ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 7-8 ปีที่แล้ว ตอนนั้นผมทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ตรวจสอบอุบัติเหตุของบริษัทประกันแห่งหนึ่ง มีหน้าที่เข้าเวรสแตนบายรับเรื่องจากลูกค้าช่วงกลางคืน ซึ่งเวลาที่มีอุบัติเหตุลูกค้าจะต้องโทรเข้ามาแจ้งที่ผม
คืนนั้นเป็นคืนฝนตก เวลาประมาณ 4 ทุ่มกว่า ๆ มีลูกค้าเป็นคนขับรถบรรทุกสิบล้อโทรเข้ามาแจ้งว่าเกิดอุบัติเหตุรถมอเตอร์ไซค์ขับมาชนท้ายรถสิบล้อมีผู้เสียชีวิต ที่อำเภอหนองบัว จังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งจากจุดที่ผมอยู่ กับจุดที่เกิดเหตุ อยู่ห่างกันประมาณเกือบร้อยกิโล
หลังจากวางสาย ผมกับแฟนก็รีบออกเดินทางไปยังจุดเกิดเหตุทันที เนื่องจากเคสนี้เป็นเคสที่มีผู้เสียชีวิต น่าจะมีเรื่องของค่าเสียหายค่อนข้างเยอะ ระหว่างที่ผมกำลังเดินทางไป ผมจึงคอยติดต่อกับลูกค้าอยู่ตลอดว่าเป็นยังไงบ้าง
จนกระทั่งใกล้จะถึงอำเภอหนองบัว ลูกค้าโทรมาแจ้งผมมาว่า ตอนนี้ทางตำรวจได้เคลื่อนย้ายรถไปไว้ที่โรงพักแล้ว และบอกให้ผมไปเจอกันที่โรงพักก่อน ผมจึงรีบมุ่งหน้าไปที่โรงพัก
เมื่อไปถึงผมก็ได้เจอกับคนขับรถบรรทุก จึงสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมกับหยิบกล้องถ่ายรูปดิจิตอลลงไปถ่ายรูปรถของลูกค้าและรถมอเตอร์ไซด์ของคู่กรณี
หลังจากที่ผมถ่ายรูปเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมก็ได้เดินไปคุยกับร้อยเวร ร้อยเวรแจ้งว่า “ประกัน…เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยมาคุยรายละเอียดกันอีกทีแล้วกันนะ ประกันเอารูปที่เกิดเหตุไปก่อน” พร้อมกับปริ้นรูปขนาดใหญ่ใส่กระดาษ A4 มาให้รูปนึง
ในรูปเป็นรูปที่ถ่ายจากด้านหลังรถสิบล้อในที่เกิดเหตุ มีรถมอเตอร์ไซค์ล้มขวางถนนอยู่ด้านหลัง ที่มอเตอร์ไซค์มีผู้ชายเสียชีวิตคาที่ในลักษณะที่คล่อมรถมอเตอร์ไซค์อยู่ ส่วนคนซ้อนนั้นบาดเจ็บสาหัสถูกส่งไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล
เมื่อผมคุยกับร้อยเวรเรียบร้อยแล้ว ผมก็ต้องเดินทางไปถ่ายรูป ณ สถานที่เกิดเหตุจริงต่อในคืนนั้นเลย หลังจากที่รวบรวมเอกสารเสร็จ ผมก็ขับรถเดินทางไปยังจุดที่เกิดเหตุ…
ระหว่างทาง ฝนก็เริ่มซาลงบ้างแล้ว จนเราขับรถใกล้จะถึงที่เกิดเหตุ มันเป็นถนน 2 เลนสวนทางกัน ไม่มีไฟส่องสว่างข้างทาง แต่จากไฟหน้ารถที่สาดส่องไปข้างหน้า ทำให้ผมสังเกตเห็นแล้วว่ามีร่องรอยของการเกิดอุบัติเหตุบริเวณทางด้านซ้ายของถนน ผมจึงขับรถเลยไปก่อนแล้วก็กลับรถขับย้อนกลับมาจอดฝั่งตรงข้าม แล้วเปิดไฟหน้ารถส่องไปยังบริเวณจุดเกิดเหตุ
ตอนนั้นเวลาประมาณเที่ยงคืนกว่า ๆ ฝนยังคงตกปรอย ๆ ผมเปิดไฟฉุกเฉิน หยิบกล้องดิจิตอลขึ้นมา เพื่อเตรียมตัวจะลงไปถ่ายรูป…
จังหวะนั้น ผมมองไปที่ข้างหน้าสังเกตเห็นว่ามีผู้ชายคนหนึ่ง ใส่เสื้อยืดคล้าย ๆ เสื้อกีฬา กางเกงยีนส์ เอาคอเสื้อขึ้นมาปิดที่หัว เพื่อกันฝน กำลังเดินขากะเผลกๆ ถือไฟฉายส่องไปตามพื้น เหมือนกำลังหาอะไรบ้างอย่าง ตรงบริเวณจุดที่เกิดเหตุนั้น
ผมเริ่มรู้ตงิด ๆ ใจแปลก ๆ เพราะนี่มันก็จะเที่ยงคืนแล้ว ใครกันมาหาอะไรตอนนี้…???
