เวรกรรม คำสารภาพ กูไม่ให้มึงตายหรอก ให้มึงอยู่อย่างนี้แหละดีแล้ว

คำสารภาพ

อทินฺนาทานา เวรมณี สิกฺขาปทํสมาทิยามิ การลักทรัพย์ทั่วไปถือว่าบาปแล้ว แต่การลักทรัพย์ขของสงฆ์นั้นบาปยิ่งกว่า เรื่องสุดขนลุกจากช่อง พาเที่ยวเลี้ยวไปหลอน ซึ่งพี่หนึ่ง อ.หมอ ได้ฟังมาจากพี่ท่านหนึ่ง ถึงประสบการณ์เมื่อครั้งที่เธอ กลับไปทอดกฐินที่วัดบ้านเกิด ซึ่งรู้อยู่แล้วมันไม่ไม่ถูกไม่ควร แต่เธอก็ยังทำสิ่งนั้น และผลจากกระทำนี่เองที่ทำให้ชีวิตเธอต้องพังไม่มีชิ้นดี…เรื่องมีอยู่ว่า

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในจังหวัดจังหวัดหนึ่งทางภาคอีสานตอนใต้ เมื่อประมาณ 15-16 ปีที่ผ่านมา สมัยนั้นพี่ปราณีทำงานอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมนวนคร ช่วงนั้นเป็นช่วงที่เศรษฐกิจกำลังบูมมาก โรงงานมีพนักงานอยู่ประมาณ 6-7 พันคนเป็นโรงงานที่มีขนาดใหญ่ พี่ปราณีเลยมีความคิดว่าจะทำกฐินไปทอดที่วัดที่บ้านเกิดโดยที่พี่ปราณีรับหน้าที่เป็นเจ้าภาพ 

ตอนนั้นพี่ปราณีมีตำแหน่งเป็นรองประธานสหภาพของโรงงาน จึงทำให้รู้จักกับคนงานในโรงงานเกือบทั้งหมด 

ในขณะที่ได้รับมอบหมายเป็นประธานสายในการเรี่ยไรบุญ เพื่อที่จะนำเงินตรงนี้ไปทำบุญกฐินที่บ้าน พี่ปราณีรับซองจากทางวัดมาแจกทั่วโรงงาน ได้ยอดเงินทั้งหมดสองแสนแปดหมื่นกว่าบาท ซึ่งถือว่าเป็นยอดเงินที่เยอะมากอยู่พอสมควร พอถึงวันทอดกฐิน พี่ปราณีก็เดินทางกลับบ้านเกิด นำซองไปถวายที่วัด

ตอนนั้นเองพี่ปราณีรู้สึกว่าตัวเองนั้นมีโชคลาภเข้ามาจากสิ่งที่ตัวเองได้ทำลงไป แกทำไปแกก็หวังว่าจะได้รับสิ่งตอบแทนอะไรกลับมาบ้าง เช่น โชคลาภ หรืออะไรก็ตามที่แกต้องการ

โดยหลังจากที่แกทำบุญเสร็จ พี่ปราณีก็เลยรู้สึกว่าสิ่งที่ทำไป มันเป็นบุญไม่ว่าจะมากหรือน้อย แกจึงแอบเอาบางส่วนที่แกคิดเองเออเองไปใช้ธุระส่วนตัว เช่น ไปปิดบัตรเครดิต ไปซื้อทองใส่ รวมไปถึงซื้อทีวีเครื่องเสียงให้กับแฟน แล้วก็ซื้อเกมตลับให้กับลูกๆ 

พี่ปราณีกลับมาทำงานตามปกติ จนกระทั่ง 8 เดือนต่อมา พี่ปราณีก็เริ่มรู้สึกว่าทำไมมันร้อนๆ กระสับกระส่ายหงุดหงิดในใจแปลก ๆ  ต้องบอกก่อนว่าหลังจากที่ผ่านงานกฐินมาได้ 8 เดือนนั้น พี่ปราณีก็เริ่มทะเลาะกับแฟนทุกวันอย่างไม่มีสาเหตุ 

ผมถามพี่ปราณีว่าทะเลาะกับแฟนยังไง พี่ปราณีก็เลยตอบว่า บางครั้งบางคราวกินข้าวด้วยกัน แฟนทำช้อนตกพี่ปราณีก็มีอารมณ์หงุดหงิด หยิบเอาจานข้าวขึ้นมาตบหน้าแฟน โดยที่แกไม่สามารถจะควบคุมอารมณ์ตัวเองได้เลย 

พี่ปราณีรู้สึกว่าเหมือนมีอะไรบางอย่างอยู่ในตัวและสั่งให้แกทำ จนเกิดมีการทะเลาะตบตีกัน ทีนี้แกมีด้วยกันอยู่ 2 คนที่เริ่มโตเป็นวัยรุ่น คนโตเป็นผู้ชายชื่อ โจ้ มักจะมีอารมณ์ที่เกรี้ยวกราดเกินกว่าวัย กลางคืนไม่หลับไม่นอนชอบคุยกับใครก็ไม่รู้ 

(ด้วยความที่ผมอยากรู้จึงถามไปว่า รู้ได้ยังไงว่าคุยคนเดียว) พี่ปราณีก็บอกว่า แกเคยเห็นลูกแกคุยโทรศัพท์จึงเข้าไปถามว่า  โจ้…โจ้คุยกับใครลูก โจ้ก็ตอบมาว่า คุยกับเพื่อน!! 

พี่ปราณีก็เลยทักท้วงว่า โจ้จะคุยกับเพื่อนได้ยังไงหน้าจอไม่เห็นมีอะไรขึ้นเลย โจ้…กลับตะคอกใส่แม่ขึ้นมาว่า “อย่าเสือก” พี่ปราณีก็เลยเริ่มรู้สึกแล้วว่าจะต้องมีอะไรผิดปกติแน่ๆ เด็กคนนึงจะพูดกับพ่อแม่แบบนี้ได้ยังไง แล้วโจ้ก็พูดต่ออีกว่า “มึงอ่ะตอแหล มึงคือคนตอแหล” 

สักพักก็เริ่มตบตีกัน โจ้สู้แม่เริ่มทำร้ายร่างกายแม่ จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พี่ปราณีเลยสงสัยว่าโจ้คงจะติดยาแน่นอน ก็เลยพาโจ้ไปตรวจที่โรงพยาบาล แต่โจ้ขัดขืนและโจ้ยังด่าแม่อยู่ตลอด “ตอแหล ขี้โกง” สารพัดสารเพ “กูจะเอาคืน…มึงทำแบบนี้มันไม่ถูก มึงเอาไปกูจะเอาคืน” 

หลังจากที่พาไปรักษาตัว หมอตรวจร่างกายหาสารเสพติด ปรากฏว่าไม่พบสารเสพติดอะไร จึงพาโจ้กลับบ้าน เมื่อกลับมาถึงบ้านโจ้เริ่มมีอาการนั่งตาขวาง ไม่พูดไม่จากับใคร เอาแต่เก็บตัวอยู่แต่ในห้อง 

ด้วยความที่พี่ปราณีเช่าบ้านอยู่ เป็นหลังห้องใครห้องมัน คืนนั้นพี่ปราณีได้ยินเสียง แจง ลูกสาวคนเล็กร้องตะโกนโวยวายว่า ช่วยด้วยแม่…ช่วยด้วยพ่อ… พี่ปราณีได้ยินก็รีบปลุกสามี แต่สามีกลับนอนหลับไม่รู้เรื่อง จึงรีบลุกไปเคาะประตูห้องนอนลูกสาว ถามว่า เกิดอะไรขึ้น แต่ลูกสาวไม่เปิด 

สักพักพี่ปราณีก็วิ่งไปที่ห้องของโจ้ เพื่อที่จะไปเรียกโจ้ให้มาช่วยดูน้องเพราะน้องร้องตะโกนโวยวายอยู่ในห้อง ระหว่างช่วงชุลมุนเสียงกรี๊ดร้องของแจงก็ดังออกมาจากห้องอย่างต่อเนื่อง

พี่ปราณีวิ่งไปหาโจ้ที่ห้องก็ไม่เจอ จึงกลับมาพยายามเคาะพยายามพังประตูเข้าไปในห้องแจงให้ได้ สักพักเสียงร้องก็เงียบหายไป พี่ปราณีเริ่มรู้สึกแล้วว่าต้องเกิดร้ายแรงขึ้นแน่ๆ ไม่ลดละความพยายามที่จะพังประตูเข้าไป ทุบประตู ตะโกนเรียกคนข้างบ้าน 

ด้วยความที่ทำอะไรไม่ถูก วิ่งไปวิ่งมาอยู่อย่างนั้น แล้วสักพักก็เห็นว่าโจ้เดินออกมาจากห้องแจงพร้อมกับรอยเล็บข่วนที่ใบหน้าและลำตัวเต็มไปหมด และพูดขึ้นมาว่า “นี่คือสิ่งหนึ่งที่กูทำ” พูดจบโจ้ก็เดินผ่านไปทำเหมือนมองไม่เห็นแม่ (ผมไม่อยากพูดอย่างนี้ แต่ว่ามันเกิดขึ้นจริง โจ้ข่มขืนน้องตัวเอง!!!)

พี่ปราณีโกรธมาก ถึงขั้นคว้าท่อนเหล็กได้ก็เอามาตีโจ้ด้วยความคับแค้นใจ โจ้พยายามปัดป้องแต่สุดท้ายก็หมดสติไป ตอนนั้นเองพี่ปราณีรู้สึกเจ็บใจ เดินไปเอาน้ำมาราด และพูดว่าทำไมไม่ตื่น เสียงโวยวายดังลั่นขนาดนี้ ทำไมถึงยังไม่ตื่น

เหตุการณ์ที่อัปยศครั้งนี้ พี่ปราณีไม่สามารถพูดให้ใครฟังได้ หลังจากนั้นผ่านไปประมาณ 1 อาทิตย์พี่ปราณีไปทำงานตามปกติและเริ่มสังเกตเห็นว่าทำไมคนงานที่ทำงานมองแกแปลกๆ มองเหมือนกับคนที่ไม่เคยรู้จักกันมากก่อน จนแกสงสัยว่าแกมีความผิดปกติอะไรตรงไหน 

พี่ปราณีก็เลยไปถามกับเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งว่า “เฮ้ย…ทำไมเดี๋ยวนี้น้องๆคนในโรงงานถึงมองกูแกแปลกๆ” เพื่อนก็เลยบอกว่า “มันจะไม่แปลกได้ไงล่ะ กูไม่อยากพูดให้มึงฟังนะ อีนี… กูว่ามึงไปหาหมอเถอะ มึงไปหาหมอธรรมหรือว่าหมอผีก็ได้ มันเริ่มผิดปกติแล้ว”

พี่ปราณีก็งงว่าเพื่อนหมายถึงอะไร เลยถามเพื่อนต่อว่า “กูผิดปกติตรงไหนวะบอกให้ฟังหน่อย” เพื่อนก็บอกว่า “เวลามึงเข้าห้องน้ำ มึงเคยสังเกตไหมว่าน้องๆพนักงานหลายๆคนเนี่ย จะรีบออกจากห้องน้ำกันหมดเลย” พี่ปราณีนึก ๆ ดู “เออใช่สังเกตมาหลายครั้งแล้”ว แต่พี่ปราณีก็ไม่ได้สนใจอะไร แล้วก็ไม่ได้ถามใคร 

เพื่อนยังเล่าให้ฟังอีกว่า “ตอนที่มึงเข้าห้องน้ำ น้องๆหลายคนมาเล่าให้ฟังว่า ตอนที่มึงล้างหน้าล้างมือตรงอ่างด้านหน้าจะมีกระจกบานใหญ่ เขาบอกว่า มึงไม่ได้ยืนคนเดียว บางทีก็มีเด็กขี่คอบ้าง มีคนแก่ขี่คอบ้าง มึงไม่สังเกตบ้างเลยหรอ จนมีอยู่ช่วงนึงที่น้องๆ ต้องวิ่งหนีกันออกมา” 

พี่ปราณีเริ่มคิดตามและบอกว่า “ใช่ มันคือเรื่องจริง แต่ตอนนั้นกูเครียด” เพื่อนก็เลยถามกลับพี่ปราณีว่า แล้วมึงเครียดเรื่องอะไร แต่ในเวลานั้นพี่ปราณีทำได้เพียงร้องไห้ ไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้

ระหว่างที่คุยกับเพื่อนอยู่นั้น จู่ๆก็มีโทรศัพท์โทรเข้ามาจากเจ้าหน้าที่มูลนิธิให้ไปรับศพลูกชายที่โดดน้ำตาย พี่ปราณีบอกว่ามันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไวมาก แกเพิ่งทะเลาะกับลูกชาย เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว แต่พอมาอาทิตย์นี้ลูกชายแกก็มาเสียชีวิต

ซึ่งเจ้าหน้าที่แจ้งว่าตามตัวของลูกชายที่มีรอยมีดกีดเต็มเลย แล้วแกก็ได้ไปเห็นกับตา ลูกชายแกเอาคัตเตอร์กรีดที่แขนข้างซ้ายของตัวเองว่า “มึงอีขี้โกง” แขนข้างขวาว่า “มึงอีตอแหล” และบริเวณกลางหน้าอกเขียนสลับกันไปมาว่า “กูจะเอาคืน” 

ด้วยความที่พี่ปราณีรู้สึกทั้งรัก ทั้งเกลียด ทั้งโกรธ จนแกไม่รู้ว่าจะร้องไห้ดี จะสมน้ำหน้าดีหรือว่าจะต้องรู้สึกยังไงดี พี่ปราณีก็เอาอารมณ์ทั้งหมดที่รู้สึกไปลงที่แฟนด้วยการด่าแฟน ด่าเช้าด่าเย็น ทั้งในที่ทำงานและที่บ้าน (ต้องบอกเพิ่มเติมว่าแฟนพี่ปราณีนั้นทำงานที่เดียวกัน แต่ตำแหน่งของแฟนจะอยู่ต่ำกว่าพี่ปราณี)

จนสุดท้ายทั้งคู่เกิดการทะเลาะตบตีกันขึ้นในโรงงาน ทำให้แฟนถูกให้ออก เพราะก่อเหตุทะเลาะวิวาท แต่พี่ปราณียังคงทำงานที่นั่นต่อ ในเวลานั้นเองพี่ปราณีรู้สึกว่าสะใจที่แฟนถูกไล่ออก แกก็เลยไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก 

หลังจากพิธีศพของโจ้ผ่านไป แฟนโดนไล่ออกจากงาน ลูกสาวคนเล็กก็ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า ไม่พูดไม่จา เก็บตัวอยู่แต่ในห้อง หวาดกลัวผู้ชายทั้งหมดที่เข้าใกล้ แฟนพี่ปราณีได้เดินมาคุยกับพี่ปราณีและถามว่า ทำไมบ้านเราถึงเป็นแบบนี้ มันเกิดอะไรขึ้้น

พอคุยกันไปคุยกันมา…มันไม่ใช่สิ่งที่คนสองคนจะคุยกันรู้เรื่องอีกต่อไป จึงทะเลาะกันอีกครั้ง พอทะเลาะกันของทั้งหลายแหล่ที่พี่ปราณีซื้อมาไม่ว่าจะเป็นทีวีจอใหญ่ เครื่องเสียง ทองคำนู่นนั่นนี่ ถูกทำลายจนเสียหายพังพินาศหมด ทองก็เอามาขยำแล้วก็เขวี้ยงใส่กัน 

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันเป็นเรื่องราวที่แปลกมาก พี่ปราณีรู้สึกว่าพอตนยิ่งทำก็ยิ่งรู้สึกว่าสะใจ มีความรู้สึกว่าต้องทำอีก แฟนพี่ปราณีเครียดมากถึงขั้นสุดท้ายแขวนคอตายต่อหน้าต่อตาพี่ปราณี 

(ผมก็เลยถามพี่ปราณีไปว่า รู้สึกยังไงในขณะที่ทะเลาะกันแล้วแฟนแขวนคอตายต่อหน้าต่อตา) พี่ปราณีบอกว่าในเวลานั้นรู้สึกอยู่อย่างเดียวคือสะใจ ทั้งหัวเราะ ทั้งร้องไห้ ออกมาพร้อมๆกัน จนคนข้างบ้านต้องออกมามุงดู เพราะทะเลาะกันรุนแรงขว้างปาข้าวของกระจุยกระจาย เสียงดังลั่นบ้าน

ประกอบกับระหว่างที่ทะเลาะกันนั้น แจงลูกสาวคนเล็กก็เอาแต่ร้องกรี๊ด กรี๊ด กรี๊ด อยู่ในห้อง กรี๊ดสลับกับหัวเราะ สักพักก็ร้องไห้ คนที่มามุงดูกันอยู่หน้าบ้านจึงได้เห็นว่าแฟนพี่ปราณีผูกคอตาย เขาก็เลยรีบเข้ามาช่วยแฟนพี่ปราณีได้ทัน ทำให้รอดตายมาได้

ระหว่างนั้นเองพี่ปราณีก็เอาแต่หัวเราะและตะโกนว่า “ทำไมมึงไม่ตาย ทำไมมึงไม่ตาย” แล้วก็หัวเราะ แล้วก็ร้องไห้สับสนวุ่นไปหมดเหมือนไม่ใช่คน เหมือนมีตัวอะไรมาสิงร่าง 

หลังจากนั้นแฟนพี่ปราณีก็ถูกส่งไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลและก็กลับไปอยู่บ้านที่ต่างจังหวัดโดยที่ไม่บอกลาพี่ปราณีเลยสักคำ ส่วนแจงก็เอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้อง ข้าวก็ไม่กิน ผอมและดำ พอพี่ปราณีมาเคาะประตูเรียก “แจงกินข้าว” แจงก็จะกรีดร้องเหมือนกับคนไม่มีสติ พี่ปราณีก็เลยต้องเอาข้าววางไว้ที่หน้าห้อง นับว่าโชคยังดีที่แจงยังออกมากินข้าวอยู่บ้าง 

หลังจากนั้นพี่ปราณีก็ได้ไปหาหมอธรรมหรือหมอผี ที่เพื่อนๆ แนะนำมา หมอธรรมท่านนี้อยู่ในจังหวัดสระบุรีเป็นหมอทำที่มีชื่อเสียงในวงการ มีสำนักขนาดใหญ่โต และเคยออกทีวีมาแล้ว 

พี่ปราณีไปถึงช่วงเวลาประมาณ 11.00 น. หมอธรรมกำลังทำพิธีกับคนอื่นอยู่ จนกระทั่ง 22:00 น. พี่ปราณีก็ยังไม่ได้คิว แล้วก็ไม่มีใครเดินมาเรียกแกเลย 

(ผมก็เลยถามว่า อ้าวแล้วทำไมพี่ไม่ถามเขาละหรือว่าอะไรยังไง) พี่ปราณีบอกว่าตอนนั้น แกคิดวนไปวนมาอยู่ในหัว สับสนจนกระทั่งสามารถนั่งอยู่เฉยๆ ตรงนั้นเป็นเวลานานๆ ได้ จนเพื่อนที่พามาขอตัวกลับไปทำงานก่อนแล้ว 

จนเวลาประมาณ 22:00  ทุ่มกว่าๆ เขาเริ่มเก็บของปิดสำนัก พี่ปราณีแหงนหน้าขึ้นไปมองบนสำนัก ไม่มีใครมองมาที่พี่ปราณีแม้แต่นิดเดียวเหมือนไม่เห็น แล้วเขาก็ปิดประตูสำนักไป พี่ปราณีในเวลานั้นก็เอาแต่ร้องไห้ออกมาจนหมดแรงแล้วก็ผลอยหลับไปตรงหน้าสำนักเลย เพราะตั้งแต่เช้ายันมืดก็ยังไม่ได้กินอะไร

รุ่งขึ้นสายๆ ช่วงเวลาประมาณ 9:00 น. พี่ปราณีก็ได้ยินเสียงสวดมนต์ดังมาจากในสำนัก แล้วก็มีพระมาบิณฑบาต พี่ปราณีหันไปมองพระรูปนั้น พระรูปนั้นก็หันมามองพี่ปราณี แล้วสะกิดพระรูปที่อยู่ข้างหน้าว่าให้รีบๆ เร็วๆ 

พี่ปราณีเริ่มสงสัยและคิดอยู่ในใจว่า “ทำไมหรอ? สภาพแกเป็นยังไง? พระถึงต้องเดินหนี” ตัดสินใจเดินตามพระรูปนั้นไปแล้วก็เข้าไปถามว่า “หลวงพี่… หลวงพี่… ฟังหนูก่อน หนูไม่ได้บ้านะ” แต่พระสองรูปนั้นกลับรีบเดินหนี  กระทั่งเด็กวัดเข้ามาขวางแล้วบอกว่า อย่ามายุ่งกับหลวงพี่ไปๆ จะไปไหนก็ไป พี่ปราณีจึงถามกลับไปว่า “ทำไมมันมีอะไร ทำไมต้องกลัวอะไรกันขนาดนี้”

เด็กที่มากัน 2 คน คนนึงเข็นรถ คนนึงถือปิ่นโต บอกกับพี่ปราณีขึ้นมาว่า “จะไม่ให้กลัวได้ไง ก็นั่งอยู่บนกองไฟ แล้วนั่งอยู่ได้ยังไงใช่คนหรือเปล่า” (ผมสงสัยว่าที่เด็กวัดบอกว่านั่งอยู่บนกองไฟ มันหมายถึงอะไร) พี่ปราณีก็เลยตอบกลับมาว่า ทั้งเด็กวัดและพระต่างก็เห็นว่าพี่ปราณีนั่งอยู่บนกองไฟ ซึ่งไฟกำลังลุกท่วมตัวพี่ปราณีอยู่ ทั้งหมดก็เลยรีบเดินหนี พี่ปราณียิ่งงงพยายามมองสำรวจตัวเองก็ไม่เห็นว่ามีไฟอะไรเลย 

กระทั่งเวลา 9:30 น. สำนักก็เปิดประตู พี่ปราณีก็เลยเข้าไปถามว่า “วันนี้มีคิวไหม” คนที่มาเปิดสำนักเขาก็เลยบอกกับพี่ปราณีว่า “จองคิวไว้หรือยัง” พี่ปราณีก็ตอบว่า “จองไว้ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว” คนที่สำนักพูดขึ้นมาว่า “อ้าว…จองแล้วทำไมถึงไม่มาขอคิว” พี่ปราณีก็ตอบว่า ฉันนั่งอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อวาน จนถึงเมื่อคืน คนที่สำนักก็บอกว่า “จะบ้าหรอ ฉันไม่เห็นใครนั่งอยู่ตรงนี้สักคนเลย พึ่งจะมาเห็นเมื่อเช้า แล้วอาบน้ำอาบท่ามาหรือยัง” 

พี่ปราณีถามกลับไปว่า “อ้าว…ทำไมถึงไม่เห็นล่ะ ก็นั่งรออยู่ตรงนี้ทนโท่ จองไปแล้ว” เขาก็ถามว่า “จองไว้กับใคร” พี่ปราณีรีบตอบกลับไปว่า “จองกับเพื่อนฉัน” เขาก็ถามว่า “เพื่อนชื่ออะไร” พี่ปราณีก็เลยบอกชื่อเพื่อนไป 

ลูกศิษย์สำนักเขารู้จักกับเพื่อนพี่ปราณี  จึงบอกให้พี่ปราณีเข้ามาก่อนและถามถึงสารทุกข์สุกดิบ เพื่อนพี่ปราณีว่าเป็นยังไงบ้าง พี่ปราณีก็เลยบอกว่า “อ๋อ… เขากลับไปทำงานแล้วให้ดิฉันรออยู่ที่นี่ก่อน” ผู้ดูแลสำนักบอกว่า “เออ…ขอเบอร์หน่อยได้ไหมไม่มีเบอร์ตั้งนานแล้ว” พี่ปราณีก็เลยเอาเบอร์เพื่อนให้กับผู้ดูแลสำนักไป

หลังจากนั้นก็มีเบอร์ของเพื่อนพี่ปราณีโทรเข้ามาด่าพี่ปราณีว่า “อีนรก…มึงทำกูซวย” พี่ปราณีได้ฟังก็ยิ่งตกใจว่า ทำไม มีเรื่องอะไรเกิดอะไรขึ้น เพื่อนก็ยังคงด่าว่าแบบสารพัดสารเพ พี่ปราณีจึงรีบถามกลับเพื่อนไปว่า “มึงจะบ้าหรอกูไปทำอะไรให้มึง มึงมาด่ากูทำไม” และก็ด่าทะเลาะกันสวนกลับไปมา

พอได้คิวพี่ปราณีก็เข้าไปนั่งที่สำนักและกำลังจะเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองให้หมอธรรมฟัง แต่ยังไม่ทันจะเล่าหมอธรรมก็พูดขึ้นมาก่อนเลยว่า “มึงไม่ต้องเล่า เขามากันเยอะมาก มึงกลับไปเถอะ กูช่วยอะไรมึงไม่ได้จริงๆ ใครอยู่ใกล้มึงก็ซวย” 

พี่ปราณีคิดในใจ ใครอยู่ใกล้ตนก็ซวยหรอ อ้าว…เกิดอะไรขึ้นกับเพื่อน หรือว่าเพื่อนถูกเจ้านายด่าว่าหรอ พี่ปราณีนึกขึ้นมาได้ก็รีบโทรกลับไปถามเจ้านายว่า ด่าว่าอะไรเพื่อนหรือเปล่า เจ้านายบอกว่า “ไม่ได้ด่า จะด่าได้ยังไงก็ตอนที่มันไปส่งปราณี ขากลับมาโรงงานรถคว่ำตายไปแล้วตั้งแต่เมื่อวาน…” พี่ปราณีมือสั่น โทรศัพท์ตก เพราะเพื่อนเพิ่งจะโทรมาด่าว่าพี่ปราณีเป็นตัวซวย และพี่ปราณียังด่ากลับไปอยู่เลย 

หลังจากนั้นพี่ปราณีก็กลับบ้านไปแบบจิตใจล่องลอย ไม่มีอารมณ์ ไม่มีความรู้สึกอะไรเลยทั้งสิ้น  พี่ปราณีตัดสินใจว่าจะกลับบ้านไปหาแม่ที่ต่างจังหวัด จึงโทรไปหาน้องสาว พอน้องสาวรับสาย พี่ปราณียังไม่ทันพูดอะไร น้องสาวบอกว่า “แม่ตกบันได คอหักตายไปเมื่อสักครู่นี้เอง” 

ในเวลานั้นเองพี่ปราณีกำลังนั่งอยู่บนรถ บขส สติแตกร้องไห้ออกมาเสียงดัง จนคนในรถหันมามอง จนกระเป๋ารถต้องเดินเข้ามาตวาดว่า “อีป้า..เบาๆ”  พี่ปราณีแปลกใจว่าทำไมถึงไม่มีใครสงสารแกเลย มีแต่คนเดินมาด่า ซ้ำเติมหาว่าแกบ้า บอกให้เงียบผู้โดยสารแตกตื่นกันหมดแล้ว 

พี่ปราณียังคงร้องไห้อยู่อย่างนั้น จนสุดท้ายกระเป๋ารถเมล์ต้องเข้ามากระชากกระเป๋าพี่ปราณีเขวี้ยงลงจากรถแล้วก็ผลักพี่ปราณีลงจากรถมาแบบไร้ความปราณี จนหน้ากระแทกพื้น พี่ปราณีเดินไปก็ร้องไห้ไปตลอดทาง เดินจากวังน้อยไปจนถึงบ้านพักตอนประมาณ 4-5 ทุ่ม 

พอมาถึงบ้าน ด้วยความกระหาย เปิดตู้เย็น หยิบน้ำมาดื่ม แต่กลับรู้สึกว่าน้ำที่กินเข้าไปมันไม่ใช่น้ำ จึงหยิบกระบอกที่ 2 ขึ้นมา ก่อนจะดื่มก็ลองเอามาดมก่อน ปรากฏว่ามันคือ “ฉี่” 

พี่ปราณีโมโหมาก ทิ้งขวดน้ำ แล้วรีบขึ้นไปดูแจง เห็นแจงกำลังนั่งคุยคนเดียว เล่นคนเดียว แล้วก็เห็นกระบอกน้ำตั้งกองอยู่ในห้องแจงเต็มไปหมด จึงเข้าไปถามว่า “แจงเอากระบอกน้ำมาทำอะไรลูก” พร้อมกับหยิบกระบอกน้ำขึ้นมาดู ในกระบอกมีแต่ “ฉี่” มีแต่ “อึ” คือแจงทั้งฉี่และอึใส่กระบอกแล้วก็เอาไปแช่เย็น เหมือนแจงจะเสียสติไปแล้ว

พี่ปราณีเข้าไปกอดแจงแล้วก็พูดว่า “แม่ ขอโทษ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแม่ก็ไม่รู้ว่าจะแก้ไขยังไง” แจงกอดพี่ปราณีตอบพร้อมกับตบหลังพี่ปราณีเบาๆๆ แล้วแจงก็กัดคอพี่ปราณี กัดแบบไม่ปล่อย จนพี่ปราณีเจ็บมาก พยายามผลักแจงออกแต่แจงก็ไม่ยอมปล่อย จนสุดท้ายผลักแจงออกไปได้ แต่พี่ปราณีเลือดไหลเต็มเสื้อไปหมด แจงหัวเราะออกมาด้วยความชอบใจ 

พี่ปราณีถามแจงว่า “เป็นบ้าอะไร ทำแบบนี้ไม่ได้นะ” เวลานั้นพี่ปราณีรู้สึกเครียดจนร้องไห้ กระชากหัวตัวเองจนผมหลุดร่วงออกมาเป็นกำ แจงหัวเราะ พี่ปราณีร้องไห้ กรี๊ด กรี๊ด จนชาวบ้านแถวนั้นเข้ามามุงดูกันว่าเกิดอะไรขึ้น 

เมื่่อชาวบ้านเข้ามาเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นก็กลัวว่าพี่ปราณีจะทำร้ายแจง ตะโกนเรียกพี่ปราณี ได้ยินเสียงของพี่ปราณีดังมาจากข้างบนก็เลยเดินขึ้นไปดู เห็นพี่ปราณีกำลังหัวเราะปนร้องไห้ เลือดที่คอของพี่ปราณีไหลเต็มตัวไปหมด 

คุณลุงที่เป็นชาวบ้านแถวนั้นถึงขั้นพูดออกมาว่า “บ้ากันไปหมดแล้ว ไปดีกว่า” กลายเป็นว่าไม่มีใครสงสารพี่ปราณีเลย ชาวบ้านทุกคนต่างพากันออกจากบ้านพี่ปราณีไปไม่มีใครยุ่งด้วย 

สักพักพี่ปราณีเริ่มได้สติ จึงเข้าไปคุยกับแจงว่า กลับบ้านเราเถอะลูก พอบอกว่ากลับบ้านแจงก็ผยักหน้าพูดว่า “กลับบ้านเถอะ…กลับบ้านเถอะ ที่นี่มีแต่ผีไม่อยากอยู่แล้ว แม่กลับบ้านเถอะ” พี่ปราณีเข้าไปเก็บเสื้อผ้าของแจงและของตัวเองใส่กระเป๋าเท่าที่เก็บได้ 

ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณ 2:00 – 3:00 น. พี่ปราณีกะว่าจะกลับบ้านพรุ่งนี้เช้าแก ก็เลยไปรวบรวมเงินที่ซ่อนเอาไว้ในบ้าน แต่ปรากฏว่าเงินและทองคำที่ซ่อนเอาไว้บางส่วนมันหายไป แกก็เลยไปถามแจงว่าเอาเงินแม่ไปไหนหรือเปล่า หรือว่ามีใครเข้ามาในบ้านหรือเปล่า แจงตอบว่า “นั่นไม่ใช่เงินแม่ นั่นมันเงินที่คนอื่นเอามาทำบุญ” พี่ปราณีถามแจงกลับทันทีว่า “แจงเอาไปไหน” แจงตอบว่า “เอาไปให้คนอื่น เอาไปทำบุญ” 

แจงเดินเข้ามาจูงมือพี่ปราณีลงมาข้างล่างพาเข้าไปในห้องน้ำ ปรากฏว่าแจงได้นำทองคำและเงินสดที่พี่ปราณีเก็บไว้ทิ้งลงชักโครกทั้งหมดเลย เท่ากับว่าตอนนี้พี่ปราณีมีเงินติดตัวแค่ใน ATM เท่านั้น 

พี่ปราณีถามแจงว่า “ทำบ้าอะไร เป็นอะไร ทำไมแจงต้องทำแบบนี้ด้วย” แจงร้องไห้พูดขึ้นมาว่า “มันไม่ใช่เงินเราแม่ แม่โกงคนอื่นมา แม่ตอแหล” พี่ปราณีก็เลยบอกให้แจงไปนอน พรุ่งนี้ก็จะได้กลับบ้านต่างจังหวัดแล้ว 

พี่ปราณีไม่ได้สนใจแล้วว่าพรุ่งนี้จะต้องไปทำงาน และเผลอหลับไปเลย กว่าจะตื่นก็ประมาณ 13:00 น. ของอีกวัน พี่ปราณีคิดในใจว่าบ่ายโมงก็น่าจะยังกลับทันจึงเดินไปหาแจงที่ห้อง แต่ปรากฏว่าไม่แจงไม่อยู่จึงตะโกนตามหา ได้ยินเสียงพูดดังมาจากข้างล่างว่า “แจงหิว แจงกินข้าวก่อน” 

พี่ปราณีก็งงว่าแจงเอาข้าวที่ไหนมากิน กระทั่งเดินไปเห็นแจงกำลังหยิบยากันยุงมานั่งกินเป็นกล่องๆ พี่ปราณีเห็นยังงั้นก็ร้องกรี๊ดออกมาด้วยความตกใจ รีบเข้าไปลวงคอแจงให้คายออกมา แจงก็พูดว่า “อร่อยแม่อร่อย” พี่ปราณีทำอะไรไม่ถูกรีบเอาน้ำกรอกปากเพื่อให้แจงอ้วกออกมา  แล้วก็วิ่งออกไปตามคนข้างบ้านให้มาช่วยแจง 

พอกลับมาแจงก็น้ำลายฟูมปาก ชักไปแล้ว พี่ปราณีกรีดร้อง วิ่งเข้าวิ่งออกไปขอความช่วยเหลือจากบ้านนู้นบ้านนี้ แต่มันเป็นเรื่องที่แปลกมาก เพราะบ้านแต่ละบ้านมองแกเฉยๆ ไม่มีใครยื่นมือมาช่วยเหลือแกเลย แถมยังตะโกนบอกแกว่าให้ไปแจ้งความสิ

พี่ปราณีรีบแบกแจงวิ่งไปแถวนั้นจนเจอ รปภ คนหนึ่งที่ดูแลโรงงาน รปภ.คนนั้นเขาก็โทรแจ้งเจ้าหน้าที่มูลนิธิให้ช่วย 

สรุปแล้วแจงไม่รอด…. เนื่องจากใช้เวลานานเกินไป แทนที่จะพาลูกกลับบ้านด้วยกัน กลายเป็นต้องจ้างรถมูลนิธิที่ให้ไปส่งศพลูกสาวที่บ้านปทน แม่ก็เพิ่งจะเสีย (ผมก็เลยถามไปว่าพี่แม่พี่เพิ่งเสียทำไมพี่ไม่กลับไปตอนนั้นเลย) พี่ปราณีบอกว่าเวลานั้นสมองคิดอะไรไม่ออก มันหดหู่ไปหมด ถ้าใครมาถามว่า 1 + 1 ได้เท่าไหร่ พี่ปราณียังตอบไม่ได้เลย

พี่ปราณีนำศพแจงมาตั้งคู่กับศพแม่แก และทำพิธีเผาพร้อมกัน เวลาที่อยู่ที่บ้าน พี่ปราณีเริ่มรู้สึกแปลกๆ ว่าทำไมร้อนถึงขนาดต้องแก้ผ้าแก้ผ่อนทั้งตัว จนน้องสาวพี่ปราณีเข้ามาด่าว่าทำไมทำทุเรศอะไรอย่างนี้จะแก้ผ้านอนแบบนี้ได้ยังไง 

พี่ปราณีตอนนี้เหมือนคนที่จิตวิปลาสไปแล้ว ตอนนั้นเป็นช่วงเดือนเมษายน พี่ปราณีเอาผ้าห่มมาคุมตัวแล้วนั่งผิงไฟ ส่วนช่วงหน้าหนาว คนอื่นเขานั่งผิงไปกัน แต่แกกลับเดินแก้ผ้า

จนกระทั่งเวลาผ่านไป 1 ปี ทุกคนมองว่าพี่ปราณีวิปลาสไปแล้ว นี่คือจุดเริ่มต้นแห่งความเจ็บปวด ที่ผ่านมายังไม่เจ็บปวดเท่าสิ่งที่ปราณีจะเล่าต่อจากนี้ (ผมก็ถามว่าพี่ปราณี ขนาดนี้พี่ยังไม่เจ็บปวดอีกหรอ) 

พี่ปราณีบอกว่า แค่นั้นยังน้อยเพราะสิ่งที่เจอหลังจากนั้น คือพี่ปราณีเป็นคนวิปลาส กล้ามเนื้ออ่อนแรง กินอะไรก็ไม่ได้ จนตอนนี้พี่ปราณีไม่สามารถที่จะเดินไปไหนมาไหนเองได้ ทำได้เพียงนอนติดเตียงอยู่กับที่ ทุกๆ วันพี่ปรารีจะได้ยินเสียงคนพูดอยู่ในหูให้พี่ฟังว่า “เป็นยังไงล่ะ กูไม่ให้มึงตายหรอก ให้มึงอยู่อย่างนี้แหละดีแล้ว” 

ทุกๆวันพี่ปรารีจะรู้สึกเหมือนมีคนนับพันมองมาที่แก มีอยู่ครั้งหนึ่งตอนที่เริ่มป่วยพี่ปราณีกวาดเศษดินลงไปในรูเล็กๆตามร่องไม้ของพื้นบ้านพร้อมกับเอาน้ำล้างลงไปในรู แต่ว่าน้ำมันไม่ยอมไหลลงไป พี่ปราณีก็เลยเอาอะไรไปแหย่รู

พอแหย่ลงไปก็รู้สึกว่ามีอะไรตันอยู่ในรู แกก้มลงมองดูปรากฏว่าเห็นตาคนอยู่ในรูนั้นมองแกกลับมา ไม่ว่าพี่ปราณีจะไปไปทางไหนก็จะรู้สึกเหมือนมีลูกกะตา มองเขาอยู่ตลอด และเสียงเข้ามาในหัวว่า”เป็นยังไง เป็นยังไง กูไม่ให้มึงตายหรอก” พี่ปราณีจึงพูดกลับกับสิ่งนั้นไปว่า “กูยอมแล้ว ให้กูตายเถอะ” 

“กูไม่ให้มึงตาย มึงต้องอยู่ มึงต้องเป็นอย่างนี้ มึงเป็นคนตอแหล มึงเป็นคนโกหก”

พี่ปราณีก็เลยถามว่า “แล้วจะให้กูทำยังไง”

“มึงก็รับสารภาพสิ มึงยอมรับสิว่ามึงทำอะไรลงไป มึงก็รับสารภาพสิ” 

หลังจากนั้นพี่ปราณีก็เลยตัดสินใจเล่าความจริงให้ใครหลายๆคนฟังว่า ในงานกฐินครั้งนั้นแกได้เงินมาประมาณสองแสนแปด แต่แกเอาเงินให้กับทางวัดแค่แปดหมื่นบาท ส่วนอีกสองแสนที่เหลือแกเอาไปใช้ส่วนตัว โดยที่แกเองเออเองว่า เป็นค่าเหนื่อยเป็นธุระจัดการให้ที่วัด 

หลังจากที่สารภาพความจริงพี่ปราณีก็ได้ถูกชาวบ้านขับไล่ออกจากหมู่บ้าน ปัจจุบันนี้พี่ปราณีออกจากหมู่บ้านมาเช่าบ้านหลังเล็กๆ อยู่ โดยมีพี่น้องคอยแวะเวียนกันไปดูแลบ้างบางครั้ง บางครั้งพี่ปราณีทั้งฉี่และอึเละเทะเป็นอาทิตย์โดยที่ไม่มีใครมาดู บางครั้งก็ไม่ได้กินข้าวเลย 4-5 วัน แต่ก็ไม่ตาย

ในทุกๆ คืนพี่ปราณีมักจะได้ยินเสียงคนมาด่า มาอำ มากดหน้าอกให้หายใจไม่ออก ตามผิวหนังของพี่ปรารีเหมือนมีเข็มที่ลนด้วยไฟร้อนๆ มาทิ่มแทงอยู่ตลอดเวลา แต่ในทุกครั้งที่แกรับสารภาพโดยการเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้คนอื่นฟังว่าแกเคยทำอะไรมา สิ่งเหล่านั้นก็เริ่มเบาบางลง 

พี่ปราณีทำแบบนี้เพื่อเป็นการไถ่โทษสิ่งที่แกได้ทำลงไป แต่สิ่งที่แกต้องการมากที่สุดในเวลานี้ก็คือความตาย…มากกว่าการที่ต้องทนอยู่ต่อไปแบบนี้ และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นทั้งหมด 

ขอขอบคุณเรื่องเล่าจากช่องพาเที่ยว เลี้ยวไปหลอน เรื่อง คำสารภาพ พี่หนึ่งอ หมอ

ทความ Rewrite ห้ามคัดลอก หรือนำไปเล่าลง Youtube หรือ พอดแคสต์

Previous articleมันต้องเป็นคนยังไง รสนิยมของเพื่อนโครตประหลาดพิศดาร! พร้อมกับจุดจบแบบพิศดาร!
Next articleเชือกผูกคอตาย โบราณว่า ของสิ่งนี้สามารถเอามาทำพิธีขอหวยได้