“คนอยู่ส่วนคนผีอยู่ส่วนผีซิวะ!! เดี๋ยวกูแช่งไม่ให้ผุดไม่ให้เกิดเลยไอ้สัส!!”
สิ้นเสียงผมเท่านั้นแหละ ไฟดับทันทีครับ พรึ่บบ ทีนี้บ้านเบิ้นนี่มืดหมด ทุกคนรีบเปิดไฟจากหน้าจอโทรศัพท์ทันทีครับ ตอนนี้ลมพัดแรงกว่าเดิม ฟ้าร้องแรงกว่าเดิม แล้วเสียงหัวเราะดังขึ้นอีกรอบ หน้าต่างนี่สั่นเลยครับ
หลังจากไฟดับ บรรยากาศเข้าสู่ความมืดมิด มีเพียงแค่แสงไฟจากโทรศัพแค่นั้น ทุกอย่างดูท่าจะแย่ลงไปอีกเมื่อไอ้บี ดันเป็นหอบกำเริบครับ ยาก็ไม่ได้เอามา พี่ทุกคนเลยรีบเข้าไปดู เพราะมันเริ่มหายใจไม่ทัน ต่างบอกให้หายใจลึกๆใจเย็นๆ ข้างนอกก็แย่ข้างในก็หนัก
จนผมนึกถึงคาถาต่างๆที่ลุงเคยสอนให้กับผม เพื่อเอาไว้ใช้ยามตกอยู่ในสถานการณ์ครับขัน ผมไม่คิดเลยว่าจะมีวันได้ใช้มัน เสียงเคาะประตูยังดังอยู่ตลอด เสียงข่วนกำแพงยังดังมาแบบไม่ขาดสาย ทุกคนกดดันมากครับไอ้บีเองก็แย่ เสียงหัวเราะดังมาเป็นพักๆๆ เสียงคลื่นที่ซาดกระทบฝั่งน่ากลัวกว่าเสียงคลื่นไหนที่ผมได้ยิน เพราะทุกครั้งเวลาคลื่นเงียบจะมีเสียง คนหัวเราะแหบๆบ้างใหญ่ๆบ้าง ลอยเข้ามาตลอด
“กูว่ารีบหนีเถอะว่ะไม่งั้นไอ้บีแย่แน่” พี่อีพูดขึ้น หน้าตาทุกคนเป็นกังวลชัดเจน
บียังนอนหายใจติดๆขัดๆ ผมรีบคุกเข่าลงกับพื้นพร้อมกับพนมมือหันหน้าไปทางประตู ผมรีบท่องคาถาบูชาพระรัตนตรัยก่อนทันที แต่ยังไม่ทันที่จะได้ขึ้นคาถาใดๆ ก็มีเสียงกรีดกระจกหน้าต่างบานเกร็ด เสียงแสบหูมากครับ กลุ่มของผมต่างพากันสบถด่าสวนกลับไปอย่างบ้าคลั่ง พร้อมกับปฐมพยาบาลไอ้บีไป ผมรีบเอามืออุดหูเลยครับ ตอนได้ยินเสียงนั้น ไม่มีใครกล้าเปิดม่านดูแม้แต่น้อยว่าต้นเสียงคืออะไร
ผมรีบดึงสติกลับมาทันทีครับ เริ่มขึ้นคาถา ป้องกันภัย 10 ทิศ ที่ว่า บูรพารัสมิง พระพุทธคุณนัง พอขึ้นเท่านั้นแหละ เสียงกรีดดังขึ้นกว่าเดิมครับ แถมถี่ขึ้นผมพยายามไม่สนใจนึกถึงพระรัตนตรัย สวดแข่งกับเสียง กลุ่มผมได้แต่พนมมือตาม ส่วนไอ้บีเริ่มมีทีท่าว่าดีขึ้นครับ
พอจบบท เสียงดังกว่าเดิมครับ ลมพัดเอาอะไรไม่รู้ตกใส่หลังคา เสียงดังตึม! ตอนแรกคิดว่าหลังคาคงพังแน่ๆแต่ไม่พังครับ ไม่จบเพียงเท่านั้นเหมือนพวกมันรู้ว่าผมกำลังจะทำอะไร มันยิ่งทวีคูณความรุนแรงขึ้น ทั้งเสียงหัวเราะทุกสรรพเสียงทุกสรรพสิ่งที่มันจะรบกวนผมได้มันทำหมดครับ เสียงทุบกำแพงจากนอกบ้านตึงๆๆ รอบบ้านเสียงดังไปหมด ทุกประสาทสัมผัสของผมตอนนี้ได้ยินเสียงอะไรไม่รู้เต็มไปหมด ผมพยายามตั้งสมาธิแล้วพูดขึ้น
