบทะเล ความมืดเริ่มคืบคลานเข้าปกคลุมมาทุกขณะ ลุงบอกว่าจะพาพวกเราไปไหว้ศาลตายาย เพราะไม่รู้ว่ามันจะมาไม้ใหนอีกยิ่งผมไปประทะกับเหล่าบริวารของพวกมันมาด้วย ผมเลยไปตามพี่ๆกับเพื่อนผม พากันไปที่ศาลตายายหลังเล็กๆซึ่งอยุแถวบ้านพักหลังใหม่ของผม

ลุงสนกำธูป 15 ดอก พลางจุดธูปสักพักไฟก็ลุกไหม้บริเวณปลายธูปควันธูปลอยตลบอบอวน ฝรั่งที่เดินผ่านไปผ่านมาพากันเหลียวมองคงคิดว่าพวกยูทำอะไรกัน ลุงสนแกก็นำสวดขอให้ตากับยายคุ้มครองปกป้องพวกผม สวดเสร็จก็ปักลงในกระถาง พวกผมก็ช่วยกันปัดกวาดเช็ดถูศาลตายายเนื่องจากศาลมีสภาพเก่ามาก

พอหลังจากนั้นลุงสนแกก็พูดกับพวกเราว่า “ไม่ต้องเป็นห่วงนะ ไม่มีใครมาทำอะไรพวกเราได้หรอกตากับยายท่านจะคุ้มครอง คงไม่มีอะไรแล้วละ” ลุงสนพูดจบก็หันมายิ้มให้พวกเราก่อนจะขอตัวกลับที่พักของแก 

พวกเราสบายใจกันขึ้นมากครับ พากันไปกินข้าวแล้วก็นั่งเล่นอยู่บนชานบ้าน มองสาวฝรั่งเดินผ่านไปผ่านมาอย่างเพลินตาเลยทีเดียว ตอนนี้กำลังใจทุกคนดีขึ้นมากครับ ไม่มีใครพูดถึงเรื่องเมื่อคืนเลย ผมนั่งอยู่เก้าอี้ตรงชานบ้าน ในใจก็ยังนึกถึงผู้หญิงคนนั้น อดสงสารไม่ได้ 

พอบรรยากาศเริ่มดึก แขกที่มาพักก็เริ่มปิดบ้านกันแล้วครับ แต่มีป้าคนนึงสามีแกเป็นชาวฝรั่ง  แกพักอยู่แถวๆบ้านหลังเก่าที่ผมพักแกเดินผ่านมา ก็หันมายิ้มให้กับพวกผมแล้วทักขึ้นว่า 

“คืนนี้อย่าแกล้งขังเพื่อนไว้นอกบ้านอีกละ สงสารเห็นเคาะทั้งคืนเลย” 

สิ้นสุดคำทักทายของเจ๊วัย 50 ผมนี่สะดุ้งเลยแล้วก็หันมามองหน้าพวกพี่ๆกับเพื่อนผม 

“ครับๆไม่แกล้งแล้วครับ” พี่ซีบอกพลางยิ้มๆ เจ๊แกก็ยิ้มๆแล้วเดินไปกับสามีฝรั่งของแก 

“เชี่ยเจ๊ยิ้มจะพูดทำไมวะ คนยิ่งไม่อยากนึกถึง” พี่ซีหันมาพูดอย่างหัวเสียเลยครับ พวกผมก็เออ ออ กัน ว่าไม่น่าพูดเลย พวกผมเลยเข้าบ้านกันเลยครับไปตั้งวงกันในบ้านแทน เปิดแอร์เย็นสบาย รู้ตัวอีกทีก็ดึกมากแล้ว สักพักพวกเราทุกคนได้ยินเสียงคนเดินขึ้นบันได กึกๆๆๆๆ เสียงลงเท้าเน้นทุกจังหวะ พวกเรามองหน้ากันเชิงว่าใครวะ ผมรีบคว้าตะกรุดกับเบี้ยแก้เลยครับ เตรียมวิ่งไปแขวนไว้ที่ประตู 

