ปลุกผีกลับมาเอาชีวิต บ่าวมันทำแบบนี้…ไม่นานก็คงรู้ตัวคนร้ายว่าเป็นใคร

ปลุกผีกลับมาทวงชีวิต

เมื่อตอนที่ผมยังเด็ก ผมอาศัยอยู่กับพ่อแม่  ปลูกเป็นบ้านหลังเล็กๆ กลางป่าใหญ่  ภายในอาณาเขตของป่าภูหินร่องกล้า  บ้านเป็นหลังคามุงด้วยตับหญ้าคา  สานฝาบ้านด้วยใบตองตึงเสริมไม้ไผ่ผ่าซีก  อยู่ห่างไกลความเจริญ

แต่การอาศัยอยู่ในป่า ไม่ได้ทำให้ผมขาดการศึกษาแต่อย่างใด ทุกเช้ามืดผมต้องเดินตามคันนา  เพื่อไปโรงเรียนในหมู่บ้าน

ครอบครัวเราทำไร่ข้าวโพดและปลูกข้าวไว้กิน  เงินทองมีความจำเป็นแค่เล็กน้อย  เพื่อใช้ซื้อของบางอย่างที่ไม่สามารถหาได้จากป่าเท่านั้น  อาหารที่ผมจะได้กินเป็นประจำ มักจะมาจากป่า ไม่ก็ทุ่งนาใกล้ๆบ้าน 

ช่วงเวลานั้น  เป็นช่วงเวลาของการแห่เข้ามาถางป่าจับจอง คนรวยกว่าก็ตามมาขอซื้อ  บางคนก็ขาย  แต่บางคนก็ปักหลักทำมาหากินกลายเป็นคนที่นี่ไปเลย 

ในช่วงนั้นเอง ใกล้ๆ บ้านผมมีชายหญิงคู่หนึ่งเข้ามาปลูกบ้านอยู่ใกล้ๆ  ห่างกันประมาณ 300 เมตร  เป็นบ้านที่ปลูกค่อนข้างจะดีกว่าบ้านผมอยู่มาก  เพราะทำด้วยไม้เลื่อยใหม่ทั้งหลัง  ตอนเขาเริ่มมาตั้งบ้าน  เขาก็พากันแวะมาฝากเนื้อฝากตัวกับพ่อแม่ผมเพราะเป็นคนที่อยู่มาก่อน

ผู้ชายรูปร่างสันทัด  เข้ามายกมือไหว้พ่อกับแม่ผมและแนะนำตัวบอกให้รู้ว่าชื่อบ่าว ส่วนฝ่ายหญิงผู้เป็นเมีย  เป็นผู้หญิงรูปร่างหน้าตาดี  ผิวคล้ำ แต่มีความสวยคมผิดแผกจากคนบ้านผม  ผมเรียกเธอว่า”พี่นาง” ทั้งคู่อพยพมาจากด่านซ้าย จ.เลย เพื่อมาตั้งรกรากที่นี่  เพราะพ่อของพี่บ่าวยกที่ดินตรงนั้นให้มาทำมาหากิน  การผูกมิตรจึงเป็นไปด้วยดี 

พี่บ่าวลงมือทำเกษตรในที่ดินรอบบ้าน ป่าที่ผมเคยไปเดินเล่น ถูกโค่นจนราบ เหลือไว้เพียงเล็กน้อย รอบๆบ้านพี่บ่าวรายล้อมไปด้วยมันสำปะหลัง และข้าวโพดแป้ง 

เวลาพ่อกับแม่ต้องไปในไร่ข้าวโพด ที่อยู่ไกลจากบ้าน  แม่ก็มักจะทิ้งผมไว้ที่บ้านคนเดียว  ผมก็เลยชอบเข้าไปเดินเล่นในไร่มันสำปะหลังของพี่บ่าวกับพี่นางเป็นประจำ ซึ่งพวกเขาก็ไม่ว่าอะไร  เพราะตอนนั้นผมก็เป็นแค่เด็ก  จนเริ่มสนิทกันเพราะพี่บ่าว  

