เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อปี 2554 เป็นเรื่องราวของกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่ ตัดสินใจไปเที่ยวที่เกาะช้าง ก่อนที่จะมีเพื่อนคนนึงได้พาใครก็ไม่รู้กลับมาจากเกาะช้างด้วย บอกได้เลยว่าน่าขนลุกมาก ส่วนเรื่องราวจะเป็นยังไงเราไปอ่านกันเลยดีกว่า
สวัสดีครับก่อนอื่นต้องบอกว่าผมเป็นคนที่ไม่เชื่อเรื่องแบบนี้มาก่อนเลย แต่ก็ไม่ลบหลู่นะครับ จนกระทั่งมาเจอกับตัวจริงๆ เลยทำให้ผมเปลี่ยนความคิดไปเลย
เรื่องมีอยู่ว่าผมเป็นคนต่างจังหวัดไปเรียนกรุงเทพฯ แล้วมีพี่มีเพื่อนมีน้องที่ชอบชวนไปเที่ยวต่างจังหวัดทำบุญบ้าง แต่มีอยู่ครั้งนึงที่ทำเอาผมหลอนไปเลยครับ
ตอนนั้นเป็นช่วงปีใหม่ ผมพึ่งเรียนจบมาใหม่ๆและได้รู้จักน้องคนนึง เป็นผู้ชาย อายุห่างจากผม 5 ปี ชื่อบอส บอสมักจะเรียกผมว่า ป๋า ซึ่งผมสอนเค้าเล่นสนุกเกอร์ แล้วเราก็เริ่มสนิทกันไปไหนมาไหนด้วยกัน จนช่วงปีใหม่น้องเค้าจะกลับไปเคาท์ดาวที่บ้าน ที่จังหวัดตราด ก็เลยมาชวนผมและเพื่อนเค้าอีก 2 คน คนนึงผู้หญิงและอีกคนเป็นทอม เป็นเพื่อนที่มหาลัยของบอส ซึ่งผมไม่รู้จักและไม่สนิท เพื่อนผู้หญิงผมจะเรียกว่าหญิง ส่วนเพื่อนที่เป็นทอม ผมจะเรียกว่า ทอม ละกัน
ที่บ้านของบอสจัดว่ามีฐานะเลยครับ พ่อเค้าทำธุรกิจค้าไม้และปาล์ม จัดงานอะไรทีนึงแทบไม่ต่างจากงานเลี้ยงรุ่น หรืองานเลี้ยงใหญ่ ๆ เลย
วันที่ 1 มกราคม ปี 2011 เราเดินทางจากกรุงเทพฯ ช่วงบ่ายไปถึงตราดประมาณช่วงเย็น และต่อรถไปยังบ้านบอสที่อยู่ในตัวเมืองตราดต่อ มาถึงบ้านก็เจอคุณพ่อคุณแม่ของบอสกำลังจัดงานปีใหม่งานเลี้ยงขอบคุณลูกค้าพอดี โต๊ะจีนอาหารเยอะมาก เราก็กินกันเต็มที่เลย
พอเวลาล่วงเลยไปสักประมาณ 5 ทุ่ม เที่ยงคืน งานเลี้ยงเลิกลา พวกเราก็ไปนอนกันที่บ้านอีกหลังที่ทางคุณพ่อคุณแม่ได้จัดเตรียมไว้ให้ เป็นบ้าน 2 ชั้น ซึ่งบอสก็ไปนอนกับพวกเราด้วย บ้านหลังนี้ส่วนใหญ่จะเตรียมไว้ให้แขกที่มาเที่ยวบ้าน จึงไม่มีใครเข้ามาพักนานแล้ว พอมาถึงต่างคนต่างอาบน้ำเข้านอนกันนอน
เราแบ่งกันนอนห้องละ 2 คนผมนอนกับบอส หญิงนอนกับทอม แต่เพราะความแปลกที่ ผมจึงนอนไม่หลับ ตอนนั้นเวลาประมาณตี 2 ผมก็เลยชวนบอสไปหาเพื่อนที่อยู่อีกห้อง เคาะประตูไป ก็เห็นว่าเพื่อนนอนไม่หลับเหมือนกัน เราก็เลยมานั่งคุยกันว่าพรุ่งนี้จะไปเที่ยวไหนกันดี บอสก็เลยเสนอจะพาเราไปเที่ยวเกาะช้าง ไปนอนสัก 3 คืน เราจึงตกลงกันตามนั้น แล้วก็แยกย้ายกันไปนอน เพราะตอนนี้ก็ตี 3 กว่าแล้ว
เราตื่นกัน 10 โมงกว่า รีบอาบน้ำออกไปหาไรกินกันที่บ้านใหญ่ กินเสร็จก็ไปหาพ่อแม่บอส บอกว่าจะไปเที่ยวเกาะช้างกัน แม่บอสก็ถามว่าจะไปนอนกันกี่คืน ช่วงนี้ปีใหม่คนเยอะนะ บอสก็บอกว่า 2-3 คืน แม่บอสก็ไม่ได้ว่าอะไร แถมยังให้เงินไปเที่ยวอีกตั้ง 7,000 บาท