แสงไฟจากหน้ารถของผมมันก็สว่างอยู่พอสมควร แต่เพราะมันค่อนข้างไกลกัน ทำให้เห็นใบหน้าของเขาไม่ค่อยชัด แต่ก็เพียงพอที่ทำให้เห็นคราบ สีแดงๆ คล้ายเลือด เปอะเปื้อนบนใบหน้าของเขา ตอนนั้นผมเริ่มไม่มั่นใจแล้วว่า ในใจจคิด เขาใช่คนหรือป่าวนะ??
จนเขากำลังมาใกล้รถของผม ผมก็เลยค่อนข้างมั่นใจว่าน่าจะเป็นคนมากกว่าเป็นอย่างอื่น แต่จู่ ๆ ผมก็รู้สึกคุ้นๆ ว่าเคยเห็นเสื้อกับกางเกงชุดนี้ที่ไหนมาก่อน ผมก็เลยหยิบแฟ้มข้อมูลออกมาดู
เท่านั้นแหละ!! มันเหมือนกับในรูปที่ร้อยเวรปริ้นมาให้เป๊ะเลย ในรูปคือร่างอันไร้วิญญาณของผู้เสียชีวิตที่ใส่เสื้อสีเขียว กางเกงยีนส์ขายาว นอนคล่อมรถมอเตอร์ไซด์ตายคาที่อยู่ และจุดที่เหมือนกันมากที่สุดก็คือ ตรงที่เขาดึงคอเสื้อขึ้นมาปิดหัว เพราะช่วงที่เกิดอุบัติเหตุนั้นฝนกำลังตก
ผมจึงหันไปพูดกับแฟนว่า “เอาไงดี…!! ทำไมเขาถึงเหมือนกับคนในรูปเลย เหมือนจนคิดว่าเป็นคนๆเดียวกัน” แล้วผมก็ถามแฟนว่า “ลงไหม…” ซึ่งในขณะนั้นผู้ชายคนนั้นเขาก็ยังคงส่องหาอะไรของอยู่เหมือนเดิม
ด้วยความไม่มั่นใจ ใจไม่ถึงพอ บวกกับความกลัว ผมก็เลยตัดสินใจว่าจะไม่ลงจากรถไปถ่ายรูป แล้วผมก็ขับรถกลับมาที่นครสวรรค์ทันที
หลังจากเหตุการณ์นั้นผ่านไปประมาณ 1-2 เดือน ตอนนั้นคดียังไม่จบ ผมยังรับหน้าที่ดูแลเคสนี้อยู่ และผมยังคงเก็บความสงสัยนั้นอยู่ในใจ
จนกระทั่งผมมีโอกาศได้ไปหาครูบาอาจารย์ที่นับถือ ซึ่งท่านอยู่ในจังหวัดอุตรดิตถ์ ซึ่งโดยปกติแล้วผมจะไปหาท่าน ไปกราบท่านทุกปีอย่างน้อยปีละ 1-2 ครั้ง ผมจึงจะเอาเรื่องนี้ไปถามท่านด้วยว่าเป็นอย่างที่ผมคิดไหม??