พี่บ่าวหากินเก่ง  ชอบชวนผมไปจับปูจับปลา  ตกเย็นพ่อแม่ผมกลับมา  พี่นางก็จะเอากับข้าวมาให้พ่อแม่ผมแล้วชมผมให้พ่อแม่ฟังว่า  ผมเป็นคนไปช่วยพี่บ่าวเลยได้ของมาทำอาหารกิน  พี่บ่าวพี่นางเป็นคนใจดี  

หลังจากนั้นเวลาผ่านไป 1 ปี   ผมขึ้น ป.2 ส่วนพี่บ่าวติดทหาร ต้องไปเป็นทหาร

ก่อนไปพี่บ่าวยังแวะมาฝากพี่นางไว้กับแม่และพ่อผม  พ่อผมบอกว่าทำไมไม่ให้อินางกลับไปอยู่กับญาติๆ ที่ด่านซ้ายก่อนล่ะ  มาอยู่แถวนี้ผู้หญิงคนเดียวมันอันตราย 

พี่บ่าวบอก  ให้พี่นางกลับไปไม่ได้  เพราะที่ต้องมาอยู่ที่นี่เพื่อหนีภัยบางอย่างมาเหมือนกัน  ถ้าพี่นางกลับไปก็มีอันตราย (มารู้ตอนหลังว่า มีลูกผู้มีอิทธิพลคนหนึ่งพยายามจะฉุดพี่นางทำเมีย  พอไม่ได้ก็ขู่จะทำร้ายและฆ่าพี่นางเลยต้องพากันหนีมา) 

พี่บ่าวไปเป็นทหาร  พี่นางอยู่คนเดียว  เวลาว่างๆพี่นางก็จะแวะมาหาแม่ผม  มานั่งคุยปรับทุกข์และสุขกัน  ตัวผมนั้นก็ยังหมั่นไปหาพี่นางเหมือนเดิม  ช่วยงานพี่นางบ้าง

พี่บ่าวเมื่อเสร็จจากฝึก  ก็มักจะกลับมาบ้านพร้อมของฝากเยอะแยะ  ผมก็ได้รับอานิสงส์ไปด้วย  ประกอบกับช่วงนั้นเริ่มมีคนพากันเข้ามาตั้งบ้าน  ลึกเข้าไปในป่าด้านในจึงกลายเป็นชุมชนประมาณ 10 หลังคาเรือน  

ตอนนั้นพวกผู้ชายที่เข้ามาอยู่ใหม่ในกลุ่มบ้านด้านใน  พอเห็นพี่นางอยู่คนเดียวก็พากันมาจีบ  รวมทั้งพ่อค้าขนมหวานคนนึงด้วย แต่พี่นางก็ไม่เล่นด้วย  มักจะยิ้มๆ และบอกกับทุกคนไปว่า แต่งงานแล้ว  ผัวไปทหาร  ไม่นานก็กลับมา 

บางคนพอรู้และถูกพี่นางปฏิเสธเขาก็ไม่มาวุ่นวายอีก  แต่มีอยู่คนหนึ่งเหมือนแกจะเอาพี่นางให้ได้  หมั่นมาหาพี่นางเสมอๆ  จนพี่นางต้องหนีมาขอนอนที่บ้านผมบ้าง  เพราะกลัวไม่ปลอดภัย 

แต่การจะมานอนบ้านผมบ่อยๆ ก็ดูไม่เหมาะ  คนจะนินทาเอา  แม่เลยให้ผมนี่แหละไปนอนเป็นเพื่อนพี่นาง  ผู้ชายคนนั้นก็เลยเริ่มหายหน้าไป  เพราะรู้ตัวแล้วว่าถึงพยายามจะเป็นชู้เท่าไหร่ก็คงไม่สำเร็จ

