กระสือยายเฟื้อง โดย กฤตานนท์

กระสือยายเฟื้อง

เรื่องนี้เป็นหนึ่งในวีรกรรมสุดห่ามของลุงยักษ์ จะว่าไปคงเป็นประสบการณ์ระทึกขวัญเรื่องท้ายๆ ของครอบครัวตัว ‘ย’ ที่คนเล่ามาอีกต่อ บอกว่าจริงไม่จริงไม่รู้ ได้ยินมาอย่างไรก็เล่าต่อมาอย่างนั้น เรื่องนี้เป็นเรื่องสั้นๆ ต้องขอนุญาตนำแก่นของเขามาแต่งเติมเพิ่มอรรถรส

เรื่องนี้มีอยู่ว่า…

ย้อนไปสักหลายสิบปี สมัยที่เรื่องลี้ลับยังเป็นของคู่กับคนไทย (อันที่จริงตอนนี้ก็ยังฝังรากลึกจนวิทยาศาสตร์ยังหักล้างไม่ได้ง่ายๆ) ในหมู่บ้านที่สงบเงียบห่างไกลความเจริญแห่งหนึ่ง มีเรื่องเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่ามีสิ่งลี้ลับออกอาละวาด

โพล้เพล้เข้าหน่อยชาวบ้านชาวช่องก็ตาลีตาเหลือกเข้าบ้านนอนกันหมด สมัยก่อนเป็นแบบนี้จริงๆ ครับ หมู่บ้านไหน ตำบลใดมีแว่วข่าวเรื่องผีสางนางไม้ หลัง 5 โมงเย็น ถนนหนทางก็แทบร้าง…แต่เมื่อนานเข้าไม่มีสิ่งผิดปกติ วิถีชีวิตจึงจะค่อยๆ กลับมาเป็นปกติอย่างช้าๆ เรื่องเริ่มต้นที่ตรงนี้

ช่วงอากาศร้อนประมาณปลายพฤษภาคม บนถนนที่แสนเงียบเชียบมีรถมอเตอร์ไซค์ควบปุเลงๆ ทิ้งฝุ่นไว้เบื้องหลัง ใช่แล้ว…

ไบเกอร์คนนั้นคือลุงยักษ์นั่นเอง ลุงยักษ์แวะไปเยี่ยมเพื่อนคนหนึ่งชื่ออาสิงห์ (นามสมมุติ) ทั้งสองคนคุ้นเคยกันดีมาก สนิทขนาดไปไหนไปกัน แค่มองตาก็รู้ใจกันเลย แต่น้อยครั้งนักที่ทั้งสองคนจะเอ่ยปากขอความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน นับครั้งได้เลยเชียว เพียงแต่ครั้งนี้เป็นหนึ่งในนั้น…

หลายวันก่อนน้องคนหนึ่งของลุงยักษ์เข้าเมือง และแวะไปเยี่ยมที่ค่าย หลังจากสอบถามสารทุกข์สุกดิบกันพอควรก็ยื่นกระดาษให้ มันเป็นจดหมายหนึ่งฉบับ น้องบอกสั้นๆ ว่า “เพื่อนเฮียฝากมาให้หลายวันแล้ว” 

สภาพจดหมายยับยู่ยี่ก็ว่าเลวร้ายเกินพอแล้ว แต่ลายมือที่เขียนกลับทุเรศยิ่งกว่า หลังจากทนอ่านไปบ่นไปจนถึงสองบรรทัดสุดท้าย ลุงยักษ์แปลกใจเล็กน้อยกับเนื้อความในจดหมาย

“อีกนิดเว้ยเพื่อน… เมื่อไหร่จะว่าง แวะมาหาหน่อยสิ มีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้นกับญาติว่ะ แต่ไม่อยากเล่าตอนนี้ เอาเป็นว่าสะดวกแล้วรีบมานะเว้ย ไม่สบายใจเลยว่ะ”

                                                                                                      ลงชื่อ… สิงห์

ลุงอ่านจบก็แปลกใจ อย่างที่เอ่ยไว้ด้านบน น้อยครั้งนักที่ทั้ง 2 คนจะเอ่ยปากความขอช่วยเหลือ แต่ลุงยักษ์ไม่ได้สนใจอะไรมาก เกือบลืมอีกต่างหาก ต้องรออีกหลายวันนั่นล่ะ กว่าจะมีโอกาสได้กลับไปเยี่ยมเพื่อน 

