จิตยังห่วง ยายจ๋าไม่ต้องห่วง ไปเกิดเถิดนะยาย 

จิตยังห่วง

เรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับยายของดิฉัน ยายของดิฉันอายุเยอะมากแล้ว ตอนที่ยายเสียอายุ 87 ปี นิสัยส่วนตัวของยายจะเป็นคนชอบแกล้งชอบเล่น ในบ้านของเราเด็ก ๆ จะเยอะหน่อยค่ะ จะมีลูกของดิฉัน 2 คน ของน้องสาว 2 คน และหลานที่รับมาเลี้ยงอีก 1 คน อายุจะไล่เลี่ยกันค่ะ 13, 12, 8, 7 และ 3 ขวบครึ่งตามลำดับ

ในคืนวันที่ 31 ธันวาคม 2559 คืนนั้นที่บ้านเราจัดปาร์ตี้เล็ก ๆ ยายดิฉันไม่ค่อยแข็งแรงเวลาเดินจะต้องใช้วอลค์เกอร์ช่วยเดิน แกเดินมานอนที่เตียงข้างล่างหน้าโทรทัศน์ คืนวันนั้นยายก็ยังสนุกกับพวกเรา ยังยิ้ม ยังแกล้งให้หัวเราะ แล้วยายก็หลับไป ดิฉันอาศัยอยู่อีกบ้าน เมื่อถึงเวลาอันสมควรจึงกลับบ้านซึ่งอยู่ห่างออกไป 16 กม.

จนกระทั่งประมาณ 9.30 น. ของวันที่ 1 มกราคม 2560 แม่ปลุกยายให้ตื่น แต่ปลุกยังไง เรียกยังไงก็ไม่มีเสียงขานรับ ปากยายเริ่มเขียว เสียงหายใจดังครืดคราด แม่จึงรีบโทรตามรถพยาบาลมาทันที โรงพยาบาลอยู่หลังบ้าน จึงใช้เวลาแค่ 5 นาทีเพื่อมารับยาย 

ดิฉันรู้ข่าวจากน้องสาวเพราะส่งข้อความมาใน facebook บอกว่ายายอาการไม่ดีให้รีบไปที่โรงพยาบาลด่วน แต่ในที่สุดดิฉันก็ไปไม่ทัน 

ณ เวลานั้นโลกของดิฉันหยุดหมุนทันที ภาพแรกที่เห็นยายนอนอยู่บนเตียงดิฉันเสียใจมากที่ไปดูใจแกไม่ทัน ดิฉันทำได้แค่ร้องไห้และจับมือของยายที่ไร้ลมหายใจ นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนเสียในบ้าน พวกเราจึงตั้งตัวไม่ค่อยทัน แต่ก็คิดเอาว่า บ้านหลังใหม่ของยาย หวังว่ายายคงชอบ

ขอเล่าเรื่องแปลก ๆ ให้ฟังนิดหนึ่งนะคะ จากภาพด้านบนเห็นผ้าสีขาวที่คลุมอยู่บนโลงไหมคะ ยายเตรียมไว้คลุมโลงตัวเองและมีผ้าคลุมสีเหลืองที่วางอยู่ด้านบนอีกที ยายจะไว้คลุมศพตัวเองค่ะ ซึ่งยายดิฉันเตรียมเอาไว้ทั้งหมดเป็นเวลา 10 ปีแล้ว แกสั่งกำชับไว้ว่าต้องเอาคลุมให้แก 

และเมื่อปี 2558 ช่วงปลายปีแกได้พูดว่า “ปีหน้า (2559) กูจะไม่อยู่แล้วนะ กูจะไปล่ะ” แม่กับดิฉันเลยรีบบอกว่า “จะรีบไปไหนล่ะยาย อยู่เคาท์ดาวด้วยกันก่อนสิ ปีก่อนก็ไม่ได้เคาท์ดาว หนีไปนอนโรงพยาบาลเฉยเลย” 

ยายก็หัวเราะ แล้วแกก็พูดว่า “เออ ๆ อยู่ให้ต่ออีกสักปีก็ได้” พอเข้าปี 2559 ย่างเข้าสู่ 2560 ยายก็จากไปจริง ๆ ค่ะ สำหรับดิฉันมันก็น่าแปลกใจเหมือนกันนะคะ

อย่าเพิ่งสงสัยว่าทำไมไม่เห็นมีอะไรน่ากลัวเลย มาสิคะมาอ่านกันกำลังเริ่มแล้วค่ะ

ด้วยความที่ยายดิฉันนั้นชอบแกล้ง งานศพถูกจัดผ่านไป 3 คืน บ้านของเราเป็นบ้านทาวเฮาส์ ทุกคนมาอยู่ที่วัดกันหมด จึงไม่มีใครอยู่ในบ้าน แต่ข้างบ้านกลับได้ยินเสียงคนอาบน้ำแบบเทราดนะคะ และเสียงคนเลื่อนเก้าอี้อยู่ภายในบ้าน ทั้ง ๆที่ไม่มีคนอยู่ในบ้านเลย 