“กลับไปในที่ของคุณเถอะ ผมไม่อยากทำร้ายใครไม่ว่าจะผีหรือคน”
แต่เหมือนคำพูดนั้นเป็นเพียงลมเปล่า พวกมันยังไม่หยุดแม้ผมจะพูดดีๆ ผมเลยขึ้นคาถาศักสิทธิ์ที่ผู้อ่านทุกท่านคงคุ้นเคยกันดีว่าด้วย “ชะยาสะนาคะตาพุทธา เชตะวามารังสะวาหะนัง ” ถึงตอนนี้ผู้อ่านคงอ๋อแล้วใช่ไหมครับว่าคือคาถาชินบัญชรนั่นเอง นั่นแหละครับพอผมว่าคาถานั้น
ทุกสรรพเสียงยิ่งทวีคูณมากกว่าเดิม รับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่างที่พยายามดิ้นรน ท่องไปได้กลางบทผมรู้สึกหนักอึ้งเลยครับ หนักไปหมดเหงื่อออกเวียนหัว ถึงตอนนี้ทุกอย่างดูคลี่คายลง ทุกโสตสัมผัสผมไม่ได้รู้สึกถึงเสียงที่อยูข้างนอกนั่น แต่ผมรู้สึกหนักบ่าหนักหลังหนักคอไปหมดครับ ผมพยายามสวดต่อไปจนจบคาถา จนเริ่มรู้สึกสบายขึ้น (ลืมบอกไปผมนับถือท้าวเวสสุวรรณน่ะครับ ที่หอพักผมจะมีบูชาไว้องค์นึง)
ทุกอย่างดูคลี่คายลงไปครับ พวกผมพากันปลอบไอ้บีว่า ทุกอย่างโอเคแล้ว ปลอดภัยว่าแล้วไม่มีอะไรแล้วมันก็นอนหอบแบบหมดสภาพอะครับ
ไอ้เอค่อยๆกระเทิบตัวไปแง้มม่านดู ถึงกับรีบเรียกให้ผมไปดูครับ สายตามองออกไปท้องฟ้าแดงก่ำไม่มีดวงดาวหรือแสงอะไรเลยแม้แต่น้อย ไฟจากสะพานหรือจากห้องพักอื่นๆก็ไม่มี แล้วสิ่งที่ทำให้ผมอึ้งหนักกว่าอีกคือ มีเหมือนไอหมอกหนาลอยปกคลุมทะเล เน้นว่าเฉพาะแถวหาดหน้าบ้านพักผมครับ ผมจึงปิดม่าน พวกพี่ๆก็ถามจะเอายังงัยกันต่อดี รีบหนีออกจากที่นี่ไหม ไปให้คนช่วย พี่ดีก็สวนกลับขึ้นมาว่า
“ใครจะเปิดให้เราวะ เดี๋ยวเค้าก็หาว่าเราบ้าอีก”
ผมเลยพูดขึ้นว่า “พวกเรารวมอยู่ที่นี่จะปลอดภัยกว่านะอย่าออกไปเลย อยู่ที่นี่พวกนั้นเข้ามาไม่ได้หรอก” ทุกคนต่างพากันถามผมว่ามันคืออะไร ผีหรอ แล้วทำไมมาทำแบบนี้มันต้องการอะไร คำถามรัวใส่ผมเป็นชุดๆ ผมเลยพูดขึ้นว่า
“ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามันต้องการอะไร พรุ่งนี้เราค่อยหาคำตอบไหม”