ลุงแว๊นซ์มอเตอร์ไซค์คู่ชีพบ่ายหน้าไปยังบ้านเพื่อน ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านตนเองไกลลิบลิ่ว กว่าจะไปถึงก็โพล้เพล้เต็มทน 

ทันทีที่ไปถึงอาสิงห์ก็เปิดประตูพรวดออกมา ยิ้มแป้นแล้น เรียกลุงยักษ์เข้าไปในบ้านของเขา

ในบ้านมีพ่อกับแม่และก็แฟนอาสิงห์อีกคนสมมุติชื่อส้ม ทุกคนทักทายเซเลปประจำตำบลอย่างเป็นกันเอง แต่ในความเป็นกันเองมีร่องรอยของความกังวลเจืออยู่ แม้แต่คนที่มีความรู้สึกช้ายิ่งกว่าตัวสล็อตแบบลุงยักษ์ยังจับสัมผัสนั้นได้

หลังจากกินอาหารเย็นเสร็จ ลุงกับเพื่อนเดินออกมาด้านนอกคุยกันเรื่อยเปื่อย สอบถามเรื่องอนาคตของเพื่อนซี้

อาสิงห์บอกว่ากำลังหาช่องทางไปขายของในเมือง ทั้งสองคนยืนคุยกันอยู่พัก น้าส้มก็เดินมาตาม บอกว่าเย็นมากแล้วจะกลับบ้านให้อาสิงห์ไปส่ง อาสิงห์จึงขอตัวไปส่งแฟนสักครู่ และถามเพื่อนซี้ว่าจะกลับบ้านหรือนอนค้างที่นี่ แน่นอนว่าลุงยักษ์ไม่คิดจะกลับบ้านวันนี้

เขาเบื่อที่จะต้องกลับไปฟังคำบ่นของผู้เป็นพ่อ ที่สำคัญยังมีเรื่องบางอย่างที่เพื่อนซี้ยังไม่ได้เล่าให้ฟัง

แหม… อุตส่าห์ถ่อมาตั้งไกล จะให้กลับไปทั้งที่ไม่รู้อะไรก็ใช่ที่…

แม่ของอาสิงห์จัดที่หลับที่นอนให้ลุงยักษ์นอนบนแคร่ข้างประตู ซึ่งไม่ใช่ครั้งแรกที่เขามานอนที่นี่ คิดๆ ไปก็ชั่งใจไม่น้อย อุตส่าห์ได้มีโอกาสกลับบ้าน ดันแวะมาค้างคืนบ้านเพื่อน แทนที่จะกลับไปหาพ่อแม่และน้องๆ ก่อน 

ลุงยักษ์นั่งๆ นอนๆ อยู่ครู่ อาสิงห์ก็กลับมา ส่งเสียงเรียก ลุงยักษ์ก็ลุกออกมาจากที่นอน พูดจาภาษาดอกไม้กันอยู่สักพัก ก็เริ่มหงุดหงิด และถามว่าที่เรียกมาเนี่ยมีเรื่องอะไร อาสิงห์ได้ยินก็มองซ้ายมองขวา พูดพึมพำกับตัวเองว่า มืดแล้วจะพูดดีเปล่าวะ

ลุงยักษ์ถามเพื่อนทันทีว่ามีเรื่องอะไรกันแน่ให้รีบพูดมาภายใน 3 วิฯ อาสิงห์ถอนหายใจยาวชวนให้เดินไปข้างนอก เมื่อออกมานอกชายคาบ้าน อาสิงห์จึงพูดว่า

“เชื่อเรื่องผีมั้ยวะ?”

ลุงยักษ์ได้ฟัง ก็ขำแล้วบ่นเพื่อนไปชุดใหญ่ว่าพูดเรื่องอะไร ไร้สาระ อาสิงห์ต้องใช้ความพยายามไม่น้อยเล่าว่าเรื่องแปลกๆ ที่บอกในจดหมาย ก็คือเรื่องนี้ล่ะ ไม่ได้เกิดที่นี่ แต่เกิดที่บ้านแฟน มีอะไรบางอย่างชอบไปป้วนเปี้ยนแถวบ้านน้าส้มตอนดึกๆ

ลุงยักษ์ถามกลับว่าเรื่องแปลกๆ ที่พูดถึงคืออะไร อาสิงห์อ้ำอึ้งตอบกลับมาแค่

“กรูก็ไม่รู้ แต่ชาวบ้านลือว่าเป็นกระสือ”