“ป๊อกๆๆ” 

เสียงเคาะอีกแล้ว ผมรีบแขวนไว้ตรงลูกบิดทันทีเลยครับ ทุกคนเริ่มมองหน้ากัน 

“เอาอีกแล้วหรอวะ” พี่อีเริ่มหงุดหงิด 

ป๊อกๆๆ เสียงเคาะดังขึ้นอีก ผมยืนอยู่หน้าประตูเลยครับ แต่กลับได้ยินเสียงเล็ดลอดเข้ามา 

“หนุ่มเอ้ยยนี่ลุงเอง” ผมหันไปมองหน้ากลุ่มของผมเชิงว่าเอาไงดี 

“เห้ยคงเป็นลุงสนมั้ง เปิดดีไหม” ไอ้เอถามพวกพี่ๆส่วนไอ้บียืนหลบหลังพี่ซีครับ 

“แล้วถ้าไม่ใช่ลุงสนล้ะ”ผมหันกลับไปถามแล้วรีบหันมามองที่ประตูต่อ 

“ไอ้หนุ่มนี่ลุงเอง” 

ป๊อกๆๆ เสียงเคาะดังขึ้นอีก ผมเลยหันไปบอกให้พวกพี่ผมแกล้งคุยถ่วงไว้ก่อนว่ามีอะไร ส่วนตัวผมเดินอ้อมไปทางห้องนอนซึ่งเป็นกระจกบานเลื่อน พี่ผมพยายามห้ามว่าอย่าออกไปเลย คือผมจะออกไปแอบดูว่าเป็นลุงสนจริงไหมๆ 

ผมสวดคาถาพระพุทธเจ้าชนะมารไว้คุ้มครองตัวเผื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน ผมค่อยๆแง้มประตูออกให้เบาที่สุดในใจนี่เต้นระรัวเลยครับ คิดในใจ “เอาวะเป็นไงเป็นกัน ถ้าเป็นผีผมสู้ยิบตา ถ้าเป็นไอ้พวกหมอผีเชี่ยๆพ่อจะขอหวดให้หัวทิ่มเลยผีๆก็ผีคนก็คนๆวะ” 

ผมค่อยปีนข้ามที่กั้นซึ่งเป็นเหมือนระเบียงไว้ใช้ชมวิวเห็นวิวทะเล ผมค่อยๆปีนลงมาจนเท้าแตะพื้นท่ามกลางสายตาของพี่ผมที่มองด้วยความกังวล ผมเจอไม้ท่อนนึงพอดีคงโดนลมพัดหักลงมา ไม้ขนาดพอดีมือ ผมคว้าหมับ พลางเป่าคาถาที่ไว้ใช้เสกพวกหวายที่ไว้ใช้ตีผี ผมได้คาถานี้มาตอนเดินป่าแถวแม่ฮ่องสอน เจ้าหน้าที่ป่าไม้เค้ามักใช้เสกปืนไว้ใช้ยิงเผื่อเจอผีป่าหรือพวกเสือสมิงอะครับ (แต่ผมไม่ใช่หมอผีนะครับแต่เรื่องพวกนี้ชอบวิ่งมาหาตัว) 

ผมค่อยๆย่องไปมองที่มุมบ้าน เห็นเป็นลุงสนยืนเคาะอยู่ แต่ผมไม่ค่อยแน่ใจว่าเป็นลุงสนจริงหรือเปล่า ผมรีบสาวเท้าวิ่งเข้าหาเลยครับ ลุงสนแกตกใจเห็นผมถือไม้วิ่งมา 

“เห้ยๆๆ ลุงเอง คนไม่ใช่โจร” ลุงแกรีบตะโกนบอกเมื่อเห็นผมกระโดดข้ามรั้วหน้าบ้านเข้ามา 

