เหตุเกิดเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2542 สมัยนั้นเป็นยุคของเพจเจอร์ โทรศัพท์ยังไม่มีใช้เหมือนสมัยนี้ วันนั้นลุงของผมที่อยู่ต่างจังหวัด ส่งข้อความมาบอกว่าลูกชายแกจะบวช ผมจึงเดินทางจากกรุงเทพไปช่วยร่วมคุณลุงเขา ซึ่งบ้านของลุงจะล้อมรอบไปด้วยทุ่งนา เป็นบ้านหลังที่ไม่ใหญ่มาก เป็นบ้านเล็กๆตามสไตล์ต่างจังหวัด ไม่ได้ร่ำรวยอะไร
วันแรกที่ผมเดินทางมาถึงบ้านงาน เขาก็ทำอาหารเลี้ยงแขก เลี้ยงญาติพี่น้องกินกันตามปกติ มีวงดนตรีหมอลำตามสไตล์คนอีสาน ส่วนแห่นาคไปวัดจะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้ ซึ่งผมต้องบอกก่อนว่าที่วัดในหมู่บ้านผมนั้นไม่มีโบสถ์ หากใครจะบวชพระต้องไปบวชที่วัดอีกหมู่บ้านที่อยู่อีกตำบลนึง
วันนั้นมีญาติพี่น้องของลุง ชาวบ้านในหมู่บ้านและหมู่บ้านใกล้เคียงมาร่วมงานเป็นจำนวนมาก พอตกเย็นก็มีเวทีหมอลำ บรรยากาศคึกคักมาก
ซึ่งในบริเวณบ้านงานก็จะมีการเช่าเต็นท์ผ้าใบมากางเพื่อรองรับญาติ ๆ ที่มาร่วมงาน และจะมีเต็นท์หลังหนึ่งที่กางไว้สำหรับ รองรับพระสงค์มาทำบุญเพลนที่บ้านในวันพรุ่งนี้ ภายในเต็นท์ก็จะแคร่ไม้ไผ่วางเรียงกันเป็นแนวยาวไว้ให้พระนั่ง แต่เนื่องจากทำบุญเพลนจัดพรุ่งนี้ พวกแขกในงานจึงขึ้นไปนั่งกินเหล้าทานอะไรกัน ซึ่งผมก็นั่งร่วมอยู่ในวงด้วย แต่ผมก็ไม่ได้ดื่มหรอกนะ แค่นั่งคุยกับญาติพี่น้องไป
พอตกกลางคืนผมเริ่มจะง่วง ตามประสาชาวบ้านตรงไหนว่างก็นอนตรงนั้นเลย ผมก็นอนบนแคร่ไม้ไผ่ในเต็นท์นั่นแหละ ส่วนพวกพี่ป้าน้าอาที่ยังไม่นอนก็นั่งก็นั่งกินนั่งคุยกันต่อไป พวกวงหมอลำก็เล่นกันยันเช้าเลย
ผมนอนตะแคงไปทางขวา รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกทีไฟในงานก็ยังเปิดอยู่ เห็นไม่รู้ใครมานอนอยู่ข้างผม พอตะแคงกลับไปทางซ้าย ก็เห็นว่ามีผู้ชายคนหนึ่งมานอนอยู่เช่นกัน แกชื่อว่า พี่ขาว พี่ขาวแกเป็นคนรูปร่างลักษณะอ้วนท้วม ติดยศเกินนายร้อยไปหลายกิโลเลยแหละ
เมื่อมองไปทางวงดนตรีหมอลำก็เห็นว่ายังไม่เลิกลา จึงหยิบนาฬิกาขึ้นมาดูตอนนั้นเวลาตี 3 กว่าๆ พวกเขาน่าจะเล่นกันยันเช้าแหละ