ลุงยักษ์ได้ยินก็หัวเราะตามประสาคนไม่เชื่อ แล้วเดินกลับเข้าบ้าน อาสิงห์เห็นก็ร้องทักถามว่าง่วงแล้วเหรอ ลุงยักษ์หันไปส่ายหน้า

“เปล่า จะไปเอากุญแจรถ กลับไปนอนบ้านดีกว่า ไร้สาระชิบ”

เดือดร้อนอาสิงห์ต้องขุดหาสารพัดเหตุผลมาโน้มน้าวให้เพื่อนซี้ยอมนั่งฟัง สัญญาว่าจะจัดให้ 2 ซองลุงยักษ์จึงยอมนั่งเจี๋ยมเจี่ยมฟังต่อ

อาสิงห์เล่าว่า อาทิตย์ที่ผ่านมา แม่น้าส้มเพิ่งคลอดลูกหลงมาคน ห่างจากน้าส้มเกือบยี่สิบปี ซึ่งอาสิงห์รวมถึงแม่น้าส้มคิดว่าทารกแรกเกิดคนนี้ล่ะ เป็นจุดเริ่มต้นความผิดปกติที่เกิดขึ้น เพราะหลังจากที่เด็กเกิดไม่นาน ตอนกลางดึกน้าส้มกับแม่มักจะได้ยินเสียงก๊อกแก๊กๆ พร้อมกับเสียงเหมือนคนเคี้ยวหมากดัง แจ๊บๆ รอบบ้านเกือบทุกคืน 

น้าส้มอยู่ลำพังกับแม่แค่สองคน พ่อก็ไปทำงานต่างจังหวัด บอกว่าตอนนี้นอนไม่ค่อยหลับ ขวัญผวาทุกคืน

ลุงยักษ์ที่นิ่งฟังมานาน ก็ถามกลับว่าแล้วทำไมไม่ไปอยู่เป็นเพื่อนแฟน กลัวเหรอ อาสิงห์ตอบอ้อมแอ้มกลับว่ากลัวเป็นขี้ปากชาวบ้าน ลุงยักษ์หัวเราะหึๆ ในลำคอแบบพระเอกหนังไทย เดินเข้าไปใกล้เพื่อนสนิท และเบิร์ดกระโหลกอาสิงห์หนึ่งที อาสิงห์บ่นอุบ ถามว่าตบทำไม

“ตบกบาลพวกใจปลาซิวไง มีอะไรมั้ย แกนี่ก็แปลกนะ ห่วงความรู้สึกชาวบ้านชาวช่องมากกว่าเมียตัวเองได้ไงวะ เขากำลังกลัวอยู่ทำไมไม่ไปอยู่เป็นเพื่อน หอกหักเอ้ย” ลุงซัดชุดใหญ่ อาสิงห์ได้ฟังคงรู้สึกละอายอยู่บ้าง

ลุงยักษ์อบรมเพื่อนจบ ก็เดินเข้าไปหยิบกุญแจมอเตอร์ไซค์ที่ซุกไว้ใต้หมอน อาสิงห์เห็นเลยถามอีกครั้งว่าจะกลับบ้านเหรอ ลุงยักษ์ขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์และตอบ “เปล่า ไปบ้านส้ม แกด้วย ให้ไวเลย”

อาสิงห์ได้ยินก็อึ้งอยู่พัก บอกให้ลุงยักษ์รอเดี๋ยวแล้ววิ่งกลับเข้าไปในบ้าน หยิบของใช้ส่วนตัวจากนั้นกระโดดขึ้นซ้อนท้าย แล้วทั้งสองก็แว๊นซ์ออกไปอย่างรวดเร็ว

บ้านน้าส้มอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก ประมาณ 4-5 กิโลเมตร แต่เป็น 4-5 กิโลที่กันดารมาก ถนนหนทางหรือก็ขรุขระ กว่าจะไปถึงก็มืดค่ำ น้าส้มกับแม่แปลกใจที่จู่ๆ คู่หูดูโอ้ไปปรากฏตัวอยู่หน้าบ้าน ทั้งสองแก้ตัวน้ำขุ่นๆ จากนั้นก็ขอผ้าใบ เสื่อ มุ้ง ไปกางนอนบนแคร่ไม้ไผ่ใต้ต้นไม้ แม่น้าส้มบอกให้เข้าไปนอนในบ้าน แต่ทั้งคู่เลือกที่จะปฏิเสธ