ช่วงบ่าย ๆ คุณแม่บอสขับรถไปส่งพวกเราที่ท่าเรือเฟอร์รี่ ขึ้นเรือประมาณบ่าย 3 กว่าๆ ถึงเกาะประมาณ 4 โมง ด้วยความที่เราไม่ได้จองห้องพักกันมาก่อน จึงรีบเดินหาที่พักกัน เดินหากัน 3-4 ที่ ปรากฏว่าที่พักเต็มทุกที่ จนเราเดินมาถึงจุดที่รถสองแถวจอดรอนักท่องเที่ยวอยู่ จึงเดินเข้าไปถามลุงคนขับรถสองแถวว่า ลุงครับพอจะมีห้องพักค้างแรมบ้างไหม ลุงขับรถบอกว่า จริงๆมันก็มีนะ เป็นทั้งรีสอร์ทและก็มีพื้นที่ของเต็นท์ให้นอนกลางแจ้งด้วย
ด้วยความที่ตอนนั้นเย็นมากแล้ว ทำให้เรามีตัวเลือกไม่มาก เราจึงตัดสินใจตกลงไปพักที่ลุงคนขับบอก แล้วลุงก็ขับรถไปส่งพวกเราที่รีสอร์ทแห่งนี้ แต่พอมาถึงที่พักปรากฏว่า ห้องพักเต็มหมดแล้ว แต่โชคดีที่ยังมีพื้นที่ของเต็นท์ว่างอยู่ เราก็เลยตกลงเช่าเต็นท์นอนด้วยกันทั้งหมดเลย ซึ่งเต็นท์ที่พวกเราเช่านั้นค่อนข้างใหญ่พอสมควรเลย
หลังจากนั้นเราก็เอากระเป๋าเข้าไปเก็บในเต็นท์ เก็บกระเป๋าเสร็จก็เกิดอยากเล่นน้ำทะเลกัน ตอนนั้นยังไม่ค่ำมาก เราจึงรีบไปเล่นน้ำทะเลกัน เล่นไปเล่นมาเวลาล่วงเลยไปเกือบ 6 โมงเย็น วิวพระอาทิตย์ตกดินสวยมาก แต่เชื่อไหมทั้งหาดเงียบกริบ มีเราเล่นน้ำกันอยู่แค่ 4 คน
หลังจากเล่นน้ำเสร็จ ทางรีสอร์ทก็เอาเตาย่างปลามาให้ เราจึงออกไปหาปลามาย่าง ซื้อเบียร์มากินกัน กินกันไปได้สักพักต่างคนต่างเริ่มเมา จึงกลับเข้าเต็นท์จัดที่หลับที่นอน แล้วนั่งคุยกันในเต็นท์
หญิงบอกว่าทำไมพื้นที่ห้องพักในรีสอร์ทมันเต็มหมดเลย แต่พื้นที่กางเต็นท์ที่มันสามารถพักได้ 4-5 ครอบครัว มันกลับโล่งไม่มีใครเข้ามาพักเลย ทุกคนที่เหลือก็ต่างรู้สึกแปลกใจเช่นกัน แต่ก็ไม่อยากจะคิดอะไรมาก จนเวลาล่วงเลยไปประมาณ 4 ทุ่มกว่า เราก็เข้านอนกันหมด
ด้วยความที่มันแปลกที่ทำให้ผมนอนไม่หลับสักเท่าไหร่ ก็เลยรู้สึกปวดฉี่ จึงเดินออกจากเต็นท์เพื่อไปห้องน้ำ ตอนนั้นบรรยากาศมันมืดมากๆ แล้วห้องน้ำก็อยู่ห่างจากเต็นท์ประมาณ 50 เมตรเห็นจะได้
ผมใช้แสงไฟฉายจากมือถือส่องไปตามทางเดิน เดินไปก็คิดไปขนลุกไปด้วยว่าจะมีอะไรโผล่มาหรือเปล่าวะ จนเดินมาถึงห้องน้ำ ต้องบอกเลยว่าไอ้ห้องน้ำเนี่ยมันทั้งเก่าทั้งไม่สะอาดเท่าที่ควร ไฟบางห้องติดบ้าง บางห้องก็ไม่ติด บางห้องติดๆดับๆ ผมเดินเปิดประตูห้องน้ำทุกห้องเลยครับ แต่มันก็ไม่ช่วยอะไร มันก็ยังมืดอยู่
หลังจากที่ผมฉี่เสร็จ กำลังจะกลับ จู่ๆผมก็ได้ยินเสียงแว่ว ๆ เป็นเสียงของผู้ชายแก่ๆพูดว่า “ขอไปอยู่ด้วย ๆ” ด้วยความกล้ว ผมจึงพยายามคิดว่าหูฝาดไปเอง แล้วรีบเดินกลับไปที่เต็นท์ มาถึงเห็นทุกคนหลับกันหมดแล้ว ผมเลยนอนหลับบ้าง
วันที่ 2 มการาคม ผมตื่นขึ้นมาประมาณตี 5 ปรากฏว่าเพื่อนๆตื่นกันหมดแล้ว บอสเข้ามาปลุกผมบอกวันนี้เราไปหาซื้อทัวร์ไปดำน้ำกันดีกว่า เมื่อวานตอนไปตลาด เห็นเค้าบอกหัวละ 550 บาท จ่ายเงินตอนเช้า เรือออก 8 โมง ไปเที่ยว 5 เกาะ พอ 6 โมงเช้า เราก็ได้ออกไปหาไรกินกัน เสร็จแล้วก็ไปจ่ายค่าทัวร์
หลังจากจ่ายค่าทัวร์เสร็จเราได้มานั่งรอรถที่หน้ารีสอร์ท พอ 8 โมงรถมาถึง เราก็ขึ้นรถไปที่ท่าเรือ ซึ่งห่างจากรีสอร์ทที่เราพักพอสมควร
พอมาท่าเรือ พวกเราก็ขึ้นเรือสปีดโบ๊ทไปเที่ยวยังเกาะต่างๆ ต้องบอกก่อนว่าเรือที่เราใช้นั่งกันไปไม่ได้เป็นเรื่องส่วนตัวนะ เป็นเรือแบบว่าที่นักท่องเที่ยวหลายๆคนมานั่งกัน แล้วจะรอจนกว่าคนจะครบ เรือเหล่านี้ก็จะออกจากท่า ซึ่งนักท่องเที่ยวจะเป็นฝรั่งซะส่วนใหญ่ ไม่ค่อยมีคนไทยหรอก
พอเรือเริ่มออกเราก็เดินเล่นดูนั่นดูนี้กันในเรือไปเรื่อย พอถึงเกาะแรก เด็กในเรือก็บอกให้ใส่ชูชีพลงไปดำน้ำ ดูปะการัง พวกคนไทยก็ใส่กันเกือบทุกคน แต่ฝรั่งเค้าจะไม่ใส่กัน จากนั้นก็ไปต่อเกาะสองเกาะสาม เราพักกินข้าวในเรือที่เกาะ 3 กันตอนเที่ยง ๆ
พอบ่ายโมง กินเสร็จ เรือไปถึงเกาะที่ 4 พวกเราก็ลงเล่นน้ำ จนเด็กเรือบอกว่าจะไปเกาะที่ 5 แล้วนะ ให้ทุกคนรีบกลับขึ้นเรือ เราทุกคนก็กลับขึ้นเรือกัน แล้วบังเอิญผมได้เจอกับพี่ชายที่รู้จักกัน แกมาเที่ยวกลับแฟน เราคุยกันไปได้สักพัก ผมเล่าถึงที่พักที่ผมพักอยู่ ว่ามันก็ดีแต่เสียดายไม่มีห้องว่างและมันเงียบ ๆ ไม่ค่อยมีคนเล่นน้ำกัน
พี่เค้ามองหน้ากันครู่นึงแล้วบอกว่า อ่อที่…. พี่แนะนำนะ ย้ายออกเถอะ ไปพักที่หาดทรายขาวดีกว่า พี่พักอยู่ ที่นั่นห้องเริ่มว่างแล้ว และอีกอย่างพี่ก็กลับวันนี้ ห้องพี่ว่าง นั่งรถสองแถวไปอีกไม่กี่กิโลเมตร และนี่ก็วันที่ 2 แล้ว คนน่าจะเริ่มกลับกันบ้างแล้ว
คุยไปคุยมาเราก็ถึงเกาะที่ 5 แต่เกาะนี้เค้าไม่ดำน้ำนะคับ เค้าให้ลงไปเดินดูลิงและถ่ายรูปกันถึงประมาณ 4 โมง เดินกันไม่นานก็ขึ้นเรือกลับเกาะช้าง ซึ่งตอนนั้นผมสองจิตสองใจว่าจะเล่าเรื่องนี้ให้เพื่อนฟังดีไหม แต่พอคิดไปคิดมาชั่งน้ำหนักแล้ว ก็เลยตัดสินใจว่าเล่าให้ฟังดีกว่า
หลังจากที่ลงเรือแล้ว ผมก็เล่าให้เพื่อนฟัง พอเล่าจบ หญิงก็พูดขึ้นมาเลยว่า เจอเหมือนกัน หญิงบอก เมื่อคืนเจอผู้ชายมายืนอยู่หน้าเต็นท์ แต่เห็นเป็นเงาๆ เราก็ตกใจ หันซ้ายมองขาว เห็นทุกคนหลับหมดแล้ว ก็เลยพยายามข่มตานอน และไม่กล้าเล่าให้ใครฟังด้วย
พอทุกคนได้ยินดังนั้น จึงลงความเห็นกันว่า กลับไปถึงรีสอร์ท จะเช็คเอาท์ออกทันที แล้วย้ายไปพักที่หาดทรายขาวตามที่พี่สองคนนั้นบอก
