กฏในการนั่งรอรถที่ศาลาข้างทางยามค่ำคืน ตอนจบ

กฏการรอรถที่ศาลาข้างทางจบ

“เฮ้ยหนุ่ม! มานั่งอะไรตรงนี้?”

เสียงจากชายวัยกลางคนท่าทางเป็นมิตรเอ่ยถามขึ้น ในขณะที่ผมมองขนาดของรถและกระจกที่เปิดอยู่ของที่นั่งคนขับ

“ดึกดื่นป่านนี้รอใครอยู่รึไง”

ผมได้เจอกับสิ่งที่เขียนไว้จริงๆด้วย และต้องรับมือกับมันเร็วกว่าที่คิด

“กฏในการนั่งรอที่ศาลารอรถยามค่ำคืน ตอนที่สอง”

ผมคิดทบทวนในกฏต่างๆที่เพิ่งอ่านไปเมื่อเย็นและเคยคิดว่าเป็นเรื่องไร้สาระ แต่จากเหตุการณ์ที่ผ่านมาทั้งหมด มันช่างทำใจได้ยากเย็นเหลือเกินที่จะต้องยอมรับว่า นี่อาจไม่ใช่เรื่องล้อเล่นอีกต่อไปแล้วจริงๆ ก็ได้…

รถสองแถวคันเล็ก คนขับรถที่ดูเหมือนกับชายวัยกลางคนธรรมดา ชะโงกหน้าออกมาพลางกวาดสายตามองไปรอบๆ

“ถ้าหลงทางกลับบ้านไม่ถูกล่ะก็ขึ้นมาเลยพ่อหนุ่ม เดี๋ยวพาไปส่งปากซอย ตอนนี้มันสามทุ่ม แถวนี้ไม่มีรถคันไหนวิ่งผ่านมาแล้ว ลุงกำลังจะกลับพอดี”

เป็นอย่างที่กฏที่เขียนไว้บอก มันเป็นเรื่องจริงเหรอเนี่ย แต่ผมช่างเป็นคนที่โชคร้ายอะไรอย่างนี้ ที่รถคันที่ผมเฝ้ารอให้ผ่านมาตอนสามทุ่ม กลับไม่ใช่รถโดยสารคันใหญ่ที่จะพาผมออกไปจากที่นี่ได้ แต่กลับเป็นรถคันเล็กที่ผม ต้องไม่ขึ้นไป เป็นอันขาด

ผมส่ายหน้าเบาๆเป็นการปฏิเสธ พยายามทำให้ดูมีมารยาทแม้ผมจะเริ่มกลัวเขาแล้วก็ตาม

“ไม่คิดตังค์หรอกน่า”

บทสนทนาที่รู้อยู่แล้วยังดำเนินต่อไป ผมส่ายหน้าปฏิเสธอีกครั้ง พร้อมกับพูดว่าไม่เป็นไรครับ คนขับรถจ้องหน้าผมอยู่นาน สีหน้าดูจริงจังและดูจะไม่ชอบที่ผมปฏิเสธเขาเลย

“แล้วหนุ่มนั่งรอจะไปไหน?” 

เขาถามจริงๆด้วย ความจริงตามกฏผมจะต้องถามสวนกลับไปทันควันว่าเขาจะไปที่ไหน แต่ผมก็มัวคิดในใจอยู่นี่ไง ให้ตายเหอะการโกหกคนนี่มันก็ไม่ง่ายนะเวลาที่ต้องจำอะไรเยอะๆ

“เอ่อ แล้วลุงจะไปทางไหนเหรอครับ?”

เขาชี้มือ “โน่น ขับกลับบ้าน ระหว่างทางจะผ่านถนนเลี่ยงเมือง ตรงนั้นมีรถเมล์กับแท็กซี่ผ่าน ดีกว่ามานั่งแหงกอยู่ตรงนี้เยอะ”

“ผมไม่ได้จะไปทางนั้นครับ ไม่เป็นไรๆ”

เขาจ้องผมอีกครั้ง หลังจากนั้นก็จับพวงมาลัยแล้วถอนหายใจเล็กน้อย

“แล้วหนุ่มจะนั่งอยู่ตรงนี้อีกนานไหม?”