พอผมไปถึงสำนักท่าน พูดคุยเรื่องสัพเพเหระกันเสร็จ กำลังจะถาม อยู่ๆ อาจารย์ท่านก็พูดขึ้นมาว่า “เดี๋ยวมึงรอแป๊บนึง… แป๊บๆ กูขอคุยก่อน” และท่านก็หันไปหน้าไปทางซ้ายทีทางขวาที ลักษณะเหมือนกำลังพูดคุยกับใครอยู่ แต่ผมก็ไม่เห็นว่ามีใคร นอกจากอากาศธาตุลม
สักพักนึง อยู่ดี ๆ ท่านก็สั่นไปทั้งตัว แล้วก็นิ่งไป เหมือนองค์ลง หรือผีเข้าก็ไม่รู้ จากนั้นท่านก็ยกมือขึ้นชี้หน้าผม พร้อมกับพูดขึ้นมาว่า “มึง…ทำอะไร มึง…มายุ่งกับกูทำไม กูมาตายของกูเอง มึงไม่ต้องมายุ่ง” แล้วก็ยังบอกอีกว่า “กูชื่อ….. กูมากับเพื่อน ชื่อ…..”
ผมรีบหันไปบอกแฟนให้จำชื่อเขาไว้นะ เพื่อจะได้เอาไปเช็คดูว่าใช่หรือไม่ใช่ แล้วเขาก็พูดขึ้นมาอีกว่า “มึงไม่ต้องมายุ่งกับกู ไม่ต้องมาทำบุญอะไรให้กูทั้งนั้น กูไม่อยากได้ กูตายของกูเอง กูทะเลาะกับที่บ้านมาแล้วดื่มเหล้าจนเมา ออกมา …ตาย…”
ผมก็เลยพูดว่า “ผมไม่ได้ทำอะไร ผมแค่จะติดตามเรื่องค่าสินไหมให้มันจบเรื่องก็เท่านั้น” เขาก็บอกว่า “ไม่ต้องมายุ่งกับกู กูไม่เอา ถ้ามึงยังมายุ่งกับกู กูจะเอามึงไปอยู่ด้วย” ผมก็เลยบอกว่า “ได้!! ถ้าไม่อยากให้ยุ่ง ผมก็จะไม่ยุ่ง ดีเหมือนกัน ไม่ต้องเหนื่อยผม แล้วก็ไม่ต้องมายุ่งกับผมด้วยนะ”
สักพักนึงเขาก็ออกไป แต่ก่อนจะออกเขาก็บอกอีกว่า “กูขอบุหรี่หน่อย” แล้วก็ออกไปเลย ผมจึงขอบุหรี่จากอาจารย์มาม้วนนึง แล้วก็เดินลงไปจุดให้เขาที่ด้านล่างสำนัก เสร็จแล้วผมก็เดินกลับขึ้นมา อาจารย์ท่านก็บอกผมว่า “เรื่องนี้ถ้าไม่เข้าไปยุ่งได้ จะดีมากเลย เปลี่ยนให้หัวหน้าหรือใครมาทำแทนก็ได้”
อาจารย์บอกว่า จิตนี้มันอาฆาตมาก ใครผ่านไปผ่านมาอาฆาตหมด เหมือนเป็นบ้าไปแล้ว สงสัยมันจะผู้ใจเจ็บ เจ็บใจที่มันต้องมาตาย เพราะความเมา ความประมาทของมันเอง เพราะมันยังไม่อยากตาย พอใครจะทำบุญอะไรไปให้ มันก็ไม่ได้เพราะว่ามันไม่รับ มันจะจึงวนเวียนอยู่แถวนั้น
อาจารย์ยังเตือนผมอีกว่าถ้าเลี่ยงได้ระยะนี้ก็อย่าไปแถวนั้น เพราะว่าถ้ามันจำได้มันอาจจะทำอะไรบางอย่างให้เราเกิดอุบัติเหตุก็ได้
หลังจากวันนั้น ผมเอาชื่อที่ให้แฟนจดไว้ไปเช็คประวัติดู ปรากฏว่าเป็นคนคนเดียวกัน เคสนี้ผมก็เลยมอบหมายให้หัวหน้าผมเป็นคนดูแลแทน โดยที่ผมก็ไม่ได้เข้าไปยุ่งวุ่นวายตามที่เขาต้องการอยากให้เป็น…
สาเหตุที่เขาไม่ให้ผมเข้าไปยุ่งวุ่นวายจนทุกวันนี้ผมก็หาสาเหตุไม่ได้ และเรื่องเราวทั้งหมดก็จบลงเพียงเท่านี้
ขอขอบคุณเรื่องเล่าจาก คุณเนตร ธนัชพงศ์ ช่องพาเที่ยว เลี้ยวไปหลอน เรื่อง จิตสุดท้าย – คุณห่าน
บทความ Rewrite ห้ามคัดลอก หรือนำไปเล่าลง Youtube หรือ พอดแคสต์