ในคืนพักแรมนอกสถานที่ครั้งแรก สอง รปภ. จำเป็น ตกลงกันว่าจะนั่งคุยกันไปเรื่อยๆ จนกว่าจะง่วง แต่พอลุงยักษ์หัวถึงหมอนก็กรนสนั่น มารู้สึกตัวอีกทีตอนเช้ามืด เพราะอาสิงห์มาเขย่า 

ลุงยักษ์ตื่นมาเห็นน้าส้มและแม่น้าส้มที่อุ้มทารกน้อยอยู่ยืนมุงอยู่รอบตัว ลุงจึงถามว่ามีอะไร แทนคำตอบ อาสิงห์เรียกให้ตามไปดูอะไรบางอย่าง

ระหว่างเดินอาสิงห์เล่าต่อว่า ความจริงเรื่องนี้มันเกิดขึ้นมานานมากแล้ว คนก็เอาไปพูดกันที่ร้านกาแฟ

 ซึ่งเป็นจุดศูนย์รวมใจกลางหมู่บ้านนานเป็นเดือนๆ แต่ลุงยักษ์ก็ยังฝังหัวตอบไปว่า

“เห็นก็ยังไม่เคยเห็นกัน กลัวหัวหดกันทั้งตำบลซะละ”

อาสิงห์ส่ายหน้าพาเดินอ้อมไปอีกฟาก ยืนหยุดอยู่บริเวณราวตากผ้าทำจากไม้ไผ่ น้าส้มหน้าแดงเล็กน้อย หลีกทางให้คู่หูทั้งสอง อาสิงห์จึงชี้ให้ลุงยักษ์ดูผ้าถุงที่ผึ่งอยู่บนราวตากผ้า สภาพยับเยินเหมือนไม่ได้ซักมาแรมปี ส่งกลิ่นเหม็นฉุนชวนแหวะ

“โห้ส้ม… เธอนี่สกปรกไม่เบานะ” ลุงยักษ์มองด้วยความระอา

เดือดร้อนอาสิงห์ต้องรีบแก้ตัวให้แฟน และเล่าว่าผ้าถุงผืนนี้เป็นของแม่น้าส้ม แต่ไม่ได้ใช้แล้ว แค่เอามาตากล่อไว้เท่านั้น 

ลุงยักษ์ได้ฟังยิ่งงงหนักขึ้น

“ล่อ?… ล่ออะไรวะ” ลุงยักษ์หันไปมองน้าส้มกับอาสิงห์สลับไปมา

“ล่อกระสือว่ะ” อาสิงห์ตอบปุ๊บ ลุงยักษ์ขำพรืดออกมา หัวเราะกร๊าก ตอกกลับตามโพย

“แกจะบอกว่าที่สภาพผ้าถุงมันโสโครกขนาดนี้เพราะผีกระสือไปกินของเน่าของเสียเสร็จสมอารมณ์หมายเลยเอาปากมาเช็ดผ้าถุงใช่มั้ย? ไอ้สันเขื่อน ฟังนิยายมากไปเปล่าวะ” ลุงยักษ์เหน็บเพื่อนซี้ชุดใหญ่ไฟกระพริบ

อาสิงห์พยักหน้าหน้าจ๋อย “เออ ก็ชาวบ้านเค้าเล่ากันมาแบบนี้”

ลุงยักษ์ถอนหายใจ “แล้วรู้ได้ไงว่าเป็นกระสือ มีคนแอบเห็นเหรอ”

น้าส้มจึงเล่าว่า ทุกครั้งหลังจากเกิดเรื่องในตอนกลางคืน ตอนเช้าๆ เสื้อผ้าชิ้นอื่นจะไม่เป็นไร แต่ผ้าถุงของแม่น้าส้มจะเปรอะเปื้อนสิ่งปฏิกูลบ้าง คราบเลือดบ้างทุกครั้ง น้าส้มบอกต่อว่า ตอนนี้แม่กลัวจนไม่เป็นอันทำอะไรแล้ว มีความคิดจะหอบผ้าหอบผ่อนหนีไปพักที่บ้านญาติในเมืองชั่วคราว ติดก็แต่ลูกยังเล็กมาก พอดีอาสิงห์บอกว่าลุงยักษ์พอจะรู้จักคนเยอะจึงอยากปรึกษาก่อน

