“กิมกัง” วัชระ ๔ ทิศ สุดยอดเครื่องราง

กิมกัง

“กิมกัง” เครื่องรางอาถรรพ์ชนิดหนึ่ง เชื่อว่าหลายคนยังไม่รู้จักว่ากิมกังคืออะไร เชิญรู้จักผ่านเรื่องราวสยองขวัญเรื่องนี้ไปพร้อม ๆ กันดีกว่า และเรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ เป็นประสบการณ์ที่เกิดกับขึ้นตัวของครูตรี..ครูตีเล่าว่า 

เหตุการณ์นี้ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว ตอนนั้นครูตรีรับสอนพิเศษวาดรูปตามบ้าน คือวาดรูป ซึ่งจะสอนในช่วงเย็นของแต่ละวัน คือช่วงเวลา 16:30 น ถึง 18:30 น 

มีบ้านอยู่หลังนึงที่ครูตรีได้สอนมา 5 ปีแล้ว ซึ่งจะไปสอนในทุกวันอังคารและพฤหัสบดี ในวันอังคารของวันหนึ่ง ครูตีก็เดินทางไปสอนบ้านหลังนี้ตามปกติ อาม่าของเด็กถามผมว่า ช่วงนี้ครูตรีต้องเดินทางไปที่ไหนไกลไหม  ครูตรีก็ตอบว่า อ๋อมีครับ เดี๋ยววันอาทิตย์นี้ผมจะต้องเดินทางไปทำค่าย ที่ต่างจังหวัดครับ

อาม่าเงียบไปแป๊บนึงแล้วเอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋า หยิบของสิ่งหนึ่งขึ้นมา แล้วยื่นสิ่งนั้นให้ครูตรี ลักษณะเหมือนลูกตุ้มดัมเบล 2 อันไขว้กัน เป็นกากบาท ครูตรีก็ถามว่ามันคืออะไรครับอาม่า? 

อาม่าบอกว่าสิ่งนี้เรียกว่ากิมกัง ซึ่งตอนนั้นครูตรียังไม่รู้หรอกว่ากิมกังคืออะไร แต่ในเมื่อผู้ใหญ่ท่านให้ครูตรีจึงรับไว้

อาม่าบอกต่อว่า “ครู ครูนำไปแขวนไว้ในรถนะ กิมกังจะได้ช่วยคุ้มครอง” 

หลังจากครูตรีสอนนักเรียนจะเสร็จก็เดินกลับไปที่รถ แล้วนำสร้อยกิมกังไปแขวนไว้ที่กระจกหน้ารถ แล้วขับรถกลับบ้าน

วันต่อมา วันพุธ ตกเย็นผมก็ไปสอนที่บ้านนักเรียนอีกทีนึงตามปกติ พอวันพฤหัสก็กลับมาสอนที่บ้านอาม่าเหมือนเดิม พอเจอหน้ากัน คำแรกที่อาม่าถามครูตรีคือ “ครู ครูได้แขวนกิมกังไว้ที่รถหรือยัง” ครูตรีก็บอกว่า “ผมแขวนไว้ที่รถเรียบร้อยแล้วครับ” อาม่าก็บอกว่า “ดีๆ เขาจะได้คุ้มครอง” แล้วคำแรกก็ขอบคุณอาม่า วันนี้ก็จบไปอีกวันนึง 

วันศุกร์ครูตรีเข้าไปสอนอีกที่นึง สอนเสร็จก็ขับรถไปประชุม เพื่อเตรียมงานออกค่ายที่จะมีขึ้นในวันอาทิตย์ที่จะถึงนี้กันต่อเลย ซึ่งปกติแล้วเวลาจะออกค่ายจะต้องมีการนัดประชุมกันล่วงหน้ากันทุกวันศุกร์ วันเสาร์เตรียมงาน วันอาทิตย์ออกค่าย 

ครูตรีก็ขับรถไปถึงที่นัดหมายประมาณ 21:30 น มาถึงก็มีการคุยงานกัน ซึ่งในการคุยงาน  แต่ละฝ่ายก็เตรียมงานของตัวเองมาคุยกันในที่ประชุม มีการโต้เถียงเพื่อให้งานออกมาดีที่สุด 

แต่ปรากฏว่า ในคืนวันนั้น การประชุมผ่านไปด้วยดี ไม่มีอะไรเลยที่ติดขัด ทำให้เรารู้สึกว่า เฮ้ยมันเป็นไปด้วยดีเลยอ่ะ ทำให้คืนนั้นจบการประชุมไปเพียงแค่เที่ยงคืนนิดๆ ซึ่งปกติแล้วการประชุมมันจะเสร็จประมาณ 01:00 น 02:00 น ทำให้ต้องนอนค้างกันที่นั่นเลย 

ครูตรีก็เลยคิดว่า วันนี้เลิกประชุมเที่ยงคืน ขับรถกลับถึงบ้านก็น่าจะประมาณ 01:00 น 02:00 น ก็เลยตัดสินใจว่า งั้นขับรถกลับบ้านดีกว่า 

ครูตรีก็บอกกับทีมงานว่า ผมจะขับรถกลับบ้านนะ ทางทีมงานก็บอกรับทราบ จนมีน้องผู้หญิงคนหนึ่งบอกว่าขอกลับบ้านด้วยได้ไหม เพราะตัวน้องเขาเองไม่ได้เอารถมา ครูตรีก็บอกว่า โอเค ได้ไม่มีปัญหา 

เส้นทางที่ใช้กลับนั้นเป็นถนน 3 เลน ซ้ายขวามืดตลอดทางไม่มีแสงไฟส่องสว่างเลย ครูตรีขับอยู่เลนกลาง และด้วยความที่สองข้างทางค่อนข้างมืด จะเปิดไฟสูงเพื่อให้มองเห็นข้างหน้าชัดเจน 

ครูตรีขับออกมาค่อนข้างไวพอสมควร แล้วจู่ ๆ แสงจากไฟหน้ารถก็สาดไปเห็นบางสิ่งอยู่ตรงหน้า มันมีห่อผ้าห่อนึง ขนาดใหญ่เกือบเท่าตัวคนอยู่กลางถนน สิ่งแรกที่ครูตรีคิดเลยคือจะต้องเบี่ยงรถหลบไปทางซ้าย 

ครูตรีมองกระจกข้างเรียบร้อย กำลังจะโยกพวงมาลัยไป จู่ๆก็ได้ยินเสียงคำว่า อย่า! เข้ามาในหัว มือทั้งสองข้างที่กำลังจะบิดพวงมาลัยก็เลยชงัก ปรากฏว่ามีรถพ่วงคันนึงสวนขึ้นมาพอดี รถพ่วงคันนี้วิ่งไวมาก 

จังหวะนั้นถ้าครูตรีหักพวงมาลัยไปทางซ้าย คงชนกับรถพ่วงไปแล้ว และเกิดอุบัติเหตุหนักแน่นอน 

ผ่านตรงนั้นมาอีกนิดเดียวจะถึงหอผ้านั้นแล้ว ครูตรีเลยตัดสินใจว่าจะเหยียบห่อผ้านั้นไปเลย เพราะถ้าหักรถหลบตอนนี้มันคงไม่ทันแน่ ๆ 

ปรากฏว่าพอล้อรถเหยียบผ่านห่อผ้านั้นไป ถ้าเป็นวัตถุทั่วไปรถคงจะกระเด้งไปแล้ว แต่กลับกลายเป็นว่ารถวิ่งไปเรียบๆเหมือนไม่ได้เหยียบอะไรเลย จนครูตรีรู้สึกว่า “เฮ้ย!! หรือว่าผมจะตาฝาดไป” ครูตรีก็เลยถามน้องที่นั่งมาด้วยกันว่า “เมื่อตะกี้เห็นอะไรอยู่กลางถนนไหม” 

แต่คำตอบที่ได้จากน้องเค้าคือ ไม่เห็น!! แล้วน้องเขาก็ถามว่า “อย่าบอกนะว่า พี่เห็นอะไร” ด้วยความที่ครูตรีกลัวว่าน้องค้าาจะกลัว ก็เลยบอกไปว่า ป่าว ๆ ไม่เห็นอะไร แค่ถามดูเฉย

ครูตรีมองกระจกข้างด้านซ้ายอีกที ปรากฏว่าห่อผ้าที่อยู่กลางถนนนั้นหายไปแล้ว ลองเปลี่ยนไปมองที่กระจกขวา ก็ยังไม่เห็นอะไร จนกระทั่งครูตรีมองไปที่กระจกมองหลัง คราวนี้เห็นผ้าผืนหนึ่ง ชายของผ้ามุมนึงมันปลิวไสวไปมาอยู่ที่ด้านหลังรถ แสดงว่าผ้าพื้นนั้นมันติดมากับรถของครูตรี 

ด้วยความกลัว ครูตรีพยายามตั้งสติ แล้วเงยหน้าขึ้นไปมองกระจกมองหลังใหม่อีกครั้ง คราวนี้ผ้ามันไม่เหมือนเดิม จากที่มันเป็นแค่ชายผ้าชายเดียว คราวนี้มันเพิ่มมาอีกมุมนึง มันกระพือไปมาที่กระโปรงหลังรถ เหมือนว่าผ้าผืนกันกำลังขึ้นมาบนรถ 

สิ่งที่ครูตรีทำตอนนั้นคือ ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในรถว่า ตอนนี้ผมไม่ไหวแล้วนะ ถ้ามีอะไรขอให้ช่วยผมด้วย ช่วยให้พ้นจากเหตุการณ์นี้ไป หลังจากผมพูดเสร็จ ครูตรีก็หันไปมองกระจกมองหลังอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้ผ้าผืนนั้นได้หายไปแล้ว ครูตรีก็คิดว่าสถานการณ์ทุกอย่างมันน่าจะไม่มีอะไรแล้ว จึงขับรถไปส่งน้องเค้าที่หมู่บ้าน 

ต้องขออธิบายหมู่บ้านของน้องผู้หญิงก่อน พอครูตรีขับรถเข้ามาในหมู่บ้าน ซ้ายมือจะเป็นกำแพงสูงของหมู่บ้าน ถัดจากกำแพงจะเป็นหมู่บ้านจัดสรรขนาดใหญ่ ขวามือจะเป็นป่ามีต้นหญ้าขึ้นรก ดังนั้นสองโซนนี้ค่อนข้างจะต่างกัน 

ครูตรีได้ขับรถเข้าไปส่งน้องผู้หญิงจนถึงบ้านเรียบร้อย แล้วก็ขับรถกลับออกมา ซึ่งขากลับออกมาเนี่ย จะสลับกัน  ซ้ายมือจะเป็นป่า และขวามือจะกลายเป็นหมู่บ้านจัดสรร อยู่ๆเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เป็นสายของน้องผู้หญิงโทรเข้ามา ครูตรีก็เลยรับโทรศัพท์ น้องเค้าโทรมาบอกว่า 

“พี่ พี่ถึงตรงไหนแล้ว” 

“กำลังจะออกพ้นหมู่บ้านแล้ว”

“พี่ๆ พี่จอดรอหนูก่อนได้ไหม พอดีหนูลืมเอกสารไว้ในรถ แล้วหนูต้องใช้เอกสารนี้พรุ่งนี้เช้าด้วย”

“โอเคงั้นเดี๋ยวพี่หาที่จอดก่อนนะ  เราก็รีบออกมาเอาละกัน” 

หลังวางสายน้องผู้หญิงครูตรีก็เลยมองหาที่จอด และจุดเดียวที่สังเกตเห็นว่ามันน่าจะเหมาะก็คือ ด้านซ้ายมือที่มีต้นไม้ใหญ่อยู่ต้นนึงและมีหลอดไฟสีส้ม ๆ แขวนเอาไว้อยู่ใต้ต้นไม้ เพราะครูตรีคิดว่าจะนำรถเข้าไปจอดใต้ต้นไม้ต้นนั้น เพราะอย่างน้อยมีไฟสีส้ม เมื่อน้องผ่านมาจะได้เห็นว่ารถจอดรออยู่ตรงนี้ 

ระหว่างที่จอดรถรอน้องอยู่นั้น ครูตรีก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมานั่งเล่นอะไรไปเรื่อย สักพักหนึ่งได้ยินเสียง กี้ กี้ กี้ กี้ ดังมาจากทางด้านซ้ายมือ ในใจก็สงสัยว่ามันคือเสียงอะไร จึงปิดมือถือและเครื่องเสียงในรถเพื่อพยายามฟังเสียงนั่น เท่ากับว่าในรถของครูตรีตอนนี้เงียบกริบ มืดสนิท แสงสว่างเดียวที่ยังเหลืออยู่คือแสงไฟสีส้มที่ส่องมาจากหลอดไฟใต้ต้นไม้ต้นนั้น 

ครูตรีพยายามมองไปรอบรถว่าเสียงนั้นคือเสียงของอะไร มองที่กระจกซ้าย ไล่มาเรื่อยๆ เสียงนั้นก็เริ่มชัดขึ้น ชัดขึ้น และเริ่มส่งเสียงร้องเร็วมากขึ้น กี้ๆๆๆ กี้ๆๆๆ ตามมาด้วยเสียงบางสิ่งกำลังขย่มกิ่งไม้อย่างรุนแรง 

ครูตรีพยายามมองไล่จากกระจกด้านซ้าย ไล่ยังกระจกหน้ารถ จนมาถึงกระจกด้านขวามือ สิ่งที่มองเห็นคือ ด้านนอกรถมีคุณยายท่าน กำลังจ้องมองมาข้างในรถ ด้วยสายตาที่โกรธแค้นมากๆ ตอนนั้นมีเพียงกระจกบานเดียวที่กั้นระหว่างครูตรีกับคุณยาย 

ด้วยความกลัว ครูตรีจึงอธิษฐานขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในรถช่วยตนอีกครั้ง และเหมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านรับรู้ คุณยายที่อยู่ด้านนอกค่อย ๆ เดินหันหน้ากลับไปทางด้านหลังรถผมของครูตรี

ในจังหวะเดียวกัน ไม่นานก็มีมอเตอร์ไซค์ของน้องผู้หญิงขับผ่านเข้ามา ครูตรีมองจนแน่ใจว่าเป็นน้องเค้าจริงๆ จึงลดกระจกลง แล้วถามน้องเขาคำแรกเลยว่ะ เมื่อตะกี้นี้ขี่มอเตอร์ไซค์มา ได้เจอใครบ้างไหม 

น้องผู้หญิงก็ทำหน้างงเล็กน้อยและถามครูตรีว่า “อย่าบอกนะว่าพี่เจออะไรอีกแล้ว” ครูตรีก็เลยบอกว่าเปล่าไม่ได้เจอ พี่เป็นห่วงไงก็เลยถามดู” เพราะคิดว่าถ้าพูดความจริงไปน้องเค้าอาจจะกลัว จนไม่กล้าขี่รถมอเตอร์ไซค์กลับบ้านคนเดียว

พอน้องเค้าบอกว่า ไม่เห็นใคร ก็ชัดเจนแล้วว่า ไอ้สิ่งที่ครูตรีเห็นนั้นมันไม่ใช่คน!! 

หลังจากครูตรียื่นเอกสารให้น้องผู้หญิงเสร็จ ก็นัดหมายกับน้องเค้าว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้ 10:00 น จะมาเอาเอกสารชุดนี้ แล้วก็แยกย้ายกันขับรถกลับบ้าน 

รุ่งเช้าเวลา 10:00 น ครูตรีก็ขับรถมาจอดรอน้องผู้หญิง ตรงฝั่งที่เป็นกำแพงฝั่งเดียวกับหมู่บ้านจัดสรร ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับต้นไม้ต้นนั้นพอดี 

ระหว่างที่กำลังจอดรถรออยู่ สักพักนึงครูตรีได้ยินคนมาเคาะกระจกฝั่งคนขับ แต่ด้วยความที่ไม่รู้จักว่าเขาคือใคร  ครูตรีก็เลยค่อยๆลดกระจกลงเล็กน้อย และถามว่า “พี่มีอะไรหรือเปล่าครับ” 

ผู้ชายคนที่มาเคาะกระจกกลับถามครูตรีว่า “ใช่น้องคนที่มาจอดรถใต้ต้นไม้เมื่อคืนไหมครับ” ครูตรีก็เลยบอกไปว่า “ใช่ครับพี่ ผมเอง มีอะไรหรือเปล่าครับ” 

พี่ผู้ชายเขาก็บอกว่า “น้องรู้ไหม ว่าเมื่อคืนน้องทำพวกพี่ไม่ได้นอนเลย” ครูตรีก็ยิ่งงงว่าตนไปทำอะไรให้  ทำไมพี่เขาถึงต้องมาเคาะกระจกรถตน และบอกว่าไม่ได้นอนเลย 

แล้วพี่เขาก็บอกกับครูตรีว่า น้องว่างไหม มาดูอะไรนี่!! 

ใจหนึ่งก็กลัวแต่ใจนึงก็อยากรู้ แต่อีกใจก็คิดว่านี่มันคือกลางวันแสกๆคงไม่มีอะไร ครูตรีก็เลยตัดสินใจดับรถแล้วเดินตามพี่เขาไป 

พี่เขาไปชี้ให้ดูที่ต้นไม้ต้นที่ครูตรีไปจอดเมื่อคืน ปรากฏว่าด้านหลังต้นไม้นั้นมีศาลขนาดเล็กวางอยู่ที่พื้น  มีน้ำแดงและเครื่องเซ่นใส่กระทงไว้อยู่  

พี่เขาอธิบายว่า บริเวณนี้ เริ่มแรกตอนที่สร้างหมู่บ้านจัดสรร มีคนเจอผีเจอดวงวิญญาณเยอะมาก จนเขาต้องเอาศาลมาตั้งไว้ตรงนี้ หลังจากนั้นก็มีคนมาทำพิธีเชิญดวงวิญญาณต่างๆให้มาสถิตอยู่ที่ศาลนี้ 

แล้วเมื่อคืนในรถของน้องน่าจะมีเครื่องรางของขลังอะไรอยู่ พอน้องเอารถมาจอดตรงนี้ มันเลยปิดทางทำให้พวกเขาเข้าที่ของเขาไม่ได้ เขาก็เลยออกอาละวาด พวกพี่ที่อยู่ในเพิงพักก่อสร้างด้านใน ยังได้ยินเสียงเลย พอพวกพี่เดินออกมาเพื่อมาฟังว่ามันคือเสียงอะไร ก็เห็นว่ารถน้องจอดอยู่ตรงต้นไม้ต้นนั้นและขับออกไปพอดี

พอมาวันนี้พวกพี่กำลังทำงานอยู่ แล้วเห็นรถน้องมาจอดอีก ก็เลยเข้ามาถามว่าใช่รถของน้องไหม 

ครูตรีก็เลยบอกพี่เขาไปว่า “ผมขอโทษจริงๆผมไม่รู้ ขอโทษที่ทำให้พวกพี่เดือดร้อน” พร้อมกับยกมือไหว้ไปที่ศาลนั้น แล้วพูดออกไปว่า “ขอโทษที่ผมเป็นต้นเหตุที่ทำให้เมื่อคืนนี้พวกคุณเข้าไปในที่ของพวกคุณไม่ได้” 

และเรื่องวันนั้นก็จบลง ครูตรีรับเอกสารจากน้องผู้หญิงแล้วเดินทางไปที่ค่าย ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี จนกระทั่งวันจันทร์ ครูตรีเดินทางไปสอนนักเรียนอีกทีนึง พอถึงวันอังคารก็ไปสอนที่บ้านอาม่าเช่นเคย พออาม่าเจอหน้าครูตรี อาท่าก็ถามว่า “เป็นยังไงบ้างครู”

ครูตรีก็เล่าทุกอย่างที่เจอมา ไม่ว่าจะเป็นขับรถแล้วเจอห่อผ้าอยู่กลางถนน หรือจะเป็นเสียงแปลกๆที่ยินจากข้างทาง เจอคนแก่มาจ้องมองที่ข้างรถ คือเล่าทุกอย่างให้อาม่าฟัง 

อาม่านิ่งเงียบไปประมาณ 10 วิ แต่เป็น 10 วินาทีที่ผมรู้สึกอึดอัดมาก เพราะไม่รู้ว่าอาม่าเค้ากำลังคิดอะไรอยู่ สักพักหนึ่งอาม่าก็ตอบกลับมาว่า “ไม่เป็นไรแล้วนะครู กิมกังเขารับแทนครูไปแล้ว” ผมก็ยิ่งงงว่ารับแทนไปแล้วคืออะไร ซึ่งอาม่าก็ยังไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มเติม 

จนกระทั่งครูตรีสอนเสร็จ ก็กลับไปดูที่รถ ปรากฏว่ากิมกัง 4 แฉกที่อาม่าให้มา ตอนนี้มันเหลือ 3 แฉก หายไป 1 แฉก โดยที่ไม่ทราบสาเหตุ หากจะบอกว่ามันแกว่งไปกระทบกับกระจกหรือไปโดนอะไรมันก็เป็นไปไม่ได้ เพราะว่าสร้อยที่แขวนอยู่นั่นมันสั้นมาก 

วันรุ่งขึ้นครูตรีจุงเดินทางไปที่ร้านคาร์แคร์ ให้ทางร้านล้างรถแล้วบอกเขาว่า ถ้าน้องเจอชิ้นส่วนแบบนี้ตกอยู่ในรถช่วยเก็บมาให้พี่หน่อย เดี๋ยวพี่จะมีเงินพิเศษให้ น้องเขาก็รื้อเต็มที่เลยแต่ปรากฏว่าไม่เจอ ไม่เจออะไรเลย 

วันพฤหัสบดีครูตรีไปเจออาม่า จึงบอกกับอาม่าว่า “เมื่อวานนี้ผมไปล้างรถนะครับ แล้วผมก็ให้เด็กล้างรถหา แต่ก็ไม่เจอชิ้นส่วนที่หายไป” 

อาม่าท่านยิ้มแล้วบอกว่า “คุณครูหาไม่เจอหรอก เพราะว่ากิมกังเขารับทุกอย่างแทนครูไปแล้ว เขาก็เลยหายไป…และนี่ก็คือประสบการณ์ที่ครูตรีเจอมา… ซึ่งทุกวันนี้ครูตรีก็ยังพกกิมกังสามง่าไว้ในรถอยู่ 

เรื่องราวของคุณตรีก็จบไปแล้ว ที่นี้เราทำความรู้จักที่มาของกิมกังกันบ้างดีกว่า กิมกังเครื่องรางจากเทพสู่มนุษย์ หรือที่คนไทยเรียกกันว่าวัชระ คืออาวุธของพระอินทร์ ในความเชื่อคือพระอินทร์จะใช้วัชระเรียกสายฟ้า เพื่อขจัดสิ่งชั่วร้าย เพื่อปัดเป่า สิ่งไม่ดี เพื่อขจัดภูตผีปีศาจที่มาทำร้ายมนุษย์ เป็นความเชื่อที่สืบทอดกันมาจากทางทิเบต เข้ามาสู่ประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 

ความเชื่อนี้มีทั้งพม่า เวียดนาม ไทย จีน เชื่อว่าจะช่วยทำให้ผู้ที่ครอบครอง จะไม่มีสิ่งไม่ดีมาเข้าใกล้ และจะมีแต่เรื่องดีๆเข้ามา 

ขอขอบคุณเรื่องเล่าจาก คุณเนตร ธนัชพงศ์ ช่องพาเที่ยว เลี้ยวไปหลอน เรื่อง กิมกัง สุดยอดเครื่องราง

บทความ Rewrite ห้ามคัดลอก หรือนำไปเล่าลง Youtube หรือ พอดแคสต์

Previous articleพระบวชใหม่ ท่านเชื่อว่าผีมีจริงไหม ถ้าไม่ลองท่องมนต์บทนี้ดู
Next articleทางผ่านวัด ใครบนยอดไม้ และใครที่วิ่งตัดหน้ารถผม