พอเขาหายไปเหตุการณ์ก็เป็นปกติ  ผมไม่ต้องไปนอนเป็นเพื่อนพี่นางอีก  

เวลาก็ผ่านไป จนกระทั่งคืนนึง  วันนั้นฝนตกหนักทั้งคืน  พ่อชวนผมไปส่องกบในทุ่งด้านล่าง  และเราต้องเดินผ่านออกไปทางบ้านพี่นาง  อากาศคืนนั้นเย็น  พ่อส่องไฟฉายติดศีรษะไปมา  ตรงไหนมีเสียงกบดังมาเราจะไปตรงนั้น  จนเดินถลำเข้าไปในไร่มันของพี่นาง 

ระหว่างนั้นอยู่ๆ พ่อก็หยุดยืนนิ่ง  ผมถามพ่อว่ามีอะไรพ่อ?  พ่อฉายไฟเข้าไปในจุดที่มันยังเป็นป่า  ซึ่งมันรกและเป็นเขตที่ดินของคนอื่น  ไม่ใช่ของพี่นาง 

พ่อบอกแกเห็นเหมือนมีคนยืนอยู่ตรงนั้น..! พ่อลดไฟลงกับพื้นแล้วส่องไปใหม่  ผมมองตามแต่ก็ไม่เห็นอะไรนอกจากต้นไม้ที่เปียกชื้นน้ำฝน 

สักพักพ่อทัก “นั่นเท้าใครวะ ?”  พ่อพูดขึ้นเหมือนบอกตัวเอง  ผมเพ่งมองดีๆ เห้ย..! ฝ่าเท้าคนจริงๆ ด้วย  โผล่ออกมาแค่ส่วนนิ้วก้อยกับนิ้วนาง  พ้นออกมาจากโคนต้นไม้เล็กน้อย 

ปกติพ่อผมจะเป็นคนขี้กลัวผีมากๆ  แต่เมื่อเห็นว่าเป็นฝ่าเท้าคนจริงๆ พ่อก็บอกให้ผมเดินนำหน้าเข้าไปดู  ส่วนพ่อจะส่องไฟตามหลัง  ผมมองเข้าไปมันเป็นร่างของคน  แต่มันก็มืดจนดูไม่ออกว่าใครมานอนตรงนี้  เพราะต้นไม้บังแสงไฟฉายไว้

ผมตะโกนบอก “พ่อๆ มีคนนอนตรงนี้ มาดูหน่อย”  พ่อเดินตามเข้ามาส่องไฟ  ภาพที่ปรากฏทำให้พ่อร้องลั่น  ส่วนตัวผมนั้นตกใจกลัวสุดขีด  ปรากฎร่างนั้นเป็นพี่นางที่นอนหงาย 2 มือยกไปค้างเกร็งอยู่ใกล้ๆ ใบหน้าตัวเอง  ดวงตาค้างหลับตาไม่สนิท  ท่าทางเหมือนกลัวอะไรสุดขีด..  

พ่อผมยืนทำอะไรไม่ถูก  ส่วนผมนั้นก็ยืนเรียก พี่นาง อยู่อย่างนั้นไม่หยุดตามปะสาเด็กๆ..  พ่อผมบอกให้กลับบ้านกันก่อน  ผมก็รีบเดินตามพ่อ  เพราะกลัวเหมือนกัน  มาถึงบ้านผมนั่งร้องไห้  พ่อบอกให้แม่รู้และถามว่าจะเอาไงกันดี  

แม่ใช้ให้พ่อเดินเข้าไปในหมู่บ้านเพื่อไปแจ้งผู้ใหญ่บ้านก่อน  พ่อบอกไว้เช้าก่อนได้ไหม  แต่แม่รู้ว่าพ่อกลัวผีเลยไม่กล้าไป  แกก็เลยให้พ่อเอาผมไปเป็นเพื่อน  