ลุงยักษ์ได้ฟังก็ถามกลับทันทีว่า ถ้าเป็นเรื่องจริง จะตากผ้าถุงยั่วมันเพื่อ? ทำไมไม่เก็บให้เกลี้ยง น้าส้มจึงพูดต่อว่า ถ้าคืนไหนไม่มีผ้าถุงตากไว้ด้านนอก จะหนักกว่าเดิม มีเสียงครางในลำคอเหมือนคนไม่พอใจพร้อมลากเท้าไปมารอบบ้านตลอดทั้งคืนจนเกือบรุ่ง

ลุงยักษ์ฟัง ก็ได้แต่งงๆ กับตรรกะของผองเพื่อน คิดในใจ อ้าวกระสือมันลอยได้ไม่ใช่เหรอ มีเสียงลากเท้าได้ไง.. แล้วตอบกลับแบบขวานผ่าซากเหมือนเดิม

“อ่อ… ที่บอกว่าล่อ คือแบบนี้นี่เองใช่มั้ย เออ… ใจดีกันจังเว้ยต้องเตรียมผ้าเช็ดปากไว้ให้แขกหลังจาก ไปแ_กมื้อค่ำมาด้วยว่ะ”

อาสิงห์หน้าจ๋อยเป็นรอบที่เท่าไหร่ของวันก็ไม่รู้ ถามลุงยักษ์ว่าหรือจะไปตามจ่านอกราชการที่ชื่อ หันๆ มาช่วยดีมั้ย เห็นว่ารู้จักกับลุงยักษ์ ที่สำคัญชาวบ้านบอกว่ามีวิชงวิชา 

ลุงยักษ์ไม่พูดอะไร กวักมือขอบุหรี่หนึ่งมวน อัดนิโคตินเข้าปอดหนึ่งรอบก่อนตอบ “ไม่ต้อง งานนี้กรูจัดการเอง”

ช่วงสายๆ ของวัน ทั้งก็ขอตัวกลับ ลุงยักษ์แวะส่งอาสิงห์ที่บ้าน บอกให้เตรียมตัว ขอไปทำธุระสักพักเดี๋ยวบ่ายๆ กลับมารับ จากนั้นก็บึ่งมอเตอร์ไซค์ด้วยความเร็วตรงไปบ้านของเพื่อนคนหนึ่ง ที่อยู่ห่างออกไปเกือบ 10 กิโลเมตร

เมื่อมาถึงผู้ชายวัยกลางคนที่เป็นเจ้าบ้านดูดีอกดีใจที่เซเลปประจำตำบลอย่างลุงยักษ์แวะเวียนมาหา

ทั้งสองทักทายอย่างคนคุ้นเคยตามประสาชายชาติทหาร 

ลุงยักษ์เกริ่นๆ ว่าเคยได้ยินเรื่องผีกระสือแถวนี้มั้ย เจ้าบ้านบอกเคยได้ยินคนลือกันอยู่ แต่ไม่เคยมีใครเจอจริงๆ สักคน อย่างเก่งก็มีเป็ดไก่ตายอย่างประหลาดๆ อยู่บ้าง แต่ก็ฟันธงไม่ได้ว่าใช่หรือไม่ คุยกันอยู่สักพัก ลุงยักษ์ก็ขอตัว แต่ก่อนไปสายโหดพวกเราก็พูดว่า

“ลุง… ขอยืมปืนกระบอกสิ”

หลังจากได้ไอเทมแล้ว ลุงยักษ์ก็แว๊นซ์มอเตอร์ไซค์ตรงไปยังจุดหมายต่อไป ซึ่งต้องขับย้อนข้ามหมู่บ้านไปไกลพอสมควร บ้านนั้นเป็นบ้านหลังเล็กรอบๆ มีพืชผักสวนครัวปลูกไว้เต็มพื้นที่จนแน่นเอียด เสียงมอเตอร์ไซค์คันเก่าดึงให้ผู้ชายอายุมากกว่าลุงยักษ์สัก 5-6 ปีออกมาต้อนรับ

ลุงยักษ์ทักทายผู้ชายคนนั้นอย่างเป็นกันเอง (สมมุติชื่อลุงมิ่ง) สอบถามสารทุกข์สุกดิบ แต่ยังไม่ทันที่คู่สนทนาจะตอบอะไรสักคำ ลุงยักษ์พูดต่อ ฟังดูเหมือนประโยคคำถาม แต่น้ำเสียงมันประโยคคำสั่งชัดๆ