“โจรผมไม่กลัวหรอก” ผมยืนห่างจากลุงแค่ไม่กี่ก้าว ใจเต้นตึกตัก มือกำไม้แน่นเลยครับ พวกพี่ผมก็เปิดประตูในมือกำตะกรุดของผมไว้แน่นเลย ลุงสนหัวเราะเบาๆ 

“นี่ลุงเอง ลุงแค่จะเอาของมาให้” 

ลุงสนแกหิ้วย่ามขาวมาด้วยอะครับเป็นพวกตะกรุด เก่าๆหน่อย ผมว่าคนแน่ๆเลยเชิญลุงเข้าห้อง ลุงแกก็บอกไม่เป็นไรลุงมาแปปเดียว แกก็ยื่นให้ผม “ลุงเห็นว่าพรุ่งนี้พวกหนุ่มๆก็จะกลับกันแล้วเลยแวะเอาของมาให้จะได้ปลอดภัยกัน” 

พวกผมก็ยกมือขอบคุณแก แกก็ยกมือรับไหว้ ยังไม่ทันที่ลุงจะหันหลังกลับ จู่ๆลมพัดแบบแรงมาก เสียงดังวูบบบบ วูบบบบบ ลุงสนหันขึ้นมองบนฟ้าซึ่งเริ่มแดงก่ำเหมือนเมื่อคืน แว้กๆๆ เสียงนกเริ่มแตกตื่น บินหนีออกจากรังพลันส่งเสียงร้อง 

“รีบเข้าบ้านเร็ว!” 

ไม่ต้องรอให้ลุงสั่งซ้ำสองพวกผมรีบเข้าบ้านอย่างรวดเร็ว เหลือแต่ลุงสนที่ยังยืนจับจ้องไปยังท้องฟ้า พร้อมกับส่ายหัวเบาๆ ลุงแกเดินเข้ามาในบ้านพร้อมกับปิดประตูล็อคกลอน พลางยกมือสวดพรึมพำพร้อมกับเป่าไปที่ประตู พวกผมมารวมกันอยู่กลางบ้าน 

“มันมาอีกแล้วหรอลุง” พวกผมรัวคำถามใส่ลุงสนที่ยังยืนอยู่ตรงประตู 

“ใช่ครั้งนี้มันมาหนักกว่าเดิม” พวกผมถึงกับเซ็งกันเลยครับ ตกลงนี่พวกเรามาเที่ยวหรือมาผจญกับพวกผีว้เนี่ย 

“แต่พวกหนุ่มไม่ต้องกังวลมันทำอะไรพวกเราไม่ได้หรอก ตากับยายท่านปกป้องอยู่ ลุงขออยู่ที่นี่สักพักนะพอสงบลุงจะกลับ” 

“ลุงค้างกับพวกผมเลยก็ได้ครับ ไม่ต้องกลับหรอกลุง” พวกผมรู้สึกอุ่นใจครับถ้าลุงสนแกอยู่ เพราะแกก็มีวิชาอยู่พอตัว 

“หึหึหึ!”

เสียงฟ้าร้องแต่คล้ายเสียงหัวเราะดังขึ้นอีกรอบ ปึงๆๆ เสียงเหมือนอะไรกระแทกดังขึ้น แต่ไม่ใด้มาจากบ้านผม เสียงเหมือนไกลออกไป จับทิศทางดูดีๆเสียงดังมาจากศาลตากับยายครับ ปุกปักๆๆๆ เสียงเหมือนพลุครับดังมาก ผมเห็นวัยรุ่นฝรั่งสองคนที่อยู่บ้านถัดไปเปิดประตูออกมาดู แล้วก็ผลุบกลับเข้าไป 

เสียงยังดังต่อเนื่อง ฝนเริ่มโหมกระหน่ำลงมาแบบไม่ขาดสายสลับกับเสียงฟ้าร้อง แต่ครั้งนี้ไม่มีเสียงหัวเราะของเธอคนนั้น ลมพัดแรงมากครับ ลุงแกก็นั่งสมาธิ ผมก็ได้แต่นั่งสวดมนตร์ไปเรื่อยๆ จนมาสวดบทพระไตรปิฏก ผมเสิร์ทเน็ตในโทรศัพดูเอาอะครับ ในใจก็คิดขอให้สิ่งศักสิทธิ์ บุญบารมีของหลวงพ่อที่ผมนับถือ ช่วยให้พวกผมปลอดภัย รอดพ้นจากอัตราย 