“ไม่นานครับ” ผมพูดแล้วนั่งลงอย่างสงบและไม่มองเขาอีก แกล้งหยิบอะไรมาดูเล่น

ผมเริ่มตามทันแล้ว จากทีแรกที่ต้องใช้ความคิดอยู่นานในการตอบแต่ละคำ ความจริงถ้าตั้งสมาธิดีๆ กฎนี้ไม่ได้ยากเย็นเลย เสียอย่างเดียวคือผมโชคร้ายที่รถคันใหญ่ไม่มา

ลุงคนที่ว่ายังจ้องผมอยู่อีกสักพัก เมื่อเห็นว่าผมไม่เปลี่ยนใจแล้วจึงออกรถไป ผมถอนหายใจแล้วคิดทบทวนอีกครั้ง ว่าก่อนหน้านี้มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง…

เมื่อตอนหัวค่ำ หลังจากที่อ่านกฏแปลกๆบนกระดาษที่อยู่ริมเสาแล้ว ทีแรกผมก็คิดว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระที่คงมีเด็กมือบอนสักคนมาทำไว้เพื่อแกล้งคนอยู่หรอก แล้วก็คิดว่าจะเดินกลับบ้าน แต่แสงไฟที่ถนนมันดันดับลงจนเหลือแค่สามดวงจริงๆ นี่สิ

ตอนหนึ่งทุ่ม ไฟข้างซ้ายและขวาดับจริงๆ จากนั้นก็มีเสียงวิทยุ อาจจะเป็นเรื่องปกติสำหรับบ้านนอก แต่มันก็ฟังไม่รู้เรื่องจริงๆ

แล้วราวๆสองทุ่ม ก็ดันมีเงาคนปรากฏออกมาจริงๆ เงาจะซ่อนอยู่ตามหลังพุ่มไม้ หลังต้นไม้และโผล่ไปมาตามจุดต่างๆ ถ้านี่คือการแกล้งกันล่ะก็มันเป็นอะไรที่น่าขนลุกมาก แต่ผมยังพอจำกฏง่ายๆนี้ได้ ถ้าเจอสิ่งนี้ อย่าไปสนใจ ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม มันจะชื่นชอบที่ผมกลัว ดังนั้นผมจะนั่งจ้องมันอยู่เรื่อยๆอย่างนี้แหละ …การจ้องอะไรน่าขนลุกแบบนี้ทำให้ผมรู้สึกเหนื่อย

เหตุการณ์ต่อมาที่เกิดขึ้นคือ ถ้าไฟทั้งสามดวงคือด้านซ้าย ขวา และเหนือศาลาดับลง ทุกอย่างจะตกอยู่ในความมืด ยิ่งทำให้ผมระแวงไปกันใหญ่ เพราะเรื่องในแผ่นกระดาษนั้นเกิดขึ้นจริงอีกแล้ว ผมรีบไปนอนตรงที่นั่งด้านข้างที่ไม่ติดกับป่า แต่ผมกลับนอนคว่ำซะได้ เออ ช่างเหอะ ผมไม่กล้าพลิกตัวกลางคันแล้ว

แม้จะนอนคว่ำผมก็ยังพอเห็นแสงที่ข้ามหัวผมไปได้ มันสอดส่ายไปมาเหมือนกับกำลังค้นหาสิ่งที่นั่งอยู่  ตัวผมนี่แหละ แต่ตอนนี้ผมนอนนิ่งตามกฏแล้ว คงไม่เป็นไรนะ

แสงเหล่านั้นหายไปพร้อมกับไฟถนนที่ค่อยๆติดขึ้นอีกครั้ง ผมพักสายตาเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเป็นเวลาเท่าไหร่ ก่อนที่จะได้ยินเสียงรถวิ่งมาตามถนน

…กลับมาที่ตอนนี้ รถสองแถวคันเล็กลับสายตาไปแล้ว ผมถอนหายใจยาว ผมเริ่มเข้าใจว่าตัวเองอยู่ในสถานการณ์ตามกฏนี้จริงๆแล้ว แล้วหยิบสิ่งนั้นในกระเป๋าออกมา กระดาษกฏ…

ความจริงท้ายกฏกระดาษนี้บอกว่าให้ขยำมันโยนทิ้งไป แต่ผมยังไม่ได้ทิ้งมัน ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน แต่คงเพราะว่าผมไม่ใช่คนความจำดีนัก ก็เลยลังเลที่จะทิ้งและยังเก็บมันไว้อยู่ตอนนี้