“วันนี้ว่างมั้ย ไปธุระด้วยกันหน่อย เดี๋ยวนี้เลย”

ลุงมิ่งงงๆ เง็งๆ แต่ก็ไม่ถามอะไรเพราะสนิทคุ้นเคยกันอยู่ หลังจากเข้าไปหยิบของก็กลับออกมากระโดดขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์

ตอนนั้นเป็นเวลาคล้อยบ่ายแล้ว ทั้งสองคนก็มุ่งกลับไปบ้านอาสิงห์อีกครั้ง เรียกว่าวนรอบหมู่บ้านเลยทีเดียวเชียวล่ะ ราว 4 โมงทั้งสองคนกลับมาถึงบ้านอาสิงห์

นอกจากลุงยักษ์ ทุกคนที่เหลือดูงงไปหมด นี่จะทำอะไรกัน จึงถามว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ขนาดพ่อกับแม่ของอาสิงห์ยังเดินเข้ามาถามว่า ไปมีเรื่องต่อยตีกับใครหรือเปล่า ถึงรวมกลุ่มก๊วนกันแบบนี้ ก็ไม่แปลก เพราะคดีเก่าๆ ก็ชวนให้ผู้หลักผู้ใหญ่สงสัยอยู่

ลุงยักษ์บอกว่าไม่ได้ไปตีกับใคร จากนั้นชวนลุงมิ่งกับอาสิงห์ออกมาด้านนอก แล้วจึงบอกแผนการที่ด้นคนเดียวเสร็จสรรพแบบไม่ปรึกษาใครเลย

“ฟังให้ดี พี่มิ่งแค่ชวนมาเป็นเพื่อนให้คนเยอะๆ จะได้อุ่นใจเท่านั้น ส่วนที่ถามว่าจะทำอะไร… คืนนี้พวกเราจะล่าท้าผี”

ลุงมิ่งอึ้งกิมกี่ ทวนประโยคนั้นในใจ 3 รอบ “คืนนี้พวกเราจะล่าท้าผี”… เราในที่นี้คือรวมกรูด้วย!!?

สนิทแค่ไหนก็ต้องซักแล้วล่ะ ลุงมิ่งถามว่าพูดเล่นใช่มั้ย ลุงยักษ์หัวเราะชอบอกชอบใจให้อาสิงห์เป็นคนตอบ

เดือดร้อนอาสิงห์ซึ่งเพิ่งจะปะติดปะต่อเรื่องราวได้ต้องกางสตอรี่บอร์ด บอกเรื่องราวความเป็นมาแบบย่นย่อ

ลุงมิ่งฟังเสร็จก็หน้าซีดเป็นไก่ต้ม ตัวเขาเองเคยได้ยินเรื่องนี้อยู่บ่อยครั้ง ตอนที่ไปนั่งกินกาแฟที่ตลาดหมู่บ้านข้างๆ และไม่เคยคิดจะเข้าไปยุ่มย่ามแม้แต่น้อย ยิ่งห่างเท่าไหร่ยิ่งดี ไหงวันนี้ต้องมาเข้าร่วมก๊วนแบบไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ถ้าพูดเป็นภาษาชาวบ้านก็คงไม่มีใครอุตริท้าทายอะไรแบบนี้ ยกเว้นอยู่คนเดียว

“ยักษ์ พูดจริงเหรอวะ เล่นอะไรพิเรนๆ แบบนั้น”

“พิรงพิเรนอะไร” ลุงยักษ์ตอบฮาๆ แต่เมื่อเห็นเพื่อนไม่ขำด้วย จึงบอกเหตุผลว่า สงสารน้าส้มกับแม่ อยู่กันแค่ 2 คนกับน้องที่เพิ่งคลอด ไม่มีคนดูแล แถมแฟนปอดแหกของน้าส้มก็ตายไปแล้ว ลุงมิ่งไม่สงสารเหรอ ต้องอยู่แบบหลบๆ ซ่อนๆ

ชาวบ้านชาวช่องตะวันยังไม่ตกก็มุดกลับเข้าบ้านกันหมด ลุงยักษ์บอกว่าไม่ชอบอะไรอึมครึมแบบนี้ก็ลองให้รู้กันไปเลย ประชดประชันจบก็หันไปทางอาสิงห์ที่กำลังขบฟันกรามจนแทบละเอียดหลังถูกพาดพิง

“เรียกกรูมาเพราะเรื่องนี้ไม่ใช่เหรอวะ?”