ครึ้มมมมมมมม ครึ้มมมม เสียงฟ้าร้องดังขึ้นอีกรอบแต่ครั้งนี้เสียงไม่เหมือนที่ผมได้ยินเมื่อคืน ผมเริ่มสวดแผ่เมตตา และพูดขึ้นว่า 

“บุญใดๆที่ผมเคยได้กระทำทั้งในชาติก่อนและชาตินี้ผมขออุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรรวมถึงสัมภเวสีที่ตกทุกได้ยาก ให้ผลบุญกุศลที่ผมได้อุทิศให้เป็นแสงสว่างนำทางไปสู่ความพ้นทุกข์พ้นจากบ่วงกรรมที่เหนี่ยวรั้ง อย่าได้จองเวรจองกรรมกันต่อไปบุญใดๆที่ผมได้อุทิศให้ของให้พวกท่านได้รับด้วยเถิด”

สิ้นสุดคำพูดผมก็ยกมือขึ้นสาธุ ผ่านไปสักพัก เสียงฟ้าร้องแผดขึ้นดังมากกกกก หลังจากนั้นฝนเริ่มซาลง  ลุงสนลืมตาขึ้นพลางพูดว่า “พวกเค้าไปดีแล้วล้ะ” ผมหันมายิ้ม ร่างกายรู้สึกล้าเต็มทน จัดว่าเพลียเลยครับเพราะอะไรก็ไม่ทราบ ฝนเริ่มหยุด เสียงน้ำกระทบหลังคาเริ่มเบาลง 

ผมหลับไปตอนไหนก็ไม่ทราบ พวกพี่ๆบอกว่าพอผมสวดมนตร์เสร็จได้สักพักก็หลับไปเลย คราวนี้ฝันอีกฝันว่า เห็นเธอคนเดินยืนอยู่ตรงสะพานที่เดิม เธอหันมาพูดกับผมประมานว่า 

“ขอบคุณนะที่ช่วยพวกเรา”

และหลังจากนั้นผมเห็นเงามัวๆยืนอยู่ข้างหลังเธอเต็มไปหมด มันไม่ค่อยชัดเท่าไหร่แต่ผมจำใบหน้าของเธอได้ แววตาของเธอไม่เศร้าหมองแล้วครับ ผมรับรู้ได้ถึงความอิ่มใจสุขใจ รู้สึกสบายใจแบบบอกไม่ถูก

“อย่าลืม สัญญานะ” 

เสียงนั้นลอยมาเข้าหูผมครั้งสุดท้ายก่อนผมจะค่อยๆลืมตาขึ้น เสียงคลื่นซัดกระซบฝั่ง ไอแดดที่เริ่มส่องเข้ามารับรู้ได้ถึงความรู้สึกร้อนนิดๆ รับรู้ถึงลมที่พัดเข้ามาทางหน้าต่างกระทบตัว มันช่างเย็นสบายจริง ๆ  

ผมค่อยๆลุกขึ้นเห็นบีนั่งเล่นกีตาร์อยุ่กับเอ ส่วนพี่ๆออกไปหามุมถ่ายรูป ผมมองนาฬิกา เวลาบอกประมาณ 10 โมง 

“ตื่นล้ะหรอวะ จะปลุกอยู่พอดีเรือจะมารับ 11 โมง” 

ผมกระเทิบตัวหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูนาฬิกาแต่ เจอมิสคอลที่มีชื่อว่าแม่โทรมาประมาณ 6 สายมั้งครับถ้าจำไม่ผิด ผมเลยลุกขึ้นอาบน้ำอาบท่าเก็บของ แล้วโทรกลับไปหาแม่ แม่บอกว่าเป็นห่วงผมแปลกๆเลยโทรมา 