เวลาตอนนั้นตีสี่กว่าๆ พวกเรารู้สึกโล่งใจเพราะมันใกล้จะเช้าแล้ว แต่ความรู้สึกดีใจนั้นแทบพังลงไปเมื่อพวกมันกลับมาอีกคราวนี้ไม่เคาะแต่กระแทกเลย ตึง ตึง ตึง!! ทุกคนรีบกรูเข้ามารวมกันทันทีแต่ยังโชคดีที่ไอ้บีมันหลับไปแล้ว หลับลงได้ไงก้ไม่รู้
“มันเอาไม่เลิกจริงๆวะ”
พี่ซีพูดขึ้น พร้อมกับมองประตูที่แทบจะพังลงมาทุกครั้งเมื่อกระทบกับบางสิ่ง มีเสียงหัวเราะแบบผู้ชายดังเข้ามาอีก เสียงหัวเราะแบบสะใจอะไรสักอย่าง ผมเลยคุกเข่าลงอีกรอบ
คราวนี้สวดบทที่ค่อนข้างจะรุนแรงเลยครับ คือคาถาอัญเชิญท้าวเวสสุวรรณ กับ คาถาพยายม พอขึ้นบทสวดประตูเริ่มดังถี่ขึ้นปรานจะหลุดให้ได้ พอจบคาถาท้าวเวสเท่านั้นแหละครับ ไม่ต้องรอให้ขึ้นคาถาพยายม เสียงหายไปในทันที ทั้งลมที่ตอนแรกเริ่มจะพัดหนักขึ้นก็เงียบหายไป เสียงฟ้าร้องที่ดังกังวาลร้องเป็นครั้งสุดท้ายของคืนนั้น ผมรับรู้ได้ถึงบางอย่างที่เงียบสงบ
“ไปจริงๆสักที”
ผมพูดขึ้นเบาๆพร้อมกับลืมตา หันไปบอกทุกคนว่าพวกมันไปแล้วละ ไม่กล้ามาแล้ว ทุกคนถอนหายใจยาวๆ รับรู้ได้เลยว่าทุกคนโล่งอกเป็นอย่างมาก
พอเวลาใกล้รุ่งข่วงเช้ามืดทุกคนต่างพากันหลับไม่เป็นที่เป็นทางเลยครับ บางคนพิงกำแพงหลับหนุนตักกันหลับก็มี คงเหนื่อยหันมาทั้งคืน แต่ผมยังนั่งอยู่จนพระอาทิตย์ขึ้นจึงค่อยๆเอนหลังนอนหลับไป
พอหลังจากผมเอนหลับได้สักพักผมก็ฝันว่าตัวผมยืนอยู่ตรงสะพานไม้ที่ยื่นออกไปกลางทะเล ผมเห็นผู้หญิง ตาซะสวย ผิวขาวดูเปล่งปลั่ง ใส่เสื้อสีขาวคอกระเช้า นุ่งกระโปรงผ้าซิ่น การแต่งกายคล้ายๆคนแทบภาคอีสาน อายุถ้าให้เดาคงรุ่นๆเดียวกับพวกผมนี่แหละหน้า
ผมยืนจ้องได้สักครู่ เธอเริ่มหันมามองผมแบบช้าๆ เมื่อหันมาสบสายตาผม ผมรับรู้ได้ถึงสิ่งที่ดูหม่นหมองผิดกับหน้าตาเธออย่างสิ้นเชิง เธอยิ้มแห้งๆ พลางพูดภาษาอะไรสักอย่างที่ผมไม่คุ้นหู แต่ผมกลับเข้าใจทั้งๆที่ไม่ใช่ภาษาไทย ใจความประมาณว่า
“ขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจ”
ผมเลยถามกลับว่าเป็นใครมาจากไหน ขอโทษเรื่องอะไร ทุกอย่างดูเหมือนจริงราวกับไม่ใช่ฝัน ความรู้สึกสภาพแวดล้อมทุกอย่างมันเหมือนจริงมากครับ เธอบอกว่าเธอชื่ออะไร มีคนบังครับพวกเค้ามา พวกเค้าไม่อยากมา ผมถามกลับใครส่งมา มาทำอะไรแกล้งพวกเราหรอ เธอตอบ ไม่ใช่แกล้งแต่หากหมายเอาชีวิตเลย!!