ผมกับพ่อก็กึ่งวิ่งกึ่งเดินเข้าหมู่บ้าน  พอถึงบ้านผู้ใหญ่  พ่อก็แจ้งไปว่ามีคนตายอยู่ในป่าแถวบ้าน  ให้ช่วยไปดูหน่อย.. ผู้ใหญ่บ้านบอกให้พ่อกลับบ้านไปก่อน  เพราะตอนนี้ดึกมากแล้ว  จะทำอะไรคงไม่สะดวก  ไว้เช้าๆ ผู้ใหญ่จะพาตำรวจเข้าไปดูเอง  ผมกับพ่อก็เลยกลับมาบ้านก่อน

คืนนั้นพอเรากลับถึงบ้าน  แม่แกเกิดสงสารพี่นาง  เลยชวนพ่อว่าน่าจะเอาผ้าห่มไปคลุมศพไว้ก่อนกันอุจาด  สุดท้ายพ่อก็ต้องไปเป็นเพื่อน  ส่วนผมก็ไม่กล้าอยู่บ้าน 

แม่หิ้วผ้าห่มไปด้วยหนึ่งผืน  ส่วนพ่อก็เดินนำทางไปตรงจุดที่พบศพ  ส่องไฟฉายไปตรงจุดที่เห็นฝ่าเท้าโผล่ออกมาตอนแรกก็ต้องงง  เพราะหนนี้กลับไม่เจอแล้ว..

น่าแปลกที่อยู่ๆศพจะหายไปไหนได้  พ่อเดินตามหาส่องไฟต่อไป  จนพ้นเหลี่ยมต้นไม้เข้าไปในป่ารกๆ  และก็พบร่างพี่นางนอนแข็งอยู่  

พ่อได้แต่ยืนนิ่งแล้วถามผมว่า  เมื่อกี้ศพพี่นางนอนอยู่ตรงนู้นแล้วตอนนี้ทำไมมาอยู่ตรงนี้ได้นะ แล้วพ่อก็ยกมือไหว้บอก “อิน้องนางเอ๊ย ไปที่ชอบที่ชอบนะ  อย่าหลอกอ้ายเด้อ” 

ฝ่ายแม่ไม่สนใจพ่อ  ลงไปนั่งคุกเข่าร้องไห้ข้างๆ ศพ  แสดงอารมณ์เสียใจเต็มที่  ปนสาปแช่งคนที่ทำ  เพราะดูจากลักษณะศพแล้วไม่ใช่การเสียชีวิตปกติแน่นอน  ที่คอมีรอยเขียวช้ำเหมือนถูกบีบ  แล้วพวกมดและสัตว์เล็กๆเช่นกิ้งกือ เริ่มขึ้นมาไต่.. 

แม่เอาผ้าห่มคลุมร่างพี่นางไว้  พอเช้าพวกผู้ใหญ่บ้านและตำรวจก็ขับรถเข้ามาจอดแถวบ้านพี่นาง  พ่อกับแม่ที่รออยู่แล้วก็เดินนำเจ้าหน้าที่ไปยังจุดที่พบศพพี่นาง  คนแห่มาดูเยอะมาก  แต่เด็กอย่างผมถูกกันไว้ด้านนอก แล้วพวกเขาก็เอาศพพี่นางขึ้นรถหายไป  แม่ยังเดินร้องไห้ไปปิดประตูบ้านให้มิดชิด  ทั้งหมาและไก่เดินว่อน  เพราะมันคงหิว..

หลังจากนั้นแม่ก็เป็นคนไปคอยเอาข้าวและน้ำให้หมาพี่นาง 2 ตัวแทน  แม่เคยพยายามจะเอามันมาเลี้ยงไว้บ้าน  เพราะปล่อยไว้ก็ไม่มีใครดูแล  แต่เหมือนหมามันไม่อยากมา

ผมไม่ค่อยรู้เรื่องราวของคดีมากนัก  แต่แอบได้ยินพ่อคุยกับแม่ ถึงเรื่องนี้ว่า  พี่นางถูกข่มขืนแล้วฆ่าด้วยการบีบคอจนตายเพราะขาดอากาศหายใจ