มติก็เป็นเอกฉันท์ด้วยประการฉะนี้

หลังจากตกลงกันเรียบร้อย อาสิงห์จูงมอเตอร์ไซค์เก่าๆ ออกมาอีกคัน และบอกพ่อกับแม่ว่าจะไปทำธุระ

พรุ่งนี้เช้าจะกลับ (เพราะถ้าบอกความจริงคงโดนด่าแน่ อยู่ดีไม่ว่าดีไปเล่นกับอะไรพิเรนแบบนั้น) หลังจากนั้นทั้งหมดก็ขี่มอเตอร์ไซค์ตามกันออกไปติดๆ

บนท้องถนนเปล่าเปลี่ยวไร้ชาวไร่ชาวนาแม้แต่คนเดียว อาสิงห์หันซ้ายหันขวาหวั่นๆ ลุงมิ่งที่นั่งซ้อนท้ายลุงยักษ์อยู่ก็พูดอย่างหวาดๆ

“เชี่ย… ยังไม่ห้าโมงแท้ๆ คนหายไปไหนหมดวะ ประตูบ้านก็ปิดเงียบเชียบกันหมด”

พ่อยอดขมองอิ่มได้ยินจึงตอบกลับ “ถ้าพี่ไม่อยากให้เรื่องนี้ลามข้ามตำบลไปถึงหมู่บ้านเรา ก็ลองกับมันสักตั้ง ไม่มันก็เรานี่ล่ะที่ต้องเผ่น”

ลุงยักษ์พูดออกไป โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าในอนาคตข้างหน้า จะเกิดเรื่องที่แสนเลวร้ายมากกว่าครั้งนี้หลายเท่านัก

เมื่อทั้งสามมาถึงที่หมาย น้าส้มกับแม่ก็ยิ่งแปลกใจหนักกว่าเดิม เพราะวันนี้มีชายฉกรรจ์ 3 คนมาขอค้างอ้างแรม อาสิงห์รับหน้าที่ประสานงาน บอกทุกอย่างให้น้าส้มกับแม่รับรู้ (แต่บอกไม่หมด) ส่วนลุงยักษ์กับลุงมิ่งยืนคุยกันอยู่นอกบ้าน

แต่ยิ่งเย็นย่ำมากเท่าไหร่ความฮึกเหิมดันยิ่งลดน้อยลง ลุงมิ่งดูจิตตกไม่ต่างกับทุกคนที่เหลือ ใช่สิยังมีเมียและลูกต้องดูแล แถมลูกก็เพิ่งจะ 10 ขวบต้นๆ รุ่นเดียวกับน้องสาวลุงยักษ์ อีกอย่างจะมีสักกี่คนที่จะทำใจได้ว่าคืนนี้จะต้องเจอกับอะไรบางอย่างที่วิ่งหนีมาตลอด มีลุงยักษ์คนเดียวที่เก็บอาการได้เป็นอย่างดีตามประสาคนใจกล้า เขาเดินออกมาด้านนอกจูงมอเตอร์ไซค์มาไว้ข้างประตู เสร็จแล้วจึงบอกให้อาสิงห์กับลุงมิ่งเตรียมหาอาวุธคู่มือไว้ด้วยเผื่อเกิดมีอะไรโผล่มาจริง

อาสิงห์เองก็ลืมคิดเรื่องนี้ไปเสียสนิท ดันไม่ได้หยิบอะไรติดตัวมาสักชิ้น เข้าไปในบ้านว่าที่แม่ยาย

ก็ไม่มีอะไรพอเป็นอาวุธได้นอกจากมีดปอกผลไม้เล็กๆ กับอีโต้ทื่อๆ จึงจำต้องใช้ภูมิปัญญาชาวบ้านที่เคยได้ยินได้ฟังมา

…กระสือเป็นผี มีหัวมีไส้ลอยไปลอยมาใช่มั้ย? เอาที่ได้ยินมาก็ต้องกลัวอะไรที่เป็นของมีคม หรือหากเป็นหนามไผ่หรือใบหนาดก็โอเคอยู่ แต่ดันไม่มีทั้งสองอย่าง สรุปคืออาสิงห์กับลุงมิ่งเอากิ่งมะนาวมาพันกับไม้หน้าสาม นั่นคืออาวุธดีสุดเท่าที่มี ณ ตอนนี้