ผมฟังถึงกับตกใจเลยพูดกลับไปว่า “กะเอากันถึงตายเลยหรอ พวกผมก็แค่นักศึกษาไม่เคยบาดหมางกับใคร” เธอไม่ตอบ นิ่งแล้วจ้องหน้าผม ใบหน้าเธอเศร้าหมองมาก ก่อนจะพูดว่า “ถ้าคุณกลับถึงฝั่งแล้วทำบุญให้พวกเราได้ไหม” ผมรีบตบคำรับทันทีเลยว่า “ได้สิ่ เดี๋ยวจะทำให้ ขอให้คุณไปอยู่ในที่ดีๆก็พอ”
เธอบอกอีกว่าเธอบาปหนามาก เพราะเธอทำร้ายมนุษย์หลายครั้ง แต่ครั้งนี้เธอสู้พวกผมไม่ไหว เธอเจ็บปวดทุกครั้งเวลาเธอจะเข้ามาทำร้ายแต่กลับเข้าไม่ได้ แถมยังปวดแสบปวดร้อนที่ได้ยินผมสวดมนตร์ต่างๆ
หลังจากนั้นผมเห็นผู้ชายร่างใหญ่ผิวดำลอยอยุูในน้ำแถวๆใต้สะพานที่พวกเรายืนอยู่ ผมยังจำใบหน้าของหญิงสาวปริศนาผู้นั้นได้ดี ทุกกิริยาเธอไม่มีทีท่าว่าจะดุร้ายหรือน่ากลัวเลยแม่แต่น้อย แต่ทว่าเมื่อคืนเธอคือผีร้ายดีๆนี่เอง เจ้าของเสียงหัวเราะเจ้าของเสียงขูดกำแพง เธอเล่าให้ผมฟังทั้งน้ำตาอดสงสารไม่ได้
สักพักผมก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงพี่ซีปลุกให้ลุกขึ้น ตอนนั้นเป็นเวลาสายๆ ท้องฟ้าปลอดโปร่งสวยมากครับ พี่ดีกับพี่อี เรียกให้พวกเราไปดูรอบๆบ้าน ตะลึงกันยกคณะเลยครับ เมื่อภาพที่เห็นคือ ตรงกำแพงมีรอยเป็นเหมือนเศษขี้เถ้าติดเต็มไปหมด บริเวณพื้นไม้หน้าบ้านก็เหมือนกัน
พวกเราเดินสำรวจกันอยู่พักนึง ก็มีมติเป็นเอกฉันท์ว่าจะเดินทางกลับทันทีครับ ไอ้บีโทรหาแม่มันตั้งแต่เช้าตอนตื่น ไม่น่าเชื่อครับเมื่อคืนนี้สัญญาณโทรศัพท์ไม่มีแม้แต่ขีดเดียว แต่พอตอนรุ่งสางกลับมี
แม่ไอ้บีเค้าเป็นห่วงมากครับ ผมกับเพื่อนก็แอบนอยๆว่าจะรีบโทรบอกทำไม ไม่รอขึ้นกลับบ้านไปก่อนแล้วค่อยบอก แต่ก็เข้าใจความรู้สึกมันอะครับ มันคงขวัญหนีดีฟ่อ พี่ๆผมก็สั่งให้พวกผมรีบเก็บข้าวของ เค้าจะไปคุยกับเจ้าหน้าที่ว่าจะมีเรือเข้ามากี่โมง
ตอนแรกที่วางแพลนกันไว้คือ จะเที่ยวที่นี่ 3 วัน 2 คืน แต่เจอเหตุการณ์แบบนั้นเป็นใครจะอยากอยู่ต่อล่ะครับ พวกผมก็รีบเก็บข้าวของกันเลยครับแล้วก็คุยกันไปพลางๆ
พอเวลาผ่านไปสักพัก พี่ๆสามคนเดินกลับด้วยใบหน้าที่เซ็งๆเลยครับ หัวเสียกันทุกคน ผมเลยถามว่าได้รอบกี่โมงครับพี่ พี่ซีก็ตอบกลับ “เจ้าหน้าที่บอกว่าวันนี้เรือไม่เข้ามา เข้ามาอีกทีพรุ่งนี้ ”
เหมือนโชคจะไม่เข้าข้างพวกเราสักเท่าไหร่ ยิ่งไอ้บีนี่หน้าเสียอย่างเห็นได้ชัด “แต่พี่ขอย้ายบ้านพักได้ไปอยู่หลังใหม่ตรงแถวๆหน้าหาด” พี่อีพูดขึ้นทำให้พวกเราคลายกังวลได้บ้าง ไอ้เอยังพูดแซวว่ายังดีที่ยังย้ายได้ถ้าไม่ได้จะว่ายน้ำกลับฝั่งเลย ทุกคนก็หัวเราะกันเล็กน้อย ก่อนจะย้ายข้าวของไปบ้านอีกหลังที่อยู่บริเวณหน้าหาดซึ่งมีบ้านพักหลายๆหลังเรียงติดกันแถมยังมีคนพลุกพล่าน