แต่ใครทำอันนี้ยังตามสืบกันอยู่  พวกที่ถูกเรียกไปสอบสวนคือพวกชายหนุ่มที่เคยมาติดพันพี่นางและพยายามตามจีบ  ยิ่งคนที่มาเฝ้าพี่นางบ่อยๆ นั้น  ถูกเค้นหนักเป็นพิเศษ  เพราะพ่อผมให้การไปว่าชายคนนั้นมาติดพันพี่นางมากที่สุด  แต่ก็ยังขาดหลักฐานที่มากพอจะจับใครได้  จึงต้องปล่อยไปทั้งหมด

มันกลายเป็นความดำมืดว่าใครเป็นคนข่มขืนแล้วฆ่าพี่นาง  พวกญาติๆ ที่มาจากด่านซ้าย  จัดการตามพิธีเอาศพพี่นางฝังไว้ในป่าช้าของหมู่บ้านผม  เพราะไม่อยากเสียค่าใช้จ่ายเคลื่อนย้ายศพกลับบ้านที่ จ.เลย  และต้องการรอให้จับคนฆ่าได้ก่อนจึงจะขุดขึ้นมาเผา 

ในยุคนั้นพอทำพิธีสวดศพเสร็จ  ก็ช่วยกันหามมัดด้วยผ้าขาวไปฝังเลย  แล้วป่าช้าที่ว่ามันก็อยู่ลึกเข้ามาในป่า ไกลหมู่บ้าน  แต่ดันใกล้บ้านผม 

จุดฝังศพเขาเรียกกันติดปากว่า “เกาะปลงสังขาร”  เป็นจุดที่คนหาของป่าไม่กล้าเฉียดเข้าไปใกล้แม้แต่ตอนกลางวัน  ถึงตรงนั้นจะมีเห็ดขึ้นเต็มพื้นที่ก็ตาม   

ตรงนั้นมีศาลไม้หลังคาสังกะสีตั้งอยู่ด้านหน้าทางเข้า แลดูน่ากลัวมาก  ภายในมีหลุมศพเยอะจนผมนับไม่ถูก ทั้งเก่าและใหม่

ตั้งแต่พี่นางตายไป  บ้านของแกก็ถูกปิด  แต่หมา 2 ตัวนั้น มันยังคงซื่อสัตย์ไม่เปลี่ยน  นอนเฝ้าใต้ถุนบ้าน  ใครผ่านไปผ่านมา มันก็จะเห่าเสมอ  แม่สงสารเลยเอามันมาไว้ที่บ้านเพื่อจะได้ดูแลมันได้สะดวกๆ 

ตกกลางคืนคืนนึง  อยู่ๆ พวกหมามันก็พากันเห่า  แล้วจากเสียงเห่าแค่แปบเดียวก็กลายเป็นหอน บรู๊วๆๆๆ.. พ่อคงโมโหเลยลุกขึ้น  คงกะจะลงไปเตะหมา  แต่พอไปถึงประตู  พ่อก็ถอยกลับลงมานอนคลุมโปงเฉย..แม่ถามว่าทำไมไม่ลงไปห้ามหมาล่ะ  พ่อบอก “อินางมา..!” 

พอเช้าพ่อจึงเล่าให้แม่ฟังว่า  เมื่อคืนตอนหมาหอน  พ่อเดินไปที่ประตูจะลงไปเตะหมา  ระหว่างนั้นพ่อมองลอดช่องประตูที่มองเห็นข้างนอกได้  แกเห็นพี่นางมายืนอยู่หน้าบ้าน..!  ที่เห็นชัดก็เพราะว่าคืนนั้นแสงจันทร์ส่องให้เห็นลางๆ  พ่อว่าเป็นพี่นางแน่นอน  มาในชุดวันที่พบศพเลย..!