แสงอาทิตย์สุดท้ายกำลังลาลับ ความมืดมิดกำลังเข้ามาแทนที่ วันนี้ทุกคนจำต้องเข้าไปอัดกันใบบ้านหลังเล็ก เพราะเกรงว่าบางสิ่งที่รออยู่ข้างนอกเห็นคนเยอะอาจจะเปลี่ยนใจ ทั้ง 6 ชีวิตจึงปิดประตูอยู่กันอย่างเงียบฉี่ ตะเกียงค่อยๆ ถูกดับไปทีละดวง เหลือเพียงตะเกียงน้ำมันเล็กๆ ดวงเดียว 

สามหนุ่มสามมุมนั่งเบียดกันอยู่บนโต๊ะเล็กๆ อาสิงห์จึงเริ่มเล่าว่า…ชาวบ้านแถบนี้เชื่อกันว่ากระสือตนนี้ชื่อยายเฟื้อง (นามสมมุติ) มีคนบอกว่าอยู่มานานจนหงอนขึ้นแล้ว (หงอนอะไรก็ไม่ทราบนะครับ แต่คงไม่ใช่หงอนไก่) อาศัยในหมู่บ้านลึกเข้าไป 

แต่แม้จะระบุตัวได้ขนาดนั้นก็ไม่มีใครกล้าไปตอแย เพราะลูกเขยของยายเฟื้องเป็นถึงผู้ใหญ่บ้าน มีบริวารนับสิบ (นับทีนก็คูณสองเข้าไป) ใครหน้าไหนพูดใส่ร้ายแม่ยายที่รักเป็นต้องไปนอนหยอดน้ำข้าวต้มที่อนามัยทุกราย

ลุงยักษ์นั่งฟังพลางหมุนลูกโม่ ตรวจเช็คสภาพอาวุธปืน บ่นพึมพำคนเดียวว่า ไม่เห็นจะกลัวเลย

เพื่อน 2 คนเห็นก็แปลกใจ

“นี่พกปืนมาด้วยเหรอ” ลุงมิ่งถาม ลุงยักษ์พยักหน้าใส่กระสุนกลับเข้าคืนรังเพลิง

“ใช่สิพี่ ถ้าเจอจริงจะสอยให้ร่วงเลย”

ลุงมิ่งกับอาสิงห์ไม่ค่อยเห็นด้วยที่ต้องใช้อาวุธบรรลัยกัลป์แบบนั้น มันเสี่ยงคุกเสี่ยงตาราง แค่เอาปืนมาพลิกไปมาขาก็ก้าวเข้าซังเตไปข้างแล้ว ที่สำคัญสุดๆ ถ้าปืนทำอะไรพวกผีสางนางไม้ได้จริง คนก็ไม่กลัวผีกันหรอก คงไล่ยิงอุตลุด

ลุงยักษ์ก็บอกเพียงว่าพกไว้ให้อุ่นใจก็เท่านั้น สุดท้ายอาสิงห์ซึ่งมีความรู้เรื่องอาวุธปืนอยู่บ้างพูดว่าปืนโบราณขนาดนี้ แน่ใจนะว่ายังใช้ได้ จับไปจะเป็นบาดทะยักมั้ย เก่าเหลือเกิน

อาสิงห์บ่นจบปุ๊บ มีเสียงซวบซาบมาพร้อมกับเสียงดังแจ๊บๆ มาจากข้างบ้านปั๊บ ลุงยักษ์กับอาสิงห์ลุกพรวดขึ้นพร้อมกัน ส่วนลุงมิ่งออกอาการเปลี้ยในทันที ลุงยักษ์ถามเพื่อความแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ข้างนอกใช่มั้ย

“อะ เออ… ส้มกับแม่อยู่ในห้อง” อาสิงห์ตอบเสียงสั่น

ลุงยักษ์กระชับปืนในมือแน่นและกระซิบกับเพื่อนเบาๆ

“มันมาละ”

อ่านต่อ – กระสือยายเฟื้อง ตอนจบ

Previous articleประสบการณ์เที่ยวเกาะช้างครั้งแรก…แต่โดนวิญญาณตามกลับมาด้วย
Next articleกระสือยายเฟื้อง โดย กฤตานนท์ ตอนจบ