“ลูกโอเคไหม ไม่เป็นอะไรใช่ไหมแม่แค่เป็นห่วงเลยโทรมาหา”  คำพูดของแม่ในครั้งนี้ทำให้ผมชื่นใจแปลกๆ ผมไม่เคยคิดถึงแม่ขนาดนี้เลย อยากกลับไปกอดท่านมากๆ 

“ผมไม่เป็นไรครับแม่ กลับไปขอกอดแม่หน่อยนะ” ผมอ้อนแม่ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ก็จำไม่ได้เหมือนกันแต่ครั้งนี้มันชื่นใจกว่าครั้งไหนๆ 

พอคุยกับแม่เสร็จพวกเราก็ขนของไปรอที่ท่าเรือ ก่อนกลับพวกเราไม่ลืมที่จะไปลาและขอบคุนลุงสนและไม่ลืมที่จะยกมือไหว้ศาลตายาย เพราะตอนเรามาเราไม่ได้ยกมือไหว้ท่าน 

เรือเริ่มเข้าเทียบท่า พวกเราก็ขนของลงเรือ จนเรือกลับถึงฝั่ง พวกเราเลยแวะวัดวัดนึงที่เราผ่าน ก็ถวายสังฆทานกันครับ ก่อนกลับหลวงพ่อท่านก็พูดกับเราประโยคนึงแต่สายตามองมาที่ผม 

“บุญกุศลที่โยมทำน่ะยิ่งใหญ่มากนะ ขอให้พวกโยมเดินทางกลับอย่างปลอดภัยนะ” แล้วพวกเราก็กราบลาท่านครับ 

ทริปครั้งนี้มีเรื่องเล่ามากมายครับ จนผมกลายเป็นเหมือนหมอผีประจำกลุ่มไปโดยปริยาย เพื่อนเจออะไรจะมาบอกตลอด เพื่อนๆที่อ่านบางท่านอาจจะคิดว่า เวอร์ไปไหม ผมคงไม่สามารถบังครับให้ท่านเชื่อได้ วิทยาศาสตร์สามารถอธิบายได้ทุกสิ่ง แต่เชื่อเถอะครับว่าไม่ใช่ทุกเรื่อง ขนาดผมเรียนด้านวิทยาศาสตร์ผมยังมีข้อโต้แย้งมากมายกับประโยคนี้ 

ทุกท่านอยากรู้ไหมครับว่าผมสัญญาอะไรกับพวกเค้าไว้ เมื่อกลับถึงบ้าน ผมบอกแม่ว่าผมอยากบวชอุปสมบท ให้กับพ่อแม่แล้วก็เจ้ากรรมนายเวร รวมถึงอุทิศให้กับพวกเค้าด้วยครับ พ่อกับแม่ก็ตกใจเล็กน้อยแต่ก็ไม่ขัดข้อง 

จนได้ฤกษ์ยามพอถึงวันบวชพระ ผมก้าวเดินออกจากโบสถ์ สายตาเห็นญาติพี่น้องรวมถึงเพื่อนฝูงที่มาร่วมงานบุญยืนกันอยู่ข้างหน้าเพื่อรอรับเหรียญทาน สายตาผมสังเกตุเห็นเธอครับ เธอยืนอยู่ด้านหลังสุด เธอยิ้มมาที่ผม ผมเลยยิ้มกลับพลางคิดในใจ “อาตมาทำตามสัญญาที่ให้ไว้แล้วนะ ไปสู่สุขตินะโยมทั้งหลาย” เรื่องก็จบลงเพียงเท่านี้ครับ   

ขอบคุณที่มาของเรื่อง กระทู้ผีพันทิป 

Previous articleอสุรฆาต  ประสบการณ์หลอนๆกับเกาะที่ห่างไกล ตอน2
Next articleตามยันบ้าน นั่งอยู่ไฟอยู่ใต้เถียงนา ได้ยินเสียง ลำดวน ๆ