พระบวชใหม่ ท่านเชื่อว่าผีมีจริงไหม ถ้าไม่ลองท่องมนต์บทนี้ดู

พระบวชใหม่

เรื่องนี้คุณภูมิได้ส่งเรื่องเล่ามาในรายการพาเที่ยวเลี้ยวไปหลอนของคุณเนตร เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสมัยที่คุณภูมิบวชเป็นพระอยู่ที่วัดป่าแห่งหนึ่ง เหตุกาณ์ในครั้งนั้นทำให้คุณภูมิจำได้ไม่มีวันลืม มาจนถึงทุกวันนี้ เรื่องมีอยู่ว่า… 

ย้อนกลับไปเมื่อ 19 ปีก่อน ตอนนั้นคุณภูมิอายุประมาณ 23 ปี ใช้ชีวิตทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯ เมื่ออายุครบบวช จนเกินเวลามาหลายปี คุณพ่อคุณแม่จึงบอกกับคุณภูมิว่าให้ต้องบวชได้แล้ว คุณภูมิที่ไม่ได้ติดขัดอะไร จึงตกลงและเดินทางกลับมาที่บ้านเกิดจังหวัดพิษณุโลก เพื่อบวชทดแทนบุญคุณพ่อแม่ 

แต่ทางคุณพ่อคุณแม่ของคุณภูมิมีพระอาจารย์ที่นับถือกันอยู่รูปหนึ่ง แต่วัดของพระอาจารย์รูปนี้เป็นวัดป่า อยู่ห่างออกไปจากตัวอำเภอไปประมาณ 30 กิโลเมตร 

แรกเริ่มเดิมทีพระอาจารย์รูปนี้เคยมาจำวัตรอยู่ที่วัดแถวบ้านของคุณภูมิ แล้วย้ายไปอยู่ที่วัดป่าแห่งนี้ในภายหลัง 

หลังจากที่เตรียมงานอะไรเสร็จเรียบร้อย ก่อนถึงวันบวชทางพ่อแม่ก็ได้พาคุณภูมิไปอยู่กับพระอาจารย์ที่วัดป่าแห่งนี้ก่อน ซึ่งตัวคุณภูมิเองก็เคยได้พูดคุยกับพระอาจารย์ท่านนี้ตั้งแต่สมัยที่ตนยังเป็นเด็ก สมัยที่พระอาจารย์ยังอยู่ที่วัดแถวบ้าน จึงคุ้นเคยกับท่านเป็นอย่างดี 

ด้วยความที่เป็นวัดป่า จึงไม่ได้เจริญอะไรมากมาย สิ่งอำนวยความสะดวกไม่ค่อยมี ไฟฟ้ายังเข้าไม่ถึง หากค่ำมืดจะต้องจุดตะเกียงเท่านั้น  

ภายในวัดป่าแห่งนี้จะมีกุฏิอยู่ประมาณ 6-7 หลัง แต่ละหลังทำจากไม้ไผ่ หลังคามุงด้วยหญ้าแฝก ไม่ได้ใหญ่โตมาก เหมือนกระต๊อบ ปลูกห่างกันประมาณ 10 เมตร และห่างจากตัววัดพอสมควร เพราะด้วยความที่เป็นวัดป่า พระอาจารย์ท่านจึงต้องการให้พระทุกรูปอยู่อย่างสันโดษและสมถะมากที่สุด

หลังจากที่คุณภูมิได้มาอยู่วัดกับพระอาจารย์ 3 วัน พอถึงวันบวช พระอาจารย์ท่านได้บอกกับคุณภูมิว่า “ตอนนี้ที่วัดมีพระอยู่ 6 รูป กุฏิมีอยู่ทั้งหมด 7 หลัง จะเหลือกุฏิหลังเดียวที่โยมภูมิสามารถเข้าพักได้ คือกฏิหลังสุดท้ายที่อยู่ไกลสุด” ซึงคุณภูมิก็เข้าใจดี จึงตกลงตามนั้น หลังจากบวชเสร็จคุณภูมิก็ไปจำวัตรอยู่ที่กุฏิหลังนี้

ก่อนที่จะไปอยู่ที่กุฏิหลังนี้ พระอาจารย์ท่านได้บอกกับคุณภูมิว่า “ท่านทำจิตใจให้สงบนะ หมั่นทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น ตามที่พระอาจารย์ได้สั่งสอนไว้” ซึ่งคุณภูมิก็เข้าใจดี 

พอคุณภูมิเข้าไปในกุฏิ ดูจากสภาพเหมือนว่าจะไม่มีพระอยู่มาเป็นเวลานานมากแล้ว เพราะมันค่อนข้างผุพังและทรุดโทรมเอามาก ๆ ซึ่งต่างจากอีก 6 กุฏิที่เหลือที่มีการซ่อมแซมและทะนุบำรุงอย่างดี  แต่คุณภูมิก็ไม่ได้ติดใจอะไรมาก เพราะการบวชครั้งนี้จะบวชแค่ 9 วันเท่านั้น 

คืนแรกของการเข้าจำวัตรในกุฏิ ปรากฏว่าขณะที่กำลังจำวัตรอยู่ คุณภูมิได้ยินเสียงเหมือนคนมาเคาะประตูกุฏิ ก็เข้าใจว่าคงเป็นพระลูกวัดมาเรียก แต่พอคุณภูมิถือตะเกียงเปิดประตูออกไป ปรากฏว่าเป็นหลวงตารูปหนึ่งที่มีรอยสักเต็มตัว มายืนยิ้มให้แล้วถามว่า 

“ท่าน มาบวชใหม่หรอ” 

“ครับหลวงตา ผมพึ่งมาบวชใหม่ ถ้ามีอะไรที่หลวงตาพอจะชี้แนะได้บอกได้เลยนะครับ ผมยินดี” พร้อมกับยกมือไหว้

“ปฏิบัติตัวให้ดีนะ อยู่ในศีลในธรรม สุขุม และอย่าพูดจาเสียงดัง” พูดจบหลวงตาท่านก็เดินลงไปจากกุฏิหายไปในความมืด 

การมาของหลวงตารูปนี้ทำให้คุณภูมิรู้สึกอุ่นใจขึ้นมา เพราะคิดว่า สงสัยพระอาจารย์จะบอกให้หลวงตาท่านนี้มาเป็นพระพี่เลี้ยงละมั้ง 

รุ่งเช้าวันต่อมาคุณภูมิก็ออกไปปฏิบัติกิจของสงฆ์ตามปกติ จนมาถึงช่วงเย็น หลังจากทำวัตรเสร็จ กลับเข้ามาจำวัตรที่กุฏิเหมือนเดิม จนเวลาประมาณ 2 ทุ่ม คุณภูมิก็ได้ยินเสียงเคาะประตูกุฏิอีกครั้ง พอเปิดประตูออกมาดู ก็พบว่าเป็นหลวงตารูปเดิมมายืนอยู่ด้านหน้ากุฏิ และถามว่า

“เป็นไง วันนี้นอนหลับสบายไหม” 

“หลับสบายดีครับหลวงตา หลวงตาเข้ามาในกุฏิก่อนก็ได้นะ ผมก็อยากคุยกับหลวงตาเหมือนกัน” 

“ยินดี เดี๋ยวจะเข้าไป” 

พอหลวงตาเข้ามาในกุฏิ ท่านก็นั่งลงแล้วเปิดหนังสือมนต์พิธี สอนให้คุณภูมิสวดบทนั้นบทนี้ คุณภูมิก็ฟังหลวงตาท่านด้วยความเคารพยำเกรง 

หลวงตาบอกให้คุณภูมิสวดมนต์เหล่านี้ให้ถูกต้อง ให้จำให้ขึ้นใจ เพราะว่าเราบวชน้อยวัน เราก็ต้องปฏิบัติให้เข้มข้นมากๆ กว่าพระรูปอื่น

หลวงตาสอนสวดมนต์ไปเรื่อย ๆ จนดึกดื่น อยู่ดี ๆ หลวงตาท่านก็เอ่ยขึ้นมาคำหนึ่งว่า 

“ท่านกลัวผีไหม??”

“ผมไม่กลัวหรอกครับ เพราะว่าผมไม่เคยเห็น ก็เลยไม่รู้สึกกลัว” 

“เออ ไม่กลัวก็ดีแล้ว งั้นหลวงพี่ช่วยไปหยิบสมุดเล่มนึง ที่วางอยู่ใต้หนังสือมนต์พิธี ตรงโต๊ะหมู่บูชา หน่อยสิ”

คุณภูมิก็ไปหยิบสมุดเล่มนั้นมา ปรากฏว่ามันเป็นสมุดที่มีสภาพเก่ามาก มีคราบเหลืองเต็มไปหมด จนแทบจะเปิดไม่ได้ ดูจากหน้าปก บ่งบอกว่าสมุดเล่มนี้ถูกเขียนด้วยดินสอ 

หลวงตาบอกว่า ในสมุดเล่มนี้เป็นบทสวดนอกตำรา มีบทแผ่ส่วนกุศล เป็นแบบฉบับที่แตกต่างไปจากหลังสือสวดมนต์ทั่วไป หลวงตาเคยใช้แล้ว มันใช้ดีมากเลย 

คุณภูมิก็เลยลองเปิดอ่านไปทีละหน้า ทีละหน้า จนมาถึงหน้าสุดท้าย ซึ่งเขียนว่า มนต์เรียกผี คุณภูมิก็ตกใจถามหลวงตาว่า “หลวงตา บทสวดแบบนี้มันมีด้วยหรือ แล้วมันเรียกได้จริงหรอ” 

หลวงตาก็เลยบอกว่า “เรียกได้จริงสิท่าน ถ้าเรียกไม่ได้เขาจะเขียนไว้ทำไม ท่านไม่เชื่อหรอ อ่อ..ท่านไม่กลัวผีนี่ ลองดูไหมล่ะ”

แต่คุณภูมิก็ยังไม่เชื่อหรอกว่ามันจะเรียกได้จริง จนเกิดการเถียงกันนิดหน่อย 

หลวงตาท่านจึงบอกว่า มนต์บทนี้ไม่ได้ยาวมาก หากท่านไม่เชื่อ งั้นท่านก็ลองท่องดูแล้วกัน ตั้งจิตให้แน่วแน่ แล้วสวดมนต์บทนี้ให้ครบ 9 จบ 

ด้วยความไม่เชื่อ คุณภูมิก็เลยลองท่องมนต์เรียกผีบทนี้ไปเรื่อยๆจนครบ 9 บท ส่วนหลวงตาก็หลับตานั่งสมาธิอยู่ 

เชื่อไหม!! ทันทีที่คุณภูมิท่องมนต์บทนี้ครบ 9 จบ จู่ ๆ มีเสียงเท้าของคนหลายคนกำลังเดินเหยียบย้ำบนใบไม้แห้ง ดังมาจากด้านนอกกุฏิ 

สักพักเสียงเท้านั้นก็ค่อยๆเดินขึ้นบันไดที่ทำจากไม้ไผ่ ดังเอี๊ยดอ๊าด เดินขึ้นมาเรื่อย ๆ จนมาหยุดอยู่ตรงหน้าประตูกุฏิ แล้วหลวงตาท่านก็บอกว่า 

“หลวงพี่ลองเปิดประตูออกไปดูสิ พวกเขามากันแล้ว” 

“ใครมาครับหลวงตา” 

“อ่าว ก็ท่านเรียกใครล่ะ เขาก็มากันแล้วไง อย่าลืมแผ่ส่วนบุญส่วนกุศล จากบทแผ่ส่วนกุศลที่อยู่หน้าแรกของสมุด ให้พวกเขาด้วยล่ะ”  คำพูดของหลวงตาทำให้คุณภูมิรู้สึกกลัวขึ้นมา 

สักพักก็มีเสียงหวีดร้อง เป็นเสียงที่แหลมเล็กมากๆ ดังจากด้านนอกกุฏิ ฟังแล้วปวดประสาทชะมัด 

คุณภูมิก็สงสัยว่าเสียงนั้นมันคือเสียงของอะไร เลยกะว่าจะชะโง้กหน้าออกไปดูทางหน้าต่าง แต่ยังไม่ทันจะได้ลุกขึ้น ปรากฏว่ามันมีใบหน้าที่ใหญ่โต ดวงตาเบิกโพลง มองผ่านหน้าต่างกุฏิมา 

คุณภูมิเห็นก็ตกใจ หลวงตาท่านก็เลยบอกว่า อย่าตกใจ ให้นั่งสมาธิแล้วตั้งใจแผ่ส่วนบุญกุศลให้เขา เดี๋ยวเขาก็จะไปเอง 

คุณภูมิจึงทำตามที่หลวงตาท่านบอก ขัดตะหมาดหลับตานั่งสมาธิ แผ่ส่วนบุญกุศล ซึ่งหลวงตาท่านจะเป็นคนสวดนำ แล้วก็ให้คุณภูมิสวดตาม 

พอสวดจนจบบท  ปรากฏว่าพอคุณภูมิลืมตาขึ้นมา ภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้า ทำเอาคุณภูมิแแทบช็อก เมื่อสภาพของหลวงตาที่นั่งอยู่แปลเปลี่ยนไป ลิ้นจุกปาก ใบหน้าเขียวช้ำไปหมด คอหักเอียงลงมา 

คุณภูมิก็ตกใจ ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตนเองเห็น จึงเอามือขยี้ตาดูให้แน่ชัด แล้วก็ลืมตามองหลวงตาอีกครั้ง แต่ก็ยังเห็นเป็นภาพที่น่ากลัวเหมือนเดิม 

คุณภูมิจึงหันหน้าหลบไปทางหน้าต่าง ปรากฏว่าเจอร่างดำๆสูงใหญ่ตนเดิม ยืนแบมือเหมือนขอส่วนบุญอยู่  

พอหันไปทางขวาตรงประตูทางออก ก็เห็นชายร่างกำยำยืนอยู่ 3-4 คน นั่งคลุกเข่าแบมือขอส่วนบุญอยู่เช่นกัน วินาทีนั้นคุณภูมิกลัวสุดขีด ร้องเสียงดังลั่นกุฏิ ช่วยด้วย ๆ ผีหลอก แล้วก็สลบไปเลย 

พอพระที่อยู่กุฏิอื่นได้ยินเสียงคุณภูมิร้องก็ตกใจ พากันวิ่งถือตะเกียงไปตามพระอาจารย์ให้มาช่วยดูคุณภูมิ เมื่อพระอาจารย์และพระลูกวัดทั้งหมดมาถึงก็เห็นว่าภูมินั้นนอนสลบอยู่ภายในกุฏิ จึงช่วยกันประคองไปที่กุฏิของพระอาจารย์ 

พอมาถึงกุฏิ พระอาจารย์ท่านก็นำน้ำมนต์มาพรมให้คุณภูมิ ลูบหน้าล้างตา นำสายสิญจน์มาผูกข้อมือ พร้อมกับท่องอะไรสักอย่าง เพื่อเรียกขวัญให้กลับมา 

สักพักคุณภูมิก็ฟื้นขึ้นมา พอเห็นพระอาจารย์ก็ตกใจ เข้าไปเกาะขาท่านแล้วบอกว่า “ผีหลอก ผีหลอกในกุฏิ ผมเห็นพระรูปหนึ่งใบหน้าเขียวคล้ำ ลิ้นจุกปาก คอหัก พอหันไปทางหน้าต่าง ก็เห็นผีอะไรไม่รู้ตัวใหญ่ๆ ยืนแบมืออยู่ พอเปิดประตูทางออก ก็เจอผีอีก 3 ต้นนั่งแบมืออยู่อีก ผมกลัวมากๆเลย

พระอาจารย์ท่านก็บอกว่า “ท่านสงบสติอารมณ์นะ อย่ากลัว อย่าอะไร อีกพักนึงก็จะเช้าแล้ว เดี๋ยวอาตมาจะพาเข้าไปในโบสถ์นะ” 

ช่วงเช้าหลังจากพระทั้งหมดกลับจากบิณฑบาตเสร็จเรียบร้อย พระอาจารย์ท่านก็ได้พาคุณภูมิเข้าไปในโบสถ์ จนช่วงสาย ๆ สติของคุณภูมิเริ่มกลับมา พระอาจารย์ท่านก็เลยเล่าให้ฟังว่า 

“ก่อนหน้านี้ประมาณสัก 1 ปีที่แล้ว มีหลวงตารูปหนึ่งอาศัยอยู่ในกุฏิหลังนี้นี่แหละ ท่านเป็นพระที่ศึกษาเรื่องไสยศาสตร์มากจนเกินไป นั่งสมาธิทั้งวันทั้งคืน ฉันมื้อเดียว แล้วการที่ทำแบบนี้มันก็ทำให้ตัวเองถลำลึกเข้าไป จนเหมือนไปสวดมนต์อะไรสักอย่างก็ไม่รู้ ทำให้เจอสิ่งที่มองไม่เห็นมารุมล้อม จนตัวเองทนไม่ไหว ไปผูกคอตายอยู่ในกุฏิหลังนั้น” 

คุณภูมิก็เลยบอกว่า “โอ้โหพระอาจารย์ แล้วทำไมถึงให้ผมไปอยู่ในกุฏิหลังนั้นล่ะ!! พระอาจารย์ท่านก็บอกว่า อาตมาก็มีเหตุผลอยู่นะ เพราะว่าการบวชเป็นพระใหม่มันต้องแยกกุฏิกัน อีกอย่างเรื่องนี้มันก็เกิดมาเป็นปีแล้ว กุฏิหลังนี้ก็ไม่ค่อยมีพระที่ไหนมาจำวัตรเลย เลยคิดว่ามันน่าจะไม่มีอะไร ก็ไม่คิดว่าจะมาเกิดขึ้นกับตัวพระ”  แล้วพระอาจารย์ก็ถามคุณภูมิต่อว่า 

“อยู่ดีๆพระก็เจอหรอ” 

คุณภูมิก็เลยพูดว่า “น่าจะเป็นหลวงตาท่านนั้นแหละที่มาสอนผมให้ท่องมนต์เรียกผี” พระอาจารย์ท่านก็เลยบอกว่า “อ๋อๆ เป็นเพราะเราไปท่องมนต์บทนี้นี่เอง มันจึงเกิดเรื่องขึ้น เอาอย่างนี้แล้วกัน เดี๋ยวพระอาจารย์จะนำสมุดทั้งหมดที่มีอยู่ มาเผาทำลายทิ้งให้หมดเลย เพื่อกันไม่ให้สิ่งเหล่านี้มันเกิดขึ้นกับพระรูปอื่นอีก 

เพราะว่ามนต์บทนี้มันมีอยู่จริงๆ แต่ไม่รู้ว่าจะมีไว้เพื่ออะไร เราจะเรียกสิ่งพวกนี้มาทำไม เรียกเขามามันก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร 

หลังจากเหตุการณนี้ผ่านไป คุณภูมิก็ย้ายจากกุฏิหลังนั้นไปอยู่ที่กุฏิของพระอาจารย์แทน แต่นอนด้านนอก ส่วนพระอาจารย์นั้นนอนด้านใน 

และนี่ก็คือประสบการณ์หลอน ๆ ที่คุณภูมิไปพบเจอมา และจำไม่เคยลืมมาจนถึงทุกวันนี้เลย 

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่ากลัวนะ ไม่ว่ามนต์บทนี้จะมีอยู่จริงหรือไม่ จริงเท็จประการใด ขอให้ทุกคนฟังไว้เพื่อความบันเทิงและกัน ขอให้ทุกคนใช้ชีวิตอย่างมีสติ และขอให้มีความสุขกับการฟังเรื่องผีเรื่อง ๆ ต่อๆไปนะครับ

ขอขอบคุณเรื่องเล่าจาก ช่องพาเที่ยว เลี้ยวไปหลอน เรื่อง มนต์เรียกผี 

บทความ Rewrite ห้ามคัดลอก หรือนำไปเล่าลง Youtube หรือ พอดแคสต์

Previous articleศาลาเก่าริมทาง พวกมึงไปจอดรถกันที่ศาลาหน้าโรงเรียนใช่ไหม?
Next article“กิมกัง” วัชระ ๔ ทิศ สุดยอดเครื่องราง