เรื่องหลอนยังไม่จบ  คืนต่อมากลางดึกสงัด  เจ้าหมาสองตัวที่นอนใต้ถุนบ้านมันก็เห่าอีก  สักพักก็เปลี่ยนเป็นเสียงครางดัง งื๊ดๆๆหงิงๆๆ เสียงโซ่กระทบกันดังกริ๊งๆ  เหมือนมันจะแกว่งหางดีใจว่าพบใคร 

ผมตกใจตื่นมาพอดี  ก็สงสัยว่าใครมา  แต่ในใจตอนนั้นคิดว่าอาจจะเป็นพี่บ่าวมาหรือเปล่า  ก็เลยค่อยๆ ลุกขึ้นและคลานไปดูที่ประตู  ปรากฎผมเห็นหมา 2 ตัว วิ่งออกไปจากบ้าน  มุ่งไปทางบ้านพี่นาง  ผมเห็นหลังไวๆในความมืดว่า  มีเงาคนกำลังเดินออกไปจากบ้านนำหน้าหมาไป  รูปร่างเป็นพี่นาง..! 

เช้ามาแม่ก็บ่นว่า  ใครมันมาปลดโซ่ปล่อยหมา  ผมเล่าให้แม่ฟัง แม่รำพึงเบาๆ “นางเอ้ย  พี่จะเลี้ยงให้  อย่ามาเอาไปเลยเดี๋ยวมันจะอดตาย” 

จากนั้นต่อมามีอยู่วันนึง  เพื่อนของพ่อที่มาจากในหมู่บ้าน  ซึ่งแกไปทำงานก่อสร้างอยู่กรุงเทพ  กลับมาเที่ยวเล่นในหมู่บ้านจนค่ำ  แกนึกถึงพ่อก็เลยแบกไหเหล้ามาหาพ่อ   มาถึงก็ตั้งวงดื่มกัน 2 คนที่แคร่ใต้ถุนบ้าน  ขณะนั้นผมกับแม่ก็นั่งอยู่ด้วย  พอเพื่อนพ่อเมากันได้ที่แกก็พูดขึ้นมาว่า

“เออ.. เมื่อกี้กูเดินผ่านบ้านหลังนั้นมา (ชี้ไปทางบ้านพี่นาง) เป็นบ้านใครวะ”

“อ๋อ เขาพึ่งมาอยู่ เป็นเจ้าของที่” พ่อตอบกลับไป

“เอ้อ.. เก่งจัง เป็นผู้หญิงแท้ๆ มาปลูกบ้านอยู่ในนี้คนเดียวได้”

พ่อกับแม่ได้ยินก็ถึงกับหยุดกึก  ก่อนจะถามต่อ “ห๊ะ ผู้หญิงไหน..!”

“ก็เมื่อกี้  กูเดินแบกเหล้าผ่านมา  กูเห็นมีผู้หญิงเปิดหน้าต่างไฟในบ้านสว่าง  ยืนมองกู  ยิ้มให้กูด้วย สวยๆคมๆคล้ำๆ”

พ่อถึงกับเผลออุทานเสียงหลง  และชะเง้อมองไปทางบ้านพี่นาง  ก็เห็นอยู่ไกลๆ ว่าบ้านมันมืดสนิท  

“ไม่มีอะไรหรอก  บ้านหลังนั้นน่ะผัวเขาไปทหาร  เขาเลยอยู่คนเดียว  มึงอย่าไปยุ่งกับเขาแล้วกัน”.. พ่อตัดสินใจโกหกเพื่อนไป

ผมมองหน้าแม่  แม่มองหน้าผม  ผมทำท่าจะถามแต่แม่ทำนิ้วจุ๊ปาก  ผมเลยเงียบ 

คืนนั้นเพื่อนพ่อนอนที่บ้าน   พอเช้าเขาก็กลับไป  แม่ก็พูดกับพ่อว่า  พี่นางคงไปไม่สงบ  เพราะยังจับคนร้ายไม่ได้  และอาจจะมีห่วงบางอย่างเลยยังมาปรากฏตัวให้คนอื่นเห็นแบบนี้.. 