ประมาณ 6 โมงเย็น พวกเรานั่งรถสองแถวมาถึงที่พัก รู้สึกเหนียวตัวจึงแยกย้ายกันไปอาบน้ำ ทำให้ต้องเสียเวลาไปอีกนิดนึง กว่าจะอาบน้ำอาบท่าเสร็จก็ปาไป 6 โมงครึ่ง
ผมเป็นคนแรกที่เก็บกระเป๋ามาถึงจุดนัดพบ ตามมาด้วยหญิงและทอม และบอสมาเป็นคนสุดท้าย ขณะที่เรากำลังนั่งรอรถสองแถวกันอยู่ เหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นอีกแล้ว เมื่ออยู่ดี ๆ หญิงก็มีอาการแปลกๆ จากตอนแรกที่นั่งอยู่ข้างผมก็นอนหมอบลงไปที่พื้น ตาเหม่อลอย ทำเสียงสะอึกสะอื้น
ตอนนั้นผม บอสและทอม ถึงกับงงกันเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับหญิง สักพักหญิงก็หายเป็นปกติ แล้วกลับมานั่งที่เดิม ผมก็เลยถามว่าเหญิงเป็นอะไรหรือเปล่า หญิงก็สะบัดหน้าบอกว่าไม่เป็นอะไร
พวกเรานั่งรอไปสักพักรถสองแถวก็มาถึง จังหวะนั้นเอง ผู้หญิงก็บอกว่าเดี๋ยวขอไปเข้าห้องน้ำแป๊บนึงนะ เราสามคนจึงช่วยกันขนข้าวขนของขึ้นรถจนเสร็จ ลุงคนขับก็ถามว่า พร้อมหรือยัง จะออกหรือยัง??
ผมจึงบอกกับลุงคนขับไปว่า “พี่แป๊บนึง มีเพื่อนผู้หญิงอีกคนนึงกำลังไปเข้าห้องน้ำอยู่” ผ่านไปสักพักหญิงก็ยังไม่กลับมา เราก็แปลกใจว่าทำไมไปนานจัง จึงตะโกนเรียกว่า “เฮ้ย!! มาหรือยัง รถจะออกแล้ว รีบมา รีบมา”
สิ้นเสียงของผม หญิงก็เดินออกมาจากห้องน้ำ แต่ลักษณะท่าทางการเดินมันผิดแปลกไป หญิงไม่ได้เดินเหมือนคนทั่วไป แต่เดินหลังโก่งก้มหน้าก้มตา เดินมาอย่างช้าๆ เอาจริงผมไม่อยากคิดอะไรหรอก ถ้ามือข้างซ้ายของหญิงไม่เอื้อมไปข้างหลัง เหมือนกำลังจูงมือใครสักคนเดินมาด้วย
ตอนนั้นบอสรู้สึกรำคาญเลยบอกว่า ทำไมมันเดินช้าอย่างนั้น มันนอนน้อยหรือเปล่า จึงตัดสินใจเดินลงไปจูงมือหญิงมาขึ้นรถ
แล้วบอสก็จูงมือพาหญิงมาขึ้นรถจนได้ หลังจากนั้นผมก็ตะโกนบอกคุณลุงคนขับว่า โอเคพร้อมแล้วไปได้เลยครับ คุณลุงก็ถามว่า “อ้าวพร้อมแล้วหรอ มีกี่คนล่ะ” ผมก็บอกไปว่า “มากัน 4 คนครับลุง”
คุณลุงเขาไปมองที่กระจกมองหลัง แล้วแกก็หันหลังมามองพวกผม แล้วก็หันไปมองที่กระจกมองหลังอีกรอบนึง แล้วแกก็บอกว่า “ไอ้หนุ่ม ถ้า 4 คนเหมา 200 ได้นะ แต่ถ้ามากัน 5 คน ลุงต้องคิด 300 นะ” พอลุงพูดอย่างนั้น พวกผมสามคนต่างมองหน้ากันเลยครับ ผมชี้นิ้วนับ 1 2 3 4 แล้วใครคนที่ 5 ใครวะ
ในตอนนั้นเอง หญิง ก็พูดขึ้นมาว่า “คนที่ 5 หรอ นี่ไง คุณลุงคนที่นั่งอยู่ข้างๆเรานี่ไง”
ผมนี่ขนลุกซู่เลยครับ ผมก็พูดกับหญิงว่า “เฮ้ย เล่นอะไรเนี่ย คุณลงคุณลุงอะไรไม่เห็นมีใครเลย” หญิงก็บอกว่า “ก็นี่ไงนั่งอยู่ระหว่างเรากับทอมเนี่ย คุณลุงเขาบอกว่าขอไปด้วยได้ไหม เขาไม่มีที่จะไป” เท่านั้นแหละ ผมกระโดดกอดบอส ส่วนทอมกระเถิมเข้าไปนั่งในสุดเลย
ลองนึกภาพตามนะครับ ตอนแรกผมและทอมนั่งรออยู่บนรถคนละฝั่ง จากนั้นบอสจุงมือหญิงขึ้นมา บอสมานั่งข้างผม ส่วนหญิงก็ไปนั่งข้างทอม แต่จังหวะที่หญิงนั่งลง หญิงได้เว้นที่ว่างตรงกลางระหว่างทอมกับตัวเองประมาณหนึ่งคนนั่งพอดี แล้วก็หันไปคุยกับที่ว่างๆตรงนั้น
ระหว่างที่รอรถออก หญิงก็คุยกับพื้นที่ว่างข้างๆไม่หยุดเลย จนผมกับบอสที่นั่งอยู่ข้างกันรู้สึกขนลุก แล้วบอสก็มากระซิบข้างหูผมว่า มันอาจจะมีอะไรจริงๆก็ได้นะ ป๋าลองหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายดูไหม เปิดแฟลชด้วย เขาว่าถ้าเปิดแฟลชมันจะเห็น ไม่เห็นเป็นตัวก็เห็นเป็นเงานั่นแหละ
ผมจึงตัดสินใจหยิบกล้องในกระเป๋าขึ้นมา มองดูในจอของกล้องมันก็ไม่เห็นอะไรนะ แต่พอกดชัตเตอร์เท่านั้นแหละ เห็นจริง ๆ ครับ เห็นเป็นเงาดำๆ เหมือนผู้ชายสูงเกือบ 2 เมตร กำลังนั่งก้มคออยู่ข้างๆหญิง ทำเอาผมสามคนหลอนไปเลยครับ
ตอนนั้นบอสรู้สึกไม่สบายใจก็เลยตัดสินใจโทรไปหาคุณแม่และเล่าเรื่องทั้งหมดให้คุณแม่ฟัง ด้วยความที่แม่เป็นห่วงก็เลยบอกให้บอสกลับบ้านทันทีเลย ซึ่งตอนนั้นเป็นเวลาที่ท่าเรือกำลังจะปิดแล้ว แต่มันก็ยังพอมีเวลาอยู่
ระหว่างที่คุยกับคุณแม่อยู่ บอสก็หันมาถามเพื่อนๆว่าจะกลับกันเลยไหม พ่อแม่อยากให้กลับกันแล้ว ทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า กลับ!! ไม่ไหวแล้วเหมือนกัน กลัว ยกเว้นหญิงที่ตอบว่าไม่กลับอยู่คนเดียว แถมยังบอกอีกว่า “ถ้าจะกลับ เอาคุณลุงกลับไปด้วยนะ”
บอสก็เลยบอกกับแม่ว่างั้นเดี๋ยวกลับเลยแล้วกัน แม่ก็บอกว่าโอเคงั้นรีบกลับมาเลยตอนนี้ยังพอมีเรืออยู่ เดี๋ยวแม่กับพี่ชายไปรอรับที่ท่าเรือ
จากนั้นบอสก็ลงไปคุยกับลุงคนขับรถว่า “ลุง ผมเปลี่ยนใจแล้ว ขับไปส่งที่เรือเฟอร์รี่หน่อย พอดีมีเรื่องด่วนต้องกลับบ้านตอนนี้” คุณลุงคนขับรถก็บอกว่า “เอ้าทำไมรีบกลับล่ะเพิ่งมากันไม่ใช่หรอ”
บอสจึงบอกกับลุงคนขับไปว่า “พากลับหน่อยเถอะ ให้ 500 บาทเลย” แต่ลุงบอกว่า “ต้องจ่ายในราคาเหมา 700 บาท เพราะนี้ก็เหลือเรือเที่ยวสุดท้ายแล้วและอีกอย่างมันเรื่องก็ใกล้จะออกแล้ว” ณ ตอนนั้น เท่าไรก็ไปหมดแหละ เพราะอีก 20 นาทีก็ 1 ทุ่มแล้ว เรือจะออกแล้ว
จังหวะนั้นเอง ขณะที่รถกำลังจะออก ได้มีแขก 2 คน เป็นพ่อลูกกัน ที่พักใกล้กับที่พักเราขอติดรถไปลงที่หาดทรายขาวด้วย ซึ่งตอนนั้นเราก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะเราเหมาไปแล้ว และอีกอย่างเราก็ต้องผ่านหาดทรายขาวอยู่แล้ว ผมจึงให้สองคนพ่อลูกขึ้นมานั่งฝั่งผม ซึ่งตรงข้ามกับหญิงพอดี
ขณะที่รถกำลังเคลื่อนตัวไป ผม บอสและทอมต่างนั่งเงียบไม่พูดจาอะไรกัน แต่ผมสังเกตุเห็นว่าลูกของผู้ชายที่ขึ้นมากำลังเงยหน้าเหมือนมองสงสัยอะไรสักอย่าง ตรงที่ว่างข้าง ๆ หญิง แล้วอยู่ดี ๆ ผมก็ขนลุกขึ้นมา
จนรถขับมาถึงหาดทรายขาว หยุดลงที่หน้ารีสอร์ทแห่งหนึ่ง สองพ่อลูกเดินลงจากรถ แต่ก่อนที่พวกเขาจะจากไป เขาได้หันกลับมาพูดว่า “ระวังนะ คุณลุงคนนั้นที่ไม่ใส่เสื้อน่ะ อากาศมันเย็นระวังจะเป็นหวัด ไปละ บ๊ายบาย” เราสามคนนนี่มองหน้ากันเลยครับ
ระหว่างทางที่รถสองแถวมุ่งหน้าไปท่าเรือเฟอร์รี่ หญิงเริ่มมีอาการแปลกๆอีกแล้ว เริ่มมีแววตาที่ดุขึ้น และร้องไห้ทุกครั้งที่ผ่านศาลเพียงตา บางทีก็ทุบขาตัวเอง เหมือนไม่พอใจ น่ากลัวมาก บวกกับข้างทางแถวนั้นมันมีแต่ป่า ผมละกลัวหญิงจะกระโดนลงจากรถจริงๆ ได้แต่ภาวะนาขอให้ผ่านตรงนี้ไปไว้ ๆ
เวลาทุ่มสี่นาที เราก็มาถึงท่าเรือเฟอร์รี่สักที ไอ้บอสก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงรีบไปจัดการเรื่องเรือก่อนที่ท่าเรือจะปิด ทิ้งให้ผมและไอ้ทอมนั่งอยู่กับหญิง แต่หญิงดูมันเบาๆลงนะ ดูนิ่งๆเงียบๆคงไม่เป็นอะไรแล้ว
หลังจากที่นั่งรอไปสักพักหนึ่ง คราวนี้หัวใจผมก็ต้องตกไปที่ตาตุ่มอีกแล้ว อยู่ดีๆหญิงก็กรี๊ดขึ้นมา เหมือนไม่พอใจ แล้วตะโกนออกมาว่า “ไม่ไปไม่ไป ถ้าจะไปต้องเอาลุงไปด้วย”
ผมก็ตกใจ รีบเข้าไปเอามือปิดปากแล้วบอกว่า “เฮ้ยใจเย็นๆเป็นอะไร คุณลุงคนไหนใจเย็นๆ” เข้าไปโอ๋เข้าไปปลอบ จนหญิงเริ่มสงบลง จังหวะเดียวกันไอ้บอสก็เดินเข้ามาพอดี บอกว่าเรือพร้อมแล้ว ให้เอาของกับคนขึ้นเรือได้เลย ผมกับไอ้บอสก็เดินขนของนำไปก่อน แล้วก็ให้ทอมพยุงหญิงขึ้นเรือตามมา
จังหวะที่กำลังเดินไปขึ้นเรือ พนักงานก็ถามว่ามากันกี่คน ให้นับจำนวนคนให้ครบ จังหวะที่ผมกำลังจะพูดว่า 4 คน ผู้หญิงก็พูดส่วนขึ้นมาเลยว่า มา 5 คน!!
พอผมกับบอสเดินถือของขึ้นไปบนเรือเสร็จ ทอมและหญิงเดินตามหลังมากำลังจะก้าวขึ้นเรือ เรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นอีกแล้ว เมื่อ จู่ๆหญิงมันก็แผลงฤทธิ์ มันกระโดดไปเกาะกับเสาไม้ ที่อยู่ตรงท่าเรือ เอาเล็บมือจิกจนเล็บหัก พร้อมกับตะโกนบอกว่า “ไม่ไป ๆ ถ้าไม่เอาคุณลุงไปด้วย กูไม่ไป”
เด็กเรือ เป็นคุณลุงดูมีอายุ เห็นเหตุการณ์พอดี เขาเลยเดินตรงมาหาหญิง ถอดสร้อยพระจากคอออกมาจะคล้องคอหญิง เท่านั้นแหละครับ จากตอนแรกที่แค่จิกเสาไม้ ตอนนี้หญิงเอามือขูดจนเลือดนี่เต็มมือเลยครับ
สถานการณ์ตอนนั้นวุ่นวายไปหมด เราช่วยกันจับล็อกตัวหญิงจนลุงเขาสามารถคล้องสร้อยพระให้หญิงได้สำเร็จ ทำให้หญิงสงบลงแล้วสลบไปเลย พวกเราจึงช่วยกันพยุงหญิงขึ้นมานอนบนเรือชั้นบน
คุณลุงบอกว่า จนกว่าจะถึงท่าฝั่งนู้น อย่าเอาออกเป็นอันขาด ซึ่งตอนนั้นพวกผมทำอะไรไม่ได้จึงต้องเชื่อพี่เขา แล้วพี่เขาก็ขับเรือออกจากท่า
ระหว่างที่เรือกำลังแล่น ผมก็ชวนบอสลงมาฉี่ที่ห้องน้ำชั้นล่างของเรือ ปล่อยให้ทอมนั่งเฝ้าหญิง แล้วเราก็ได้บังเอิญไปเจอกับพี่ที่ไปดำน้ำด้วยกัน เดินเข้ามาทักแล้วบอกว่า อ้าวน้องไหนเห็นบอกว่าจะไปพักต่อที่หาดทรายขาวแล้วทำไมกลับกันแล้วละ
ผมก็บอกว่าเกิดเรื่องแปลกๆเดียวผมเล่าให้ฟัง ผมเลยชวนพี่เค้าขึ้นมานั่งข้างบนแล้วเล่าให้เค้าฟัง แต่เค้าเฉยๆ ผมเลยขอแกติดรถกลับ กทม. ด้วยซะเลย แกก็ตกลงนะเพราะบ้านแกอยู่ กม.8 ส่วนพวกผมอยู่อาแบคเดอะมอลบางกะปิ
พอเรามาถึงฝั่งตราดซึ่งแม่บอสและพี่ชายก็มารออยู่แล้ว แม่บอสเอาสร้อยพระมาให้ผมเพื่อจะคล้องคอให้หญิง แต่หญิงไม่ยอมใส่ เราก็เลยให้หญิงไปนั่งรอในรถพี่ที่ผมจะติดรถกลับ กทม. ด้วย นั่งด้านหลังตรงกลางเบาะ พี่เค้าจากที่เห็นหญิงนอนในเรือปกติก็ไม่ได้คิดไร แต่พอตอนนี้เริ่มกลัวแล้วเหมือนกัน
(บอกก่อนนะครับว่ารถพี่เค้า เป็นรถฮอนด้าแจ๊ส และในรถก็มีแฟนพี่เค้านั่งอยู่คนเดียวฝั่งข้างคนขับ) เราก็มายืนคุยกันกับแม่บอสเล่าเรื่องต่างๆที่เจอว่าเกิดอะไรบ้าง แม่บอสก็ถามว่าเราไปทำอะไรไม่ดีมามั้ย หรือลบหลู่อะไรมาเปล่า ผมบอกว่าไม่มีนะ
หลังจากคุยเสร็จ เราก็แยกย้ายกันกลับ บอสกับแม่ก็กลับบ้านซึ่งไปอีกทางเพื่อเข้าในเมืองตราด ผม ทอม หญิง ก็ติดรถพี่เค้าไปอีกทางเพื่อกลับ กทม.
หลังจากเราออกเดินไปได้สัก 10 กิโลเมตร ต้องบอกว่าบรรยากาศในรถตอนนั้นค่อนข้างที่จะตึงเครียดมาก จู่ๆพี่ผู้หญิงก็พูดขึ้นมาว่า “หยุด หยุดรถเดี๋ยวนี้ กลับรถไปบ้านน้องบอสในเมืองตราดก่อนเลย” พี่ผู้ชายถามว่า “จะวนกลับไปทำไม เราก็มาไกลแล้วนะ” พี่ผู้หญิงสวนกลับทันที
“ไอ้เ-ี้ย กูบอกให้มึงกลับก็กลับสิวะ มึงจะถามอะไรมากมาย กลับเดี๋ยวนี้”
ผมกับทอมนี่ตกใจเลยครับ แล้วทอมมันก็พูดขึ้นมาว่า “พี่!! กลับไปเถอะผมว่าแฟนพี่คงมีเหตุผลแหละ” พี่ผู้ชายจึงวนรถกลับไปในเมืองเพื่อที่จะไปบ้านบอส
ตอนนั้นผมก็โทรให้บอสกับแม่ ให้เค้าจอดรอ เพราะผมมาครั้งแรกยังจำทางไม่ค่อยได้ พอมาเจอรถของแม่บอส เราก็ขับรถตามไปบ้านบอสกัน ซึ่งตอนนั้นก็ประมาณ 2 ทุ่มครึ่งได้ พ่อบอสได้ให้คนไปรับหมอที่รู้จักมาที่บ้านทันที
พอหมอผีเดินทางมาถึง ก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไร พูดขึ้นมาเลยว่า “โอ้โห ติดกลับมาจากเกาะช้างเลยหรอ ไปทำอะไรมาเนี่ย” พวกผมทั้งสามคนที่ได้ฟังแบบนั้นขนลุกซู่เลยครับ สงสัยว่าหมอรู้ได้ยังไง แสดงว่าหญิงจะต้องไปพูดหรือไปทำอะไรไม่ดีมาแน่นอน
ระหว่างนั้นหมอผีก็ทำพิธีอะไรของเขาไป แล้วก็นำพระมาคล้องคอให้หญิง จนหญิงก็ดิ้น ร้องกรี๊ดออกมาเหมือนตอนอยู่ที่เกาะเลย พักนึงก็สลบไป จากนั้นหมอผีก็นำน้ำมนต์มาเช็ดตาล้างหน้าล้างตา หลังจากนั้นไม่ถึง 1 นาที หญิงคนนี้ก็ฟื้นขึ้นมา
เชื่อไหมว่า หญิงฟื้นขึ้นมาด้วยอาการเหมือนคนที่หลับไปนาน เพราะหลังจากที่หญิงฟื้นขึ้นมา หญิงถามทุกคนว่า เราต้องไปเที่ยวกันแล้วไม่ใช่หรอ ทำไมยังไม่ออกจากบ้านกันอีกละ เท่ากับว่าหญิงจำอะไรไม่ได้เลย ว่าเกิดอะไรขึ้น สร้างความงงและความเงียบให้กับทุกคนที่อยู่ในบ้านมากๆ
พอทุกอย่างเป็นปกติ ผม ทอมและพี่ที่ผมจะตติดรถกลับด้วยและแฟนพี่เขาก็ขึ้นรถขับกลับ กทม. กัน ขับไปได้สัก 2 ชั่วโมง ตอนนั้นเวลาประมาณ 4 ทุ่มเกือบ 5 พี่เค้าก็ถามว่าหิวกันมั้ย ผมบอกหิวครับ!! เราจึงแวะกันกินข้าวต้มข้างทางกัน
ระหว่างกินผมได้หันไปถามพี่เค้าว่า “พี่ตอนที่พี่ใช้ให้แฟนพี่วนรถกลับไปหาหญิง พี่เห็นอะไร ผมเห็นพี่อารมณ์ไม่ดีเลย” พี่เค้าเลยเล่าว่า “ตอนที่พี่รอน้องคุยกับแม่บอส ซึ่งพี่อยู่กับน้องหญิงในรถ 2 คน จู่ ๆ กระจกมองข้างด้านขวามันก็กลางออกเอง โดยที่ไม่มีใครไปจับหรือทำอะไรมัน
และอีกอย่างระหว่างที่เราแยกกับบอสมุ่งหน้าไป กทม. เพื่อนน้องที่นั่งอยู่ด้านหลัง จองหน้าพี่ผ่านมางกระจกมองหลังของรถตลอดเวลาเลย แววตาดุมากเหมือนจะเห็นแต่ตาขาวนะ แล้วมือเค้าคล้ายกับจะเอื้อมเปิดประตูรถ เตรียมกระโดดตลอดเวลา พี่เลยกลัว เลยให้แฟนวนรถกลับไปบ้านแม่บอส
พอพี่เค้าเล่าจบ พี่เค้าก็ย้อนกลับมาถามน้องหญิงว่า แล้วทำไมระหว่างทางถึงร้องตลอดทาง หญิงบอกว่า เค้าหลับเค้าไม่รู้เรื่องเลย
หลังจากกินเสร็จ เราก็ออกเดินทางกันต่อ จนกลับมาถึง กทม ทุกคนก็ยังสงสัยว่าลุงคนนั้นที่ตามหญิงมาเป็นใคร ตอนแรกพวกผมสงสัยว่าคงเป็นสัมพเวสีแถวนั้น หรอไม่ก็คงเป็นเพราะตอนขากลับจากดำน้ำ บอสและหญิงไปยืนท้ายรถแล้วตะโกนพูดคุยกันเสียงดัง
ซึ่งระแวกนั้นมันเป็นป่าตลอดทาง แถมยังมีศาลเพียงตาตลอดทาง และอีกอย่างหญิงมักมีอาการแบบนี้บ่อย (ผีเข้า) เพราะเป็นคนจิตอ่อน
จนกระทั่งหญิงมาเล่าเพิ่มเติมให้ฟังที่หลังว่า ตอนที่หญิงเห็นเงาผู้ชายมายืนอยู่หน้าเต็นท์ ตอนแรกหญิงลืมตาสะลึมสะลือขึ้นมา แล้วดันพูดทักออกไปว่า ใครน่ะ!!
หรืออาจจะเป็นเพราะตอนที่หญิงเห็นเงาผู้ชายมายืนอยู่หน้าเต็นท์ แล้วหญิงเผลอไปทักหรือเรียกให้เข้ามาก็เป็นได้
และนี่คือเรื่องราวทั้งหมด ต้องบอกเลยว่า เรื่องราวที่เกิดขึ้นอาจจะไม่เห็นผีแบบจะๆ เป็นตัวเป็นตน แต่ผมรับรองเลยว่า เป็นเรื่องที่เจอมากับตัวจริงๆ สาบานเลยว่าเกิดขึ้นจริงๆอย่างแน่นอน ถ้าใครได้มาอยู่ในเหตุการณ์แบบเรา เรามั่นใจว่าคุณต้องกลัวจะขนลุกอย่างเราแน่นอน
ขอบคุณที่มา : พันทิป แท็กเรื่องสยองขวัญ