มาอีกวัน คนในบ้านก็มาอยู่ที่วัดกันหมด มีคนในซอยเดียวกันไม่ทราบข่าวว่ายายเสีย ด้วยปกติยายแกชอบออกมาเดินเล่นตรงประตูรั้วบ้าน และคุยเล่นกับคนที่เดินผ่านไปมาหน้าบ้าน วันนั้นยายก็คงหยอกคนในซอยนั่นล่ะเพราะเค้าบอกว่าเห็นยายนั่งอยู่ในรั้วบ้าน ช่วง 1 ทุ่ม แต่ไฟบ้านไม่ได้เปิด นั่นคือช่วงแรก ๆ ที่ยายเสีย

หลังจากนั้นผ่านไป เกือบ ๆ เดือน คืนหนึ่งยายมาเข้าฝันดิฉันทำตาแดง ๆ เหมือนจะพูดอะไรแต่ไม่พูด  เย็นวันถัดมาดิฉันถูกรถชนขาหักพร้อมลูกและแฟน คิดในใจว่ายายคงมาเตือน 

ผ่านไปอีกประมาณ 3 อาทิตย์ น้องสาวนอนหลับกึ่งหลับกึ่งตื่นก็ได้ยินเสียงยายเรียกชื่ออยู่ข้างหู น้องก็ตกใจตื่น เช้าวันรุ่งขึ้นน้องก็ถูกรถชนเช่นกัน แต่อาการไม่หนักแค่ฟกช้ำ ดิฉันคิดว่ายายคงกำลังจะบอกให้ระวังตัวหรืออะไรสักอย่าง

น้องสาวถูกรถชน เข้าโรงพยาบาล

ดิฉันกับที่บ้านจึงคุยกันว่าควรนำพระมาสวดที่บ้านอีกรอบ จนกระทั่งถึงวัน พระเดินเข้ามาในบ้าน ท่านทักทันทีเลยว่ายายไม่ไปไหนหรอก ยายเขาห่วงลูกสาวคนนี้ ยายอยู่ในบ้านนี่แหละ ยายรักดิฉัน และห่วงแม่ของดิฉันมาก พวกเราก็เลยไม่ค่อยคิดอะไร ในเมื่อเป็นยายไม่ได้เป็นคนอื่นเราจึงไม่ค่อยกลัว 

แต่นับวันยิ่งหนักขึ้น ๆ . . แทบทุกครั้งที่แม่ดิฉันไม่สบายล้มหมอนนอนเสื่อลุกไม่ไหวลืมตาไม่ขึ้น คือแม่ของดิฉันเป็นหอบค่ะ จะเหนื่อยง่ายมาก จึงไม่สบายบ่อย ระหว่างที่ไม่สบาย แม่จะรู้สึกว่า มีมือเย็น ๆ มาลูบที่เท้าหรือแขนเสมอ และบางครั้งก็ได้ยินเสียงพูดเป็นภาษาใต้ว่า “ไม่บายแล้วหลาว” ซึ่งแม่ยืนยันเสียงแข็งว่าเป็นเสียงของยาย

มีคืนหนึ่งแม่ดิฉันไม่สบายต้องไปนอนที่โรงพยาบาล ดิฉันจึงต้องกลับมานอนที่บ้าน เพราะหลังจากได้รับอุบัติเหตุรถชนคราวนั้น ตอนนี้ดิฉันเริ่มช่วยเหลือตัวเองได้บ้างแล้ว หลานคนโตอาสาจะไปนอนเฝ้าแม่ดิฉันให้ ส่วนดิฉันก็อยู่กับลูก ๆ หลาน ๆ เล็ก ๆ 

ดิฉันนอนห้องชั้นบนค่ะ ตรงข้ามห้องนอนเป็นห้องน้ำซึ่งอยู่ตรงกับบันได ดิฉันกลัวความมืด เลยชอบเปิดไฟห้องน้ำเอาไว้เผื่อเข้าห้องน้ำกลางดึก 

ประตูห้องนอนด้านล่างจะมีช่องว่างอยู่ประมาณ 1 นิ้ว ระหว่างที่กำลังหลับ ก็ได้ยินเสียงคนเดินขึ้นมา จึงคิดว่า น้องสาวคงจะกลับมาจากทำงาน ดิฉันก็ส่องดูตรงช่องว่างใต้ประตู ดิฉันเห็นเท้าคู่หนึ่งที่มีแสงจากห้องน้ำกระทบอยู่ เป็นเท้าเหี่ยว ๆ เล็ก ๆ ซึ่งน้องสาวดิฉันเป็นคนอ้วน ไม่มีทางที่เท้าจะเล็ก ยืนอยู่ตรงแถว ๆ หน้าประตู

ดิฉัน รีบกระโดนขึ้นเตียงเอาผ้าคลุมโปงทันที ไม่อยากหาคำตอบ กว่าจะข่มตาให้หลับได้ก็ทรมานเหมือนกัน พอเช้ามาดิฉันก็หอบหมอนที่นอนทุกอย่าง หอบลูกหลานไปนอนหน้าโทรทัศน์ข้างล่างแทน

และเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้แม่ดิฉันเข้าโรงพยาบาลอีกครั้ง ครั้งนี้ดิฉันเริ่มแข็งแรงกว่าตอนนั้นมากขึ้น ช่วยเหลือตัวเองได้เยอะขึ้น ซึ่งแน่นอนว่า ดิฉันก็ยังคงหอบที่นอนมานอนข้างล่างพร้อมเด็ก ๆ เช่นเดิม แต่ดิฉันก็ไม่ค่อยได้นอนหรอก เพราะลูกสาวและลูกชายรวมถึงหลานเล็ก ๆ อีก 2 คนต่างไม่สบายติดกันงอมแงม ดิฉันจึงต้องหลับ ๆ ตื่น ๆ เพื่อเช็ดตัว และป้อนยาเด็ก ๆ 

ขณะนั้นเอง จู่ ๆ ดิฉันก็ได้ยินเสียงของหล่นจากในครัว เสียงดังโครมคราม ดิฉันคิดว่าคงมีใครทำของหล่นพื้น ในใจไม่ได้คิดอะไรคิดว่าคงเป็นหนู 

จนเวลาผ่านไปประมาณตี 2 ดิฉันเห็นหลังคนไว ๆ เดินเข้าไปในครัว ก็คิดว่าเป็นน้องเขยเลยเดินตามเข้าไป แต่ทุกอย่างว่างเปล่าไม่มีใครเลย แต่สิ่งที่ทำดิฉันประหลาดใจยิ่งกว่าคือ ในห้องครัวไม่มีอะไรตกลงมาเลยสักชิ้น แล้วเสียงของตกบนพื้นในห้องครัวที่ได้ยินก่อนหน้านี้ คืออะไร??

ตอนนั้นดิฉันขนหัวลุกซู่มาก แต่ต้องทำใจดีสู้เสือไว้ ไหน ๆ ก็นอนไม่หลับแล้ว จึงลุกขึ้นหุงข้าวต้มเพื่อให้เด็ก ๆ และน้องสาวทานก่อนไปทำงานตอนเช้า จนกระทั่งได้ยินเสียงราดน้ำในห้องน้ำ ดิฉันก็คิดว่าน้องสาวคงตื่นแล้ว แต่พอเดินไปดูกลับไม่มีใครอยู่ในห้องน้ำเลย ใจคอไม่ดีเลยค่ะ แต่ก็ต้องทำข้าวต้มต่อไปเพราะตั้งหม้อแล้ว 

ประมาณ 20 นาทีให้หลัง ดิฉันได้ยินเสียงหลานชายคนเล็กร้องไห้ลั่นบ้านด้วยความตกใจ ทั้งน้องสาวและเราวิ่งไปดู เห็นหลานตัวเล็กสุดอายุ 3 ขวบครึ่งร้องหาแม่ “แม่มี่ แม่มี่!!!!” 

น้องสาวรีบเขย่าตัวแล้วพูดว่านี่ไง นี่แม่มี่เอง หลานลืมตาขึ้นมาดูและรีบหลับตาปี๋ทันทีพร้อมกับร้อง “ไม่ใช่ นี่ไม่ใช่แม่มี่ เอาแม่มี่มา” หลานร้องและหลับตาและลืมตามาดูแล้วบอกไม่ใช่อยู่แบบนั้นประมาณ 4-5 รอบค่ะ 

และอยู่ ๆ หลานก็เอามือปัดแล้วบอกว่า “แม่มี่เอารถเข็นไปไกล ๆ บอลหน่อย บอลไม่ชอบรถเข็น” (ยายเรานั่งรถเข็นค่ะ) จนดิฉันต้องยกมือไหว้เอ่ยปากว่าอย่าแกล้งหลานเลย แล้วหลานก็หลับไปค่ะ เอาจริง ๆ ดิฉันก็ไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่เจออยู่มันคืออะไร 

เช้ารุ่งขึ้นขณะที่ดิฉัน น้องสาว พี่สาว ป้า พ่อ แม่ของดิฉันซึ่งออกจากโรงพยาบาลแล้ว และเด็ก ๆ นั่งกินข้าวกันอยู่นั้น เจ้าบอลหลานคนเดิมที่กำลังตัวร้อนก็ร้องไห้ดังลั่นมาจากชั้นบน (หลานนอนชั้นบนในห้องนอน) ลูกสาวจึงขึ้นไปดู เห็นเจ้าบอลยกไม้ยกมือปัดอะไรบางอย่างให้พ้นตัวพร้อมร้องว่า “ไม่เอายอมแล้ว กลัวแล้ว อย่าๆๆๆๆ” และวิ่งมาหาแม่ดิฉัน มานั่งตัก 

แม่ดิฉันก็ถามว่าเป็นอะไรลูก ลืมตา ๆ เจ้าบอลก็ลืมแล้วรีบหลับตาบอกว่า “ไม่เอา ๆ กลัวแล้ว บอลยอมแล้ว” พร้อมเอามือยกขึ้นห้าม ร้องไห้สะอื้นเลย ดิฉันที่นั่งกินข้าวอยู่ เห็นท่าไม่ดีจึงรีบเดินเข้าไปหาหลานแล้วอ้าแขนจะอุ้ม หลานตัวสั่นรีบให้ดิฉันอุ้ม 

ดิฉันเดินอุ้มหลานจะออกไปประตูหน้าบ้าน หลานก็ร้องเอามือปัดหน้า “ไม่เอา ๆ กลัวแล้ว ยอมแล้ว” ดิฉันเลยถามว่า “ไหน ใครอยู่ไหน ไหนบอกป้าซิเดี๋ยวป้าจะตีให้” หลานชี้ไปตรงที่โต๊ะกินข้าวซึ่งตอนนั้นไม่มีใครนั่งอยู่เลย แล้วก็ร้องไห้จ้า ดิฉันจึงถอดพระจากคอของดิฉันให้หลานใส่ หลานจึงเงียบลง 

พอหลานเงียบได้ซักพัก ดิฉันจึงแกล้งถามหลานว่าเจอใคร บทสนทนามีดังนี้ค่ะ

ป้าแพรว : น้องบอลเมื่อกี้ลูกเห็นใคร

น้องบอล : ………….. (เงียบไม่พูด ดูดขวดนม)

ป้าแพรว : น้องบอลจำได้มั้ยว่าใครเมื่อกี้ เป็นเด็กหรอลูก??

น้องบอล : ไม่ใช่!! 

ป้าแพรว : แล้วใครละลูกผู้ชายหรอ?

น้องบอล : ไม่ใช่ ….. คนแก่ ๆ

ป้าแพรว : คนอ้วน ๆ รึป่าวลูก (ยายเราผอมค่ะ)

น้องบอล : ผอม!! (แล้วน้องบอลก็ลุกไปชี้รูปยายที่ตั้งไว้อยู่ตรงหิ้งค่ะว่าคนนี้) 

ทุกคนในบ้านรวมถึงดิฉันจึงมั่นใจว่าเหตุการณ์ในบ้านทั้งหมดนั้น เกิดขึ้นเพราะยายดิฉันนี่เอง ด้วยแรงรักและเป็นห่วงลูกหลาน ดิฉันอยากให้ยายไปสู่สุขติมากกว่าที่จะมาห่วงอยู่แบบนี้ ดิฉันอยากบอกว่า ดิฉันรักยายมาก อยากให้ยายได้ไปเกิดในภพภูมิดี ๆ หมดห่วงทางนี้ 

ก่อนยายตายยายก็สั่งเสียไว้อีกเช่นกันว่าอย่าเอายายไปลอยน้ำนะยายหนาวให้นำยายกลับสู่พื้นธรณี  แน่นอนค่ะครอบครัวดิฉันจัดการให้ทุกอย่างและได้ทำการปลูกต้นขนุนไว้ใกล้ ๆ ให้ด้วย จะได้เป็นร่มเงา 

คนเราก็มีแค่นี้แหละค่ะ มีเกิดมีดับ มาแค่ไหนก็ไปแค่นั้น สุดท้ายแล้วเอาอะไรไปไม่ได้ซักอย่าง เหลือเพียงแค่ความห่วงหาอาทรเท่านั้น 

อยากบอกยายเหลือเกินว่ารักยายมากแต่ตอนนี้ยายคงไม่ได้ยินแล้วล่ะ หลับให้สบายนะยายของหนู ไม่ต้องห่วงพวกเราแล้ว พวกเราจะดูแลตัวเองอย่างดี

ที่มา : พันทิป

Previous articleปลุกผีกลับมาเอาชีวิต บ่าวมันทำแบบนี้…ไม่นานก็คงรู้ตัวคนร้ายว่าเป็นใคร
Next articleประสบการณ์เที่ยวเกาะช้างครั้งแรก…แต่โดนวิญญาณตามกลับมาด้วย