พ่อว่าถ้าพี่นางแค้นมากก็คงจะตามไปแก้แค้นคนที่ทำแน่ๆ  ถ้ามาแบบนี้คงรออะไรอยู่แน่ๆ 

ตั้งแต่แม่รู้ว่าพี่นางไม่ได้ไปสู่สุขคติ  และยังอยู่ที่บ้านหลังนั้น แม่ก็ซื้อพวกขนมไปตั้งเซ่นไหว้ไว้ที่บันไดบ้านพี่นางทุกวัน  เพื่อไม่ให้พี่นางอด  และหมาก็จะได้กินด้วย 

จนกระทั่งวันนึง  พี่บ่าวกลับมาจากทหาร  และมาที่บ้านผม  ซึ่งตอนนั้นพ่อกับแม่ผมไปในไร่  เหลือผมคนเดียว 

พี่บ่าวดูนิ่งๆ นัยน์ตาแดงเหมือนคนร้องไห้  พี่บ่าวซักถามผมเกี่ยวกับเรื่องที่ผมกับพ่อเจอศพพี่นางในริมป่า ผมเล่าให้ฟังทั้งหมด  ทำอะไรไม่ถูก  เพราะไม่เคยเห็นพี่บ่าวร้องไห้แบบนี้ 

พี่บ่าวถามผมว่า  ป่าช้าที่ฝังพี่นางไว้ไปทางไหน  แล้วพี่บ่าวก็บอกว่าให้ช่วยพาเขาไปหน่อย  ผมก็พาพี่บ่าวเดินตัดลัดป่าไปตามทางจนถึงป่าช้า  ผมเองก็ไม่รู้หรอกว่าหลุมไหนที่เขาฝังพี่นาง  

พี่บ่าวเดินไปมา พร้อมจอบเก่าๆอันนึง  ยืนพิจารณาสักพักแล้วแกก็ง้างจอบขุดเอาขุดเอา  สักพักผมเห็นพี่บ่าวหยุดขุด  แล้วทรุดลงไปคุกเข่า  พี่บ่าวร้อง ฮื้ออๆๆๆๆๆฮืออๆๆๆๆๆๆๆๆ  เสียงดังมากปานจะขาดใจ 

ผมเขยิบเข้าไปชะเง้อมอง  ก็เห็นพี่บ่าวนั่งกอดศพที่กำลังเน่าเหม็น  ส่งกลิ่นอบอวลไปทั่วบริเวณจนผมอยากจะอ้วก  แกร้องไห้  จูบหน้าผาก  หอมแก้มศพพี่นางไปด้วย  ช่างน่าเวทนายิ่งนัก 

ครู่นึงพี่บ่าวลุกขึ้นยืน  ปาดน้ำตา แล้วเริ่มกลบหลุมฝัง  ผมจึงเข้าไปช่วยหาไม้โกยดินลงไป ผมรู้ว่าพี่บ่าวกำลังเสียใจ  เลยไม่ได้ซักถามอะไร  คราบดิน คราบหนองจากศพเปรอะอยู่ที่ตัวพี่บ่าว  

พอกลบเสร็จพี่บ่าวเอาธูปออกมาจุด 1 ดอก  หมากพลู  ดอกไม้ วางลงบนหลุม  แล้วก็ท่องคาถาอะไรสักอย่าง  ซึ่งผมไม่เคยได้ยิน  จำได้แต่ประโยคที่เป็นภาษาไทยว่า “กรรมใดใครมันก่อ  กรรมนั้นขอให้สนองคืน” แล้วพี่บ่าวก็ชวนผมกลับ  

พอมาถึงบ้านพ่อกับแม่ผมก็อยู่ที่บ้านกำลังร้อนใจพอดีเพราะผมหายไป  พี่บ่าวเข้ามาคุยกับพ่อแม่ผมไม่นานก็ขอตัวกลับไป 

ผมได้ยินพ่อกับแม่คุยกันว่า “บ่าวมันทำแบบนี้  ไม่นานก็คงรู้ตัวคนร้ายว่าเป็นใคร..!”  ผมไม่รู้หรอกตอนนั้นว่าหมายถึงอะไร  การขุดศพขึ้นมากอด แล้วจุดธูปท่องคาถา  จะจับคนร้ายที่ฆ่าพี่นางได้ยังไงกัน..

แล้วพี่บ่าวก็ต้องกลับไปเป็นทหารต่อ  พี่บ่าวมาฝากหมากับแม่ พร้อมควักเงินเป็นค่าข้าวหมา  แม่รับไว้  แล้วพี่บ่าวก็ไป 

สุดท้ายตำรวจก็ตามจับคนร้ายไม่ได้  เพราะสอบเค้นผู้ชายที่อยู่ละแวกนั้นทั้งหมด  ตรวจร่างกายก็แล้วแต่ก็ไม่พบอะไรผิดสังเกต 

พ่อว่าคนร้ายก็คงลอยตัวสบายใจ  ใช้ชีวิตไปตามเดิม  ส่วนพี่นางก็คงต้องตายไปเปล่าๆ แบบนี้  ส่วนแม่ว่าแล้วแต่เวรแต่กรรมแล้วกัน  ขนาดตำรวจยังทำอะไรไม่ได้..

แต่แล้วสายๆ ของวันนึง  ก็มีรถตำรวจวิ่งเข้าไปในหมู่บ้านที่อยู่ลึกเข้าไปด้านใน  ก่อนจะกลับออกมาพร้อมรถมอเตอไซต์บนกระบะท้าย 1คัน  ด้วยความอยากรู้  พ่อหายไปฟังข่าวมา  และก็กลับมาเล่าให้แม่ฟังว่า 

“พ่อค้าขายขนมหวานที่ขับมอเตอไซต์มาขายทุกเช้า  ไม่รู้แกไปทำอิท่าไหน  ขับรถเสียหลัก  คนไปทาง  รถไปทาง  ตัวคนขับ กระเด็นจากรถพุ่งตกใส่ตอไม้ไผ่ที่อยู่ข้างทาง  เสียบทะลุคอพอดิบพอดี  ตายคาที่..! แล้วที่เรียกเสียงฮือฮาก็คือ  ใกล้ศพพ่อค้ามีผ้าเก่าๆ มาจากไหนไม่รู้  เกี่ยวติดอยู่กับต้นไม้  ผ้านั้นมีเศษคราบเลือดคราบหนองเกรอะกรังเหม็นมากด้วย..!

แม่บอกพ่อ  หรือว่าคนที่ข่มขืนพี่นางแล้วฆ่า  อาจจะเป็นพ่อค้าขายขนมหวานคนนี้ก็ได้ เหตุที่พ่อกับแม่เชื่อแบบนั้น  เพราะตอนที่พี่บ่าวมาคุยกับพ่อแม่วันนั้น   พี่บ่าวก็บอกกับพ่อและแม่ตรงๆว่า  เขารู้ข่าวเรื่องพี่นางโดนข่มขืนและฆ่ามาตั้งแต่ตอนอยู่ที่ค่ายแล้ว..เพราะญาติไปบอก  เขาเสียใจไม่เป็นอันทำอะไร  อยากกลับมาแต่มาไม่ได้   

พี่บ่าวแค้นคนที่ทำและอยากมาตามสืบ  จะได้ล้างแค้น แต่พอหัวหน้าพี่บ่าวรู้  ก็เป็นคนแนะนำคาถาปลุกผีตายโหงให้พี่บ่าว  พี่บ่าวเลยมาทำแบบที่เห็นนั่นเองครับ.. 

ในทางคดี  ทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครจับฆาตกรมาดำเนินคดีได้  แต่ผมมั่นใจจากสิ่งที่เห็นมาแล้วว่า  ฆาตกรหน่ะถูกจัดการไปเรียบร้อยแล้ว  เรื่องราวทั้งหมดก็จบลงเพียงเท่านี้ครับ…

Previous articleงานบุญเปลี่ยนสี เมื่อคนตายมายืนเรียกหน้าบ้านทุกวัน
Next articleจิตยังห่วง ยายจ๋าไม่ต้องห่วง ไปเกิดเถิดนะยาย