ไหนๆก็ยังไม่ได้ทิ้งแล้ว ผมก็คงต้องหยิบมันมาอ่านอีกรอบเพื่อทบทวนกฏต่างๆอีกครั้ง จริงๆถ้าอ่านดีๆแล้วมันก็ไม่ยากเท่าไหร่ในครึ่งแรก เรื่องที่น่ากลัวจริงๆจะเกิดขึ้นหลังเที่ยงคืน ผมพยายามย่อยวิธีการรับมือต่างๆให้จำง่าย จะได้ไม่ต้องตอบโต้ช้าแบบเมื่อกี้อีก ขณะที่กำลังคิดว่าจะขยำกระดาษทิ้งเลยดีไหม ก็มีสิ่งหนึ่งเคลื่อนมาตามถนน

…หญิงชราสองคน…ใช่แล้ว เธอกำลังเคลื่อนที่มาตามถนนช้าๆ มือหนึ่งถือตะเกียง อีกมือหนึ่งเข็นรถที่มีถุงอยู่เต็ม ท่าทางหนัก ผมจะไม่สงสัยหรอกว่าอะไรอยู่ในนั้น แกล้งทำเป็นมองไม่เห็นดีกว่า

“อ้าว พ่อหนุ่ม ทำอะไรอยู่จ๊ะ”

ผมตกใจจนสะดุ้ง ผมอุตส่าห์ทำเป็นไม่สนใจแล้วแท้ๆ

“ค…แค่นั่งเล่นดูดาวเฉยๆ ครับ” บ้าเอ๊ย ไม่ใช่คำตอบที่เข้าท่าเลย ที่นี่มองไม่เห็นดาวสักดวง แม้กระทั่งพระจันทร์ยังไม่มี ทีนี้เธอก็หันมาคุยกับผมทั้งคู่เต็มรูปแบบ ไม่รู้ว่าเพราะตกใจด้วยรึเปล่าแต่ผมก็คิดว่ารอยยิ้มของพวกเธอดูน่าขนลุกนิดๆ

“รอใครอยู่ล่ะหือ”

“หน้าตาไม่ใช่คนแถวนี้ หลงทางรึไงจ๊ะ”

ผมรับมือไม่ถูก และไม่รู้จะตอบยังไง ก็มันไม่มีในสคริปต์นี่นา

เธอสองคนพูดซุบซิบกันเบาๆ ก่อนจะเอ่ยออกมาว่า

“ยายเข็นรถไม่ไหว เหนื่อยเหลือเกิน พ่อหนุ่มพอจะมีแรงช่วยหน่อยได้มั้ย”

“นะ.. ช่วยยายหน่อย ท่าทางแข็งแรง” อีกคนกล่าวเสริม

ดูยังไงก็เสแสร้งชัดๆ ยังกับว่าถ้าผมไม่มานั่งอยู่ตรงนี้ เธอสองคนจะเข็นไปถึงบ้านไม่ได้ยังงั้นแหละ

เธอยืนเซ้าซี้แล้วทำท่าเจ็บหลังเจ็บไหล่อยู่สักพัก พลางมองมาทางผมตลอดเวลา แต่ผมจำกฏได้ การไปช่วยเธอสองคนเข็นรถ ตามกฏแล้วจะไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น ผมจึงอาสาจะช่วยเข็นไปแค่ตรงเสาไฟฟ้าหน้าเท่านั้น พวกเธอขอบอกขอบใจผมเป็นการใหญ่

“ไปพักบ้านยายก่อนสิ” คุณยายคนที่ดูแก่กว่า หน้าตาใจดีเอ่ยขึ้น

“มานั่งตรงนี้ดึกๆ ดื่นๆ คนเดียว มันอันตรายนะหนุ่ม”

“ใช่ๆ บ้านยายมีห้องว่าง ไปพักสักคืนไม่ต้องเกรงใจหรอกพ่อหนุ่ม”

ผมปฏิเสธไปหลายครั้ง พวกเธอก็ยังเซ้าซี้ จนผมต้องเดินผละออกมา แต่เธอก็ยังฉุดแขนผมไว้

ผมตกใจเล็กน้อย ด้วยเรี่ยวแรงไม่มีทางจะเข็นรถไม่ไหว แรงฉุดนั้นทำให้ผมแทบจะเซ ผมจำต้องหันหลังกลับไปตามแรงดึง แทนที่จะปล่อยให้ตัวเองล้ม