พวกเราสบายใจขึ้นเยอะ บ้านหลังใหม่สวยมากสะอาดและหลังใหญ่กว่าเดิม ที่จริงหลังนี้เจ้าของรีสอร์ทจะเป็นคนเข้ามาพัก แต่พี่ซีแกไปโวยวายใส่ จนท. จนเค้าต้องยอมเปิดหลังนี้ให้ เพราะทุกหลังเต็มหมด
หลังจากที่พวกเราจัดของจัดที่นอนเสร็จ ก็เปลี่ยนชุดเตรียมไปดำน้ำกัน วันนี้อากาศจัดได้ว่าดีเลยครับ ทุกคนดูผ่อนคลายขึ้นมาก หลังจากเราดำน้ำพายเรือทำกิจกรรมเสร็จ บังเอิญเห็นลุงคนเดิมแกนั่งตกปลาอยู่แถวๆ ปลายสะพาน ผมเลยเดินไปคุยกับแก คาดว่าจะได้คำตอบหรืออะไรบ้างจากสิ่งที่เราเจอเมื่อคืน
ลุงเห็นผมเดินมาแกก็ยิ้มให้แล้วก็ทักขึ้น “เป็นไงบ้างพ่อหนุ่ม เที่ยวสนุกไหม” ผมก็พยักหน้ารับพลางยิ้ม ลุงแกเหมือนรู้ว่าผมจะนั่งแกก็เขยิบกระป๋องเบียร์ออกเพื่อให้มีที่ว่าง
“ขอนั่งด้วยคนนะครับลุง” ผมพูดพลางย่อตัวนั่ง
“เชิญๆครับ” ลุงแกพูดพร้อมกับส่งบุหรี่ให้ผมมวนนึง แต่ผมไม่ชอบสูบบุหรี่เลยปฏิเสธแกไป
ช่วงนั้นเป็นบรรยากาศยามบ่ายแก่ๆเข้าเย็นๆครับ ช่วง 4 โมงกว่าๆ ฟ้ากำลังสวยได้ที่ พี่ๆผมหลังจากอาบน้ำเสร็จแกก็งัดกล้องมาถ่ายภาพไว้กันอย่างมันมือตรงบริเวณสะพาน
“ลุงครับ เมื่อคืนพวกผมเจอผี” ผมพูดทันทีหลังจากนั่งลงเสร็จ ลุงก็เหมือนกระตุกตัวเล็กน้อย “วันนี้วันที่เท่าไหร่หรอหนุ่ม ใช่วันที่ 15 รึเปล่า” ผมก็ส่ายหัวพร้อมกับบอกว่า16 “ตายห่าล้ะ แสดงว่าเมื่อวานข้างแรมอสุรฆาตพวกมันถึงกล้าแผลงฤทธิ์”
“อสุรฆาตคืออะไรหรอครับ”
ลุงแกก็อธิบายให้ฟังว่า “แถวนี้ติดกับพื้นที่ของเขมรแรมอสุรฆาตคือพวกเขมรแถวนี้เค้าเรียกกัน โดยบรรดาพวกหมอผีจะปล่อยบริวารออกมาทำร้ายผู้คนโดยจะเอาชีวิตของคนไปเป็นบริวารเพิ่ม เหมือนกับปลดปล่อยให้บริวารไปทำอะไรก็ได้”
ผมรีบสวนขึ้น “แต่ที่ผมเคยบวชเณรมา หลวงตาบอกว่าผีไม่สามารถฆ่าคนได้เค้าเป็นเพียงแค่วิญญาณเท่านั้นนิ่ครับ”
ลุงแกส่ายหัวพร้อมกับบอกขึ้นว่า “ผีห่าพวกนี้ไม่เหมือนผีหรือสัมภเวสีทั่วไปนะหนุ่ม หมอผีมันเป่าคาถาอาคมให้พวกมันฟังคำสั่ง เป็นผีที่ดุร้าย ใครจิตอ่อนมีหวังโดนมันกินวิญญานตายได้ทั้งนั้น “
ผมนี่ขนลุกเลยครับ ผมเลยเล่าเหตุการณ์ให้ลุงฟังว่าผมทำอะไรลงไปบ้างตอนเจอพวกมัน ลุงแกหัวเราะเบาๆ “หนุ่มยังนับว่าโชคดีนะที่ตั้งสติได้ยังสวดพุทธมนตร์ไล่มันไป แต่หนุ่มเชื่อเถอะพวกมันไม่กล้ามาทำร้ายพวกหนุ่มแล้วละ หนุ่มจำผู้หญิงที่พวกคุณเจอได้ไหมที่พวกคุณจะลงไปช่วยเค้า?”
“จำได้สิ่ครับลุง ตัวท้อปเลยนะน่ะ เมื่อเช้ายังมาเข้าฝันผมเลย”
ลุงเลิกคิ้วนิดหน่อย พลางหันไปสูบบุหรี่ต่อ
“หลานลุงเอง”