แล้วผมก็เผลอหลับไปตอนไหนไม่รู้ ตื่นมาอีกทีก็ตี 5 กว่าแล้ว ปรากฏว่าทางขวาผมไม่มีใครนอนแล้ว เป็นเสื่อว่างๆเปล่าๆ ถัดไปเป็นโต๊ะหมู่บูชาพระประธานที่เตรียมไว้สำหรับพระทำบุญเพลนที่บ้าน พอผมหันไปทางด้านซ้ายก็ยังเห็นว่าพี่ขาวนอนหลับอยู่ ผมคิดในใจ สงสัยแกจะเมาหนักจริงๆ จึงปล่อยให้แกนอนต่อไป
ณ เวลานั้นเห็นพวกแม่ครัวกำลังทำกับข้าวกันขะมักเขม้นเสียงดังไปหมด ส่วนผมน่ะหรอ ลุกขึ้นไปอาบน้ำอาบท่าเตรียมตัวไปวัดครับ
พอช่วงประมาณ 7 โมงเช้า เราก็เตรียมตัวเดินไปวัดกัน ซึ่งการบวชครั้งนี้เป็นการบวชพระหมู่ บวชพร้อมกันทีละหลาย 10 คน เดินทางมาถึงวัดประมาณ 8 โมง แห่นาครอบโบสเสร็จ ประมาณช่วง 10:00 น. ขณะที่รอนาคทำพิธีอุปสมบทอยู่ ก็มีญาติขี่มอเตอร์ไซค์มาบอกว่า ตอนนี้ที่บ้านของคุณลุงเกิดเรื่องใหญ่แล้ว บักขาวนอนเสียชีวิตอยู่ในเต็นท์ คนก็ถามว่าเป็นอะไรเสีย คนที่มาแจ้งก็บอกว่า นอนหลับไม่ตื่นเลย
ตอนนั้นผมนี่อึ้งไปเลยครับ ตกใจมาก ก็เลยถามไปว่า “เป็นไปได้ไง เมื่อคืนพี่ขาวยังนอนข้าง ๆ ผมอยู่เลย แล้วแกตายตอนไหน” ผมรู้สึกใจไม่ดีอย่างบอกไม่ถูก เพราะเมื่อคืนยังนอนข้างแกอยู่เลย ตื่นเช้ามาก็ยังเห็นว่าแกนอนอยู่ข้างๆ
ชาวบ้านส่วนหนึ่งจึงกลับบ้านไปจัดการศพของพี่ขาว เพื่อนำมาตั้งที่วัดแถวบ้าน ส่วนทางนี้ก็ทำพิธีอุปสมบทกันต่อไป เหมือนเปลี่ยนอารมณ์ จากงานสีขาวกลายเป็นงานสีดำ งานบวชกลายเป็นงานศพ ตอนเช้าบวชพระ ตอนกลางคืนงานศพต่อเลย
หลังจากพิธีอุปสมบทลูกของลุงเสร็จเรียบร้อย เราก็เดินทางกลับไปส่งพระจำวัตรที่วัดประจำหมู่บ้าน
คืนนั้นเป็นคืนแรกที่สวดศพพี่ขาว ทางญาติคุยกันว่าจะสวดศพพี่ขาวแค่คืนเดียว เพราะร่างกายแกอ้วนใหญ่ คิดว่าฟอร์มาลีนน่าจะเอาไม่อยู่ อีกอย่างทางวัดก็ไม่มีโลงเย็นเสียด้วย หลังจากพระสวดเสร็จ ทุกคนก็ต่างแยกย้ายกันกลับบ้าน ผมก็กลับมานอนที่บ้านของลุงผม
พอกลับมาถึงบ้านลุง ทั้งบ้านเงียบมาก เพราะแม่ครัวเก็บของกลับตั้งแต่ช่วงบ่ายแล้ว ไฟแสงสีก็เอาลงหมดแล้ว จะเหลือก็แค่โต๊ะเก้าอี้และเต็นท์ ด้วยความที่ทุกคนเหนื่อยจากการเตรียมงานตั้งแต่เช้าจนถึงหัวค่ำ ทุกคนจึงรีบอาบน้ำเข้านอนกันทันที
พอตกดึกขณะที่ผมกำลังนอนหลับอยู่ ผมได้ยินเสียงคนพูดเป็นภาษาอีสานดังมาจากหน้าบ้านว่า “พ่อใหญ่ พ่อใหญ่ เปิดประตูให้แหน่ ข้อยสิเข้าไปนอนข้างใน” เรียกอยู่อย่างนี้ประมาณ 3 รอบได้
ผมจึงสกิดเรียกลุงที่นอนอยู่ข้างๆแล้วถามว่า “ลุงได้ยินไหม” ลุงบอกว่า “ได้ยินแล้ว ไม่ต้องพูดดด อยู่เฉยๆ นิ่งๆ” ผมมั่นใจว่าเจ้าของเสียงนั้นเป็นพี่ขาวแน่นอน ผมชะเง้อคอ มองออกไปบริเวณหน้าบ้าน มันค่อนข้างมืดจนมองไม่เห็นอะไรเลย
ที่บ้านลุงเลี้ยงหมาไว้หลายตัว อยู่ดีๆหมามันก็วิ่งจากหลังบ้าน ไล่ไปหน้าบ้าน แล้วพวกมันก็มารุมเห่ารุมหอนกันอยู่ตรงบริเวณหน้าบ้าน เสียงของพี่ขาวค่อย ๆ ไกลออกไป พวกหมามันก็วิ่งไล่เห่าหอนตามออกไปนอกรั้วบ้าน ผมนอนฟังจนกระทั่งเสียงพวกหมาเงียบลง แล้วพวกผมก็เผลอหลับไป
จนรุ่งเช้ามาอีกวันหนึ่ง ชาวบ้านต่างพูดโจษจันกันทั่วหมู่บ้านเลยว่า “บักขาวมันไปทุกบ้านเลย มันเดินเข้าไปในหมู่บ้านแล้วก็พูด ขอนอนด้วยแหน่ ตลอดทาง ทุกคนได้ยินแค่เสียง แต่ไม่มีใครเห็นตัวบักขาวตัวเป็น ๆ นอกเสียจาก พี่เลิศ!!
พี่หลอดเป็นพี่สาวของพี่เลิศ มาเล่าให้ผู้ใหญ่บ้านและชาวบ้านฟังว่า “เมื่อคืนบักขาวมันมาหาไอ้เลิศ (ต้องท้าวความก่อนว่า พี่เลิศเนี่ยไม่ค่อยถูกกับพี่ขาว มีเรื่องบาดหมางกันมาเป็นปีๆ เจอหน้ากันก็จะฟัดกันตลอด ) วันนั้นพี่เลิสแกยังไม่รู้ว่าพี่ขาวเสียชีวิต เพราะแกออกไปทำงานก่อสร้างที่อีกหมู่บ้านหนึ่่ง พอเลิกงานตอนเย็นแกก็ขี่มอเตอร์ไซค์กลับมา
สมัยก่อนบ้านเรือนตามนอกบ้านส่วนใหญ่เขาจะไม่มีประตูรั้วกัน ใครจะเดินเข้าเดินออกบ้านก็ได้ แต่บ้านของพี่เลิศจะมีรั้วที่ทำจากไม้ไผ่ แล้วใช้ไม้ไผ่ลำยาว ๆ มาปิดทางเข้าออกบ้าน (หากใครนึกไม่ออกก็ลองนึกถึงไม้กั้นทางรถไฟ ไม่ก็คอกควายอ่ะ)
หลังจากที่พี่เลิศขี่มอเตอร์ไซค์เข้าไปจอดในบ้าน แกก็เดินมาหน้าบ้านเพื่อเอาไม้ไผ่ปิดประตูรั้ว จังหวะที่พี่เลิศกำลังเดินออกไป พี่ขาวก็เดินสวนพี่เลิศเข้ามาพอดี พี่เลิศก็เลยทักว่า “บักขาว มึงมาทำหยัง มึงเข้ามาในบ้านกูอย่างนี้มึงต้องการมีเรื่องกับกูใช่ไหม วันนี้กูจะเอามึงตายแน่” แล้วพี่เลิศก็คว้าไม้ไผ่ ฟาดใส่พี่ขาวเต็มแรงเลย แต่พี่ขาวกลับหายวับไปต่อหน้าต่อตาแก!!
พี่เลิศตกใจ พูดออกไปว่า “เฮ้ยบักขาว มึงเป็นอะไรเนี่ย” แล้วก็ทิ้งไม้วิ่งเข้าบ้านไปเรียกพี่หลอด “พี่หลอด ๆ ทำไมบักขาวมันหายตัวได้” แต่คำที่พี่หลอดตอบกลับมาทำเอาพี่เลิศช็อกยิ่งกว่าเดิม “บ้ารึป่าว บักขาวมันจะมาได้ไง ก็มันตายเมื่อเช้านี้” คืนนั้นทำเอาพี่เลิศนอนคลุมโปงทั้งคืนเลย
ตื่นเช้ามาพี่เลิศจับไข้หัวโกร๋น พี่หลอดจึงบอกกับพี่เลิศว่าวันนี้ไปขอขมาศพบักขาวซะ ให้อโหสิกรรมต่อกัน เลิกแล้วต่อกัน ตกเย็นวันนั้นพี่เลิศจึงขี่มอเตอร์ไซค์ไปขอขมาศพพี่ขาวที่วัด
หลังจากพี่เลิศขอขมาศพพี่ขาวเสร็จ ช่วงเย็นทางวัดก็นำศพของพี่ขาวมาพิธีฌาปนกิจที่เชิงตะกอนท้ายวัด (สมัยก่อนการเผาศพจะไม่มีเมรุเหมือนสมัยนี้ และจะไม่รอให้ศพไหม้จนหมด จะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของสัปเหร่อไป) ช่วงหัวค่ำหลังจากพิธีฌาปนกิจเสร็จสิ้น พวกเราก็แยกย้ายกันกลับบ้านใครบ้านมัน ผมก็กลับไปนอนที่บ้านของลุงเหมือนเดิม
จนกระทั่งช่วงกลางคืนของคืนที่ 2 ประมาณ 4 ทุ่มเห็นจะได้ พี่ขาวแกก็มาเหมือนเดิมเลย เสียงหมาหอนไล่จากท้ายบ้านมาหน้าบ้าน เวลานั้นยังไม่ดึกมาก ผมยังนอนไม่หลับ จึงหันไปพูดกับลุงว่า “ลุงๆ บักขาวมาอีกแล้ว” ลุงก็บอกว่า “เออมึงอยู่เฉยๆ ไม่ต้องพูดอะไร”
“พ่อใหญ่ พ่อใหญ่ เปิดประตูให้ข่อยแหน่ ข่อยสิเข้าไปนอนข้างใน” เสียงพี่ขาวดังมาจากหน้าบ้าน
ผมถามลุงว่า “เอาอีกแล้วลุง ทำไงดีล่ะทีนี้” ลุงก็เลยตะโกนออกไปว่า “บักขาวมึงไปเลยนะ มึงนอนที่นี่ไม่ได้ ที่นี่ไม่ใช่บ้านมึง มึงกลับบ้านมึงไปเลยนะ หรือจะกลับไปวัดนู่นก็ได้” สักพักเสียงพี่ขาวก็เงียบไป พวกหมาจึงค่อยๆลดเสียงหอนลง จนผมคิดว่าคืนนั้นน่าจะไม่มีอะไรแล้ว
ช่วงเช้าเราจึงไปหาหลวงพ่อที่วัด มานั่งคุยกันว่ามันเกิดอะไรขึ้นทำไมพี่ขาวถึงละลานชาวบ้านไปทั่วเลย จนหลวงพ่อท่านบอกว่า “น่าจะเพราะยังไม่ได้ทำพิธีสวดกระดูก ต้องรอสวดกระดูกอีกวันนึงก่อน”
แล้วเราก็นั่งวิเคราะห์กันต่อว่าทำไมคืนที่ 2 พี่ขาวถึง ไม่ไปเดินส่งเสียงเรียกรอบหมู่บ้านเหมือนคืนแรก ทำไมไม่ไปแวะบ้านคนอื่น ทำไมถึงมาแค่บ้านของลุงหลังเดียว สุดท้ายมาถึงบางอ้อ คือเสื่อและหมอนที่พี่ขาวนอนเสียชีวิตยังอยู่ที่บ้านของลุง มันเป็นที่สุดท้ายที่พี่ขาวเสียชีวิต ฉะนั้นต้องนำเสื่อและหมอนนั้นมาทำพิธีเผาด้วย นั่นทำให้รู้ว่าทำไมพี่ขาวถึงอยากมานอนที่บ้านลุง
ซึ่งเสื่อผืนนั้นก็เป็นเสื้อของวัดเสียด้วย แถมยังม้วนใหญ่และยาวมาก แต่ลุกก็ต้องยอมเสียเงินไปซื้อเสื่อให้วัดใหม่ แล้วเผาเสื่อและหมอนใบนั้นให้แกไป เช้ามาอีกวันหลวงพ่อเจ้าอาวาสก็ทำพิธีสวดกระดูกให้กับพี่ขาว และนำกระดูกใส่โกศไปเก็บไว้ที่ช่องกำแพงวัด
วันต่อมาผมก็เดินทางกลับกรุงเทพฯ ผมคิดว่าเรื่องไม่น่าจะมีอะไรแล้ว หลังที่ผมกลับมากรุงเทพฯได้ 3 วัน ด้วยความที่แม่ผมเป็นห่วงทางนู้น จึงโทรกลับไปหาที่บ้านลุง ซึ่งในหมู่บ้านจะมีร้านค้าอยู่ร้านหนึ่ง ซึ่งเขามีโทรศัพท์บ้านอยู่ แม่ผมก็โทรไปเพื่อขอคุยกับลุง แล้วลุงก็เล่าให้แม่ผมฟังว่า…
ที่นาของลุงผมจะอยู่เลยท้ายวัดไปประมาณ 500 เมตร วันนั้นป้าออกไปดูน้ำในนากับลูกชายแก ชื่อ บักยู หลังจากเดินดูนาเสร็จ ป้าก็ชวน บักยู เดินกลับบ้าน ป้าบอกกับบักยูว่า “ไอ้ยู วันนี้กลับกันไวๆนะ เดี๋ยวมืดค่ำแล้วจะกลับลำบาก” แต่ในใจจริงๆป้าแกยังมีความกลัวพี่ขาวอยู่
ตอนนั้นเวลาประมาณสัก 5 เย็นโมงกว่าๆ ป้ากับบักยูก็เดินออกจากเถียงนามาเรื่อยๆ อยู่ดีๆจากท้องฟ้าแดง ๆ อยู่ๆ ก็มืดลงอย่างรวดเร็ว จนเริ่มมองทางไม่เห็น ระหว่างนั้นป้าเดินนำหน้า บักยูเดินตามหลัง จู่ ๆ บักยูก็พูดขึ้นมาว่า “แม่ ไม่ต้องหันมานะ แม่เดินไปไวๆ” ป้าก็ถามว่า “บักยู มึงมีอะไร” บักยูก็บอกว่า “เออหน่า แม่ไม่ต้องหันมา เดินให้ไวเลย”
ป้าก็รีบเดินจ้ำอ้าวไป บักยูก็บอกอีกว่า “แม่!! ไวกว่านี้อีก ไวๆ” ตอนนั้นบักยูจะวิ่งแล้ว แต่ติดแม่ที่เดินขวางอยู่ข้างหน้า
จนกระทั่งทั้งสองเดินมาถึงลานวัด ก็เดินเลาะกำแพงไปเรื่อย ๆ บักยูก็บอกแม่ว่า “แม่ วิ่ง!” เท่านั้นแหละ แม่รีบวิ่งนำหน้าไปเลย บักยูก็วิ่งตามแม่ไป แต่ระหว่างทางที่กำลังวิ่งกลับบ้าน แม่เกิดเปลี่ยนใจ เพราะกลัวว่าจะเจออะไรดักรออยู่หน้าวัด จึงเปลี่ยนใจเลี้ยวขวาไปทางบ้านลุงผม มาถึงป้าก็ตะโกนเรียกลุงลั่นเลย “ลุงเปิดประตูให้หน่อยแหน่”
พอเข้าไปในบ้านนะ ป้าก็ถามบักยูว่า “มึงมีอะไรไอ้ยู มึงรีบทำไม” บักยูก็บอกว่า “พี่ขาวเดินตามหลังมาน่ะสิ” แม่ก็ถามว่า “มึงเห็นหรอ” บักยูก็บอกว่า “ก็ตอนที่กำลังเดินกลับอยู่ ผมได้ยินเสียงเท้าคนเดินตามอยู่ข้างหลัง ตอนแรกผมก็คิดว่าเป็นเสียงฝีเท้าแม่กับผม แต่ไปๆมาๆมันไม่ใช่ เพราะเมื่อผมหันหลังกลับไปดู ผมเห็นเป็นพี่ขาวกำลังเดินใกล้เข้ามาจนจะถึงตัวผมอยู่แล้ว ผมก็เลยบอกให้แม่วิ่งให้ไวเลย”
พอบักยูเล่าจบ ป้าผมก็ไม่กล้ากลับบ้าน จึงให้ลุงขี้รถซาเล้งไปส่ง ซึ่งเส้นทางไปบ้านป้าผมนั้นมันต้องผ่านหน้าวัด ซึ่งที่กำแพงวัดมีโกฐของพี่ขาวอยู่ ป้ากลัวจะเจอพี่ขาวมายืนดักรออยู่ตรงกำแพงวัด ป้าก็เลยบอกให้พ่ออ้อมไปอีกทางนึง ซึ่งมันไกลไปทางนี้มาก แต่ป้าแกยอม
จนลุงไปส่งป้าถึงบ้าน ความที่มอเตอร์ไซค์ซาเล้งของลุงไม่มีไฟหน้า แกก็ใช้วิธีสวมไฟส่องกบไว้ที่หัว ส่องนำทางแทนไฟรถไป ขากลับด้วยความรีบกลับบ้านคุณลุงแกก็ลืมตัว เลยขี่กลับผ่านทางหน้าวัด พอขี่มาถึงหน้าวัด แกพึ่งจะนึกขึ้นได้
ชิหายล่ะไง!!
จังหวะที่กำลังจะผ่านวัด ลุงพยายามไม่มองเข้าไปในวัด พยายามจะขี่ผ่านไปเลย แต่พอขี่มาจนสุดกำแพงวัด ปรากฏว่าเห็นพี่ขาวยืนอยู่ตรงมุมข้างกำแพงวัด และพูดกับลุงผมว่า
“ไปนำแหน่เด้อพ่อใหญ่”
ถามว่าลุงผมกลัวใหม่ เอาจริงๆลุงผมก็ไม่ได้กลัวผีหรอก แต่เจออย่างนี้ก็บิดหมดปลอกเหมือนกัน พอกลับมาถึงบ้านแกก็ปิดประตูล็อกรั้ว เข้านอนทันที
จนเวลาผ่านไป 7 วันลุงได้ไปหาหลวงพ่อที่วัด บอกให้หาที่อยู่ให้พี่ขาว ให้เขาอยู่กับที่ไม่ต้องไปไหน หลังจากนั้นทางญาติ ๆ ของพี่ขาวจึงมาช่วยกันสร้างสถูปน้อย ๆ ขึ้นมา เพื่อไม่ให้แกออกไปเพนพ่านหลอกใครที่ไหนอีก
หลังจากนั้นเรื่องราวของพี่ขาวก็ค่อยๆจางหายไป จนชาวบ้านกลับมาใช้ชีวิตกันปกติ…เรื่องราวทั้งหมดก็จบแต่เพียงเท่านี้
ขอขอบคุณเรื่องเล่าจากช่องพาเที่ยว เลี้ยวไปหลอน เรื่อง งานบุญเปลี่ยนสี – คุณตะโก้
บทความ Rewrite ห้ามคัดลอก หรือนำไปเล่าลง Youtube หรือ พอดแคสต์