“อย่าเพิ่งไป ยายมีของจะให้” เธอให้ของกินมาหนึ่งชิ้น ดูเหมือนจะเป็นขนม ผมพยายามขอบคุณอย่างมีมารยาทที่สุด โดยที่พวกเธอเองก็ยังคงตื๊อจนวินาทีสุดท้ายเช่นกัน ผมจึงเดินกลับไปยังศาลา และหันกลับไปมองพวกเธอเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะลับหายไปในความมืด 

ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่า ตอนที่ประสานตากับพวกเธอเข้า พวกเธอก็หันมาเหลือบมองผมเหมือนกัน แต่สายตากลับดูว่างเปล่า ราวกับสิ่งไม่มีชีวิต

ผมกลับมานั่งที่ศาลา รอดมาได้อีกครั้งหนึ่ง…

ตอนนี้ผมผ่านมาแล้วหกข้อ…ผมแกะห่อขนมที่ได้มาเป็นของตอบแทนดู น้ำลายผมแทบไหล มันน่ากินเหลือเกินสำหรับผมที่ยังไม่ได้มือเย็นลงท้อง ให้ตายเหอะ ถ้าเปิดมาเป็นของบูดเน่าก็จะตัดสินใจง่ายกว่านี้นิดนึงนะ แต่สุดท้าย ผมเลือกจะไม่ยอมผิดกฏ ยิ่งนึกถึงหน้ายายสองคนที่น่าขนลุกนั่นอีกที ผมก็ผูกห่อขนมนั้นแล้วโยนทิ้งเข้าป่าไป

ตอนนี้นาฬิกาโทรศัพท์บอกว่าเป็นเวลาห้าทุ่ม แบตเตอรี่เหลือไม่ถึงครึ่ง ผมจึงพยายามเซฟไว้ให้มากที่สุด เปิดขึ้นมาเฉพาะตอนดูนาฬิกากับตอนที่จำเป็นต้องใช้ส่องเป็นไฟฉายก็พอ

เมื่อถึงข้อ7 ไฟถนนตรงเหนือศาลาดับลง แต่ด้านซ้ายขวายังส่องสว่างอยู่ ข้อนี้ไม่ยากเลยสำหรับผม ก็แค่เดินไปยืนใต้แสงไฟจนกว่าไฟที่ศาลาจะติดอีกครั้ง จะยากก็แค่ตอนที่ยืนใต้แสงโล่งๆมันทำให้ระแวงรอบๆ ผมแทบจะยืนหมุนตัวเลยทีเดียว ก็ไม่ผิดซะทีเดียวนะที่เขาบอกว่าศาลานี้เป็นมิตรที่สุดในค่ำคืนนี้

เอาล่ะ เที่ยงคืน..

ผมมองนาฬิกา ปิดจอมือถือแล้วถอนหายใจเบาๆ แต่สูดหายใจแรงกว่าให้ลึกเต็มปอด ไม่ว่าใครมาเห็นตอนนี้ก็รู้ว่าผมกำลังตื่นเต้น ช่วงเวลาหลังจากนี้คงจะยากมากๆ ยิ่งอ่านกฏทบทวนไปแล้วก็จะยิ่งนึกภาพน่ากลัวต่างๆนาๆขึ้นมาได้ แต่ตอนนี้สมาธิสำคัญที่สุดสำหรับการผ่านคืนนี้ไป

ข้อที่แปดมาแล้ว กระดาษกฏใบใหม่ปรากฏขึ้นต่อหน้าผม มันโผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ กว่าจะรู้ก็เหลือบไปเห็นมันอยู่บนเสาแล้ว ผมยอมรับว่าเห็นแล้วตระหนกกับมัน ทั้งๆที่จริงๆแล้วมันทำอะไรผมไม่ได้ และการรับมือก็ง่ายๆเหมือนเดิมคือการวางเฉยเท่านั้นเอง

กระดาษแผ่นนั้นดูเก่ามากและเปื้อนโคลนจริงๆ มีตัวหนังสือยุบยิบที่ไม่ยาวเท่ากับกฏใบแรกที่เคยอ่าน

พอนึกถึงกฏใบแรก มันก็ยังอยู่ในกระเป๋าผม ผมยังไม่ได้ขยำมันทิ้งไป แอบกังวลกับสิ่งที่ตัวเองทำอยู่เหมือนกัน

..แม้จะพยายามไม่มอง แต่ผมก็ยังเหลือบไปมองกฏใบที่สองที่อยู่บนเสาอยู่ดี ดูท่าทางมีแรงดึงดูดเชื้อเชิญให้อ่าน

“มันจะดีกว่าถ้าคุณไม่อ่านมันเลย” กฏใบแรกเขียนไว้แบบนั้น แต่ถ้าอ่านไปแล้วก็อาจจะไม่เป็นอะไร

ในที่สุดความอยากรู้อยากเห็นก็ชนะความกลัว รู้ตัวอีกทีผมก็เอาไฟมือถือมาส่องดูกฏใบที่สองเสียแล้ว พร้อมกับในมือที่ยังถือกฏใบแรกอยู่ แล้วผมก็เริ่มอ่านมัน.. แค่บรรทัดแรกทำให้ผมต้องเบิกตาโพลง

[ พยายามอย่าใช้แสงสว่างจากอุปกรณ์พกพาในการอ่าน คุณต้องถนอมมันไว้ จงหยิบกระดาษแผ่นนี้ไปยืนอ่านใต้แสงไฟ ]

มันทำให้ผมแปลกใจมาก ผมรู้ว่านี่คือการโน้มน้าวของกระดาษกฏใบใหม่ แต่ผมก็ปิดไฟมือถือตามที่มันบอกจริงๆ ยังไงซะก็ต้องถนอมไว้อยู่แล้ว 

ผมเดินถือกฏทั้งสองใบออกไปยืนหน้าศาลา เพื่อให้แสงไฟสาดลงมาเห็นข้อความได้ชัดๆ ยังไงก็ไม่ได้ไปไกลนัก คงรับมือกับสถานการณ์ต่างๆได้ทัน

ผมปัดเศษโคลนออกจากกระดาษกฏใบที่สองอย่างระมัดระวัง มันเก่ามากและอาจเสียหายได้ จากนั้นก็เริ่มอ่านมัน

“เอาล่ะ ถ้าคุณเป็นคนโชคร้ายที่ต้องอยู่จนได้อ่านกฏใบนี้ เสียใจด้วย คุณพลาดการถูกช่วยเหลือในการออกไปที่นี่หลายต่อหลายครั้งแล้ว”

“ศาลานี้ไม่ใช่มิตรแท้ของคุณ”

ผมยอมรับว่ามันทำให้ผมสับสนได้ตั้งแต่เริ่มอ่านเลย ไม่ผิดอย่างที่บอกว่ากฏใบใหม่จะสร้างความสงสัยให้กับผม และพยายามบอกว่าศาลานี้คือสถานที่อันตราย

ขณะที่ผมกำลังเตรียมหยิบกฏทั้งสองใบมาเทียบกัน ไฟทุกดวงก็หรี่ลง

อะไรกัน…ยังไม่ถึงตีหนึ่งดีเลยนี่นา ผมกำลังเจอเข้ากับข้อที่ 9 !?

ผมรีบพับกระดาษแล้ววิ่งกลับเข้าไปตรงที่นั่งในศาลา ตอนนี้ต้องทำยังไงแล้วนะ!? การถูกเบี่ยงเบนความสนใจไปเมื่อกี้ ประกอบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้ผมลืมวิธีการที่ท่องจำไปบางส่วน

กระเป๋า! ผมพยายามควานหากระเป๋า โดยที่เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าต้องยกขาขึ้นจากพื้นด้วย ปัดโธ่เว้ย

เริ่มมีเสียงคืบคลานเข้ามาใกล้ๆ จากด้านล่าง มันไม่เหมือนกับเสียงแมลงหรือสัตว์กำลังวิ่ง แต่เสียงคล้ายอะไรกำลังคลานอยู่ และมีเสียงเปียกๆของน้ำหรือโคลน

เจอแล้ว!! ผมได้กระเป๋ามาไว้ในมือ พยายามกอดไว้แน่น ผมรู้สึกว่าทุกที่บนพื้นเต็มไปด้วยเสียงนั้นแล้ว  ถ้าช้าไปกว่านี้เพียงเสี้ยววินาที ผมเชื่อเลยว่าผมซวยแน่ๆ 

ที่ด้านขวา มีอะไรบางอย่างที่คล้ายมือยื่นเข้ามาตรงซอกที่นั่ง ผมกระเถิบหนีสุดชีวิต ทำให้เซเล็กน้อย มือข้างหนึ่งจำเป็นจะต้องเกาะผนังเก้าอี้ไว้เพราะเกือบตก ส่วนมืออีกข้างก็ต้องกอดกระเป๋าไว้

ตายแน่.. ผมคิด ถ้ามีมืออีกสักข้างหนึ่งโผล่มาด้านซ้าย ด้วยสภาพผมตอนนี้ คงไม่รอด โชคดีที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นมากกว่านั้น เสียงคืบคลานดังขึ้นกว่าเดิมจนแทบจะเหมือนถล่มศาลาได้ จากนั้นก็เงียบไปอย่างกะทันหัน

ผมนอนหอบกอดกระเป๋าอยู่บนเก้าอี้ แล้วไฟก็กลับมาติดอีกครั้ง รอดแล้ว..

หลังจากนอนแน่นิ่งไปสักพัก ผมก็กลับขึ้นมานั่งได้อีกครั้ง ครั้งต่อไปคือเวลาตีสาม ช่วงที่ยากที่สุดกำลังใกล้เข้ามา ผมต้องกลับมารวบรวมสมาธิใหม่อีกครั้ง

ผมตัดสินใจเดินออกไปหน้าศาลาอีกครั้ง คิดทบทวนเกี่ยวกับกฏ แล้วก็เอากฏใบแรกมาอ่านอีกครั้งหนึ่งเพื่อเทียบกับใบที่สอง ตามที่ตั้งใจไว้ก่อนหน้านี้ ผมกวาดสายตามองกฏใบที่สองแบบผ่านๆก่อน เรียกว่าอ่านยังไม่ได้ด้วยซ้ำ แล้วหันไปอ่านใบแรก สายตาผมเหลือบไปเห็นบางอย่างที่ทำให้ต้องขนลุก

กฏข้อที่10ในกฏใบแรกเปลี่ยนไป ตัวหนังสือก็เปลี่ยนสีไปด้วย

“10. เมื่อใกล้ถึงเวลาตีสามแล้ว คุณจะต้องเก็บข้าวของของคุณ แล้วโยนขึ้นไปในห้องใต้หลังคาศาลา มันจะช่องว่างหนึ่งช่อง และตรงคานจะถูกปิดทึบอยู่ จากนั้นก็ปีนขึ้นไปอยู่ในนั้น คุณจะปลอดภัย”

ใต้หลังคาเหรอ? ไม่ใช่เหนือหลังคา ผมไม่ใช่คนความจำดีแต่ไม่มีทางจำผิดแน่ๆ ว่าจะต้องปีนขึ้นไปบนหลังคาแล้วคลานหนีไปทางทิศตรงข้ามกับที่”มัน”ยืนอยู่

ผมอ่านกฏจากใบที่สองเทียบกัน ใบที่สองเขียนว่า “คุณจะต้องหาที่ซ่อนตัวที่อยู่ห่างจากศาลานี้ แต่อย่าไปไกลเกินกว่าจุดที่ยังสามารถมองกลับมาแล้วเห็นแสงไฟ เราขอแนะนำให้คุณเก็บข้าวของทุกอย่างและเข้าไปซ่อนตัวในป่า” กฏใบที่สองพยายามจะให้ผมออกจากศาลาอย่างที่ว่าจริงๆ

จากนั้นผมเดินไปมองดูใต้หลังคาของศาลา มันเป็นไม้ปิดทึบจริงๆด้วย แต่มีช่องว่างให้ปีนขึ้นไปได้อยู่ ถ้าขึ้นไปยืนบนที่นั่งแล้วคงปีนขึ้นไปได้

ผมมองแล้วก็ถอนหายใจ ผมไม่ค่อยแข็งแรงซะด้วยสิ ผมผูกกระเป๋าติดกับตัวแทนที่จะโยนขึ้นไปก่อน เพราะไม่แน่ใจว่าตัวเองจะปีนขึ้นไปไหวไหม

ตอนนี้ผมยืนโซเซอยู่บนพนักพิงที่นั่ง มือข้างหนึ่งจับเสาไว้ และมืออีกข้างเอื้อมไปเกาะคานเพดานตรงที่เป็นช่องว่างที่จะไต่ขึ้นไป

ไม่มั่นใจเลย…ผมเอาเท้าข้างหนึ่งเหยียบลงบนไม้ที่ยืนมาจากเสาเพื่อที่จะทำการปีนขึ้นไป หลังจากเหยียบๆให้รู้สึกว่ามั่นคงแล้ว ก็ยกขาอีกข้างตามขึ้นไป ขณะที่เท้าอีกข้างกำลังจะขึ้นไปปีนบนเสา มือที่เกาะเพดานไว้ของผม ก็อ่อนแรงลง

อา.. ไม่ไหวจริงๆด้วย 

พลั่กกกก!! ผมตกลงมาเสียงดังสนั่นแบบที่ถ้าพื้นศาลาพังลงไปจะไม่แปลกใจเลย ไม่มีเสียงร้องจากผม ไม่ใช่ว่าไม่เจ็บนะ มันจุกเลยล่ะ ผมได้แต่ทำหน้าเหยเกร้องไม่ออกนอนตัวงออยู่กับพื้น เรี่ยวแรงก็ไม่มี กินก็ไม่ได้กิน นอนก็ไม่ได้นอน จะเอาที่ไหนไปปีนขึ้นบนนั้นได้

ระหว่างที่กำลังจุก ผมใจลอยคิดไปเรื่อยเปื่อย มมรู้สึกสิ้นหวังกับตัวเอง บางทีผมอาจจะต้องตายอยู่ที่นี่ ผมที่ยังไม่มีแรงลุก นอนแหงนมองรอบๆศาลา มองใต้หลังคา มองหลังคา มองดูรอบๆ

ผมไม่ปีนต่อแล้ว ผมหยิบกระดาษกฏทั้งสองใบเดินออกมาที่ถนนอีกครั้งเพื่ออ่านมัน เพราะอะไรกฎข้อที่สิบถึงเปลี่ยนไป? แม้ว่ามันจะดูเป็นที่ซ่อนที่มิดชิดและปลอดภัยมากขึ้นก็เถอะ แต่ถ้าผมขยำมันแล้วโยนทิ้งไปก่อนหน้านี้ตามคำแนะนำ ผมก็จะพลาดโอกาสได้รู้ว่ามีที่ซ่อนดีๆอยู่น่ะสิ

ผมไม่ค่อยตระหนกกับการที่ข้อความมันเปลี่ยนไปมากเท่ากับความสงสัยในเรื่องนี้ อาจเพราะผมทำใจได้แล้วว่ากฎเหล่านี้คงไม่ใช่แค่กระดาษธรรมดาๆ แต่แรก

ไม่รู้ว่าใช้เวลาในการอ่านเท่าไหร่ แต่เหมือนความเจ็บจะทำให้ผมมีสมาธิขึ้นนิดหน่อย

หลังจากอ่านมันอีกผมมองกลับไปที่ศาลาอีกครั้ง แล้วเดินถือกระเป๋าและเก็บข้าวของทั้งหมดติดกับตัว ตรวจสอบทุกอย่างให้เรียบร้อย ผูกเชือกรองเท้าให้แน่น..แล้วเดินผ่านศาลา ไปที่ป่าด้านหลัง

ผมเดินผ่านหญ้ารกรุงรัง ผ่านปลักโคลน และเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้จุดที่ตัวเองคิดว่าปลอดภัยที่สุด แล้วนั่งมองมาที่ศาลา

ตีสามแล้ว.. แสงไฟทุกดวงรอบๆเปลี่ยนไปทีละน้อย จากสีขาว ไปเป็นสีเหลือง สีส้ม จนกระทั่งกลายเป็นสีแดงขมุกขมัว ราวกับรอบๆเต็มไปด้วยเลือด

มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา รถประจำทาง… มันทำให้หัวใจผมเต้นแรง ผมต้องจิกมือไว้กับพื้นเพื่อให้ตัวเองนิ่งๆไว้ ไม่ให้เซไปกระทบกับอะไรเข้าจนเกิดเสียงดัง

รถประจำทางนั้นบีบแตร ไม่ใช่สามครั้ง แต่มันเป็นการบีบแตรที่ยาวนานครั้งเดียว และตามที่กฏทั้งสองใบเขียนไว้เหมือนกัน สิ่งนั้นจะลงมาจากรถ.. มันรูปร่างเหมือนคน ท่าเดินผิดธรรมชาติ ใบหน้าของมันบิดเบี้ยว เหมือนกับรูปปั้นที่ล้มเหลว เหมือนกับแผ่นกระดาษที่ถูกขยำจนเละ หรือหน้าเค้กที่ถูกปาดไปมาจนไม่เหลือรูปร่างเดิม

ผมรู้ทันทีว่านั่นคือสิ่งที่อันตรายที่สุดในค่ำคืนนี้อย่างแน่นอน ความกลัวกับสิ่งที่เห็นตรงหน้ามันทำให้ผมลืมทุกอย่างทั้งความไม่สบายตัวจากโคลนเฉอะแฉะใต้จุดที่ผมนอนหมอบอยู่ ทั้งยอดหญ้าชื้นๆ ที่บาดผิวหนังให้เกิดอาการคันยุบยิบ 

ผมพยายามจะไม่หายใจแรงนัก มันเดินลงมาแล้ว และมันจะเดินไปรอบๆศา…มันเดินเข้าไปกลางศาลา! สิ่งที่มันควรจะทำคือมันต้องเดินหาไปรอบๆนี่นา แต่ตอนนี้ตัวของมันอยู่ในศาลา 

จากนั้น..สิ่งที่ผมได้เห็นคือ มันกำลังยืดหัวขึ้นไปในช่องว่างใต้หลังคา ช่องที่ผมพยายามปีนขึ้นไปนั่นแหละ หน้าของมันหมุนสะบัดขึ้นไป คอของมันก็เหมือนกับท่อสายยางที่ดิ้นไปมาตอนเปิดน้ำแรงๆ

ตอนนี้หัวของมันอยู่ในนั้น เสียงดังกลุกกลักสนั่นจนได้ยินชัด มองจากตรงนี้ จะเห็นแค่ลำตัวที่ยืนอยู่ของมัน กับคอที่สะบัดพราดๆอยู่เท่านั้น

ผมเอามืออุดปากตัวเอง ให้ตายเหอะ ถ้าผมอยู่ในนั้นล่ะก็..

มันหดคอลงมาแล้วก็ยืดขึ้นไปอีกครั้ง เพื่อมองหาบนหลังคา ซ้ำร้ายไปกว่านั้น มันเดินหาบนหลังคาทั่วทุกทิศอีกด้วย

ผมแทบน้ำตาไหลเมื่อคิดว่าตัวเองขึ้นไปอยู่บนนั้นแล้วต้องเจอกับอะไร มีจังหวะที่มันหันไปมาและหันมามองทางป่าด้วย แต่มันก็ได้แต่หันมองทั่วทุกทิศทางอย่างสะเปะสะปะ

ก่อนที่มันจะกลับขึ้นรถ มันหยิบอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋า มันคือกระดาษ.. ผมมองไม่เห็นว่าเป็นกระดาษอะไร มันเอากระดาษที่หยิบมา แปะลงบนเสาของศาลา..หลังจากนั้นมันก็กลับขึ้นรถไป

ผมใช้เวลาจนกว่าจะแน่ใจว่ารถลับสายตาไปไกลแล้ว ที่จริงคือขาแข็งจนลุกไม่ค่อยไหวมากกว่า แล้วเดินมาที่ศาลาเพื่อนยากอีกครั้งหนึ่ง จากนั้นผมก็หันไปมองกระดาษใบใหม่ที่เจ้าสิ่งนั้นมันแปะไว้ที่เสา มันคือกระดาษกฏ ที่เขียนแบบเดียวกับใบแรก

ผมสบถออกมา ไม่เคยเจ็บใจกับอะไรเท่านี้มาก่อน แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกโล่งใจด้วย ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมกฎใบที่สองถึงได้มีสภาพเก่าและเปื้อนโคลนแบบนั้น

เอาล่ะ ตอนนี้ผมรอดจากสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในชีวิตได้แล้ว ผมจะต้องเตรียมตัวสำหรับข้อสุดท้าย ผมขยำกฏใบแรกโยนทิ้งลงข้างทางไป แล้วนำกฏใบที่สองที่สภาพโทรมเต็มที่ แปะลงไปบนเสา

กฎข้อสุดท้าย [ อย่าทิ้งสิ่งใดก็ตามที่เป็นของคุณเอาไว้ที่ศาลา แม้แต่เส้นผมสักเส้นเดียวของคุณ ]

ผมเก็บของทุกอย่างไม่ให้เหลือแม้แต่อย่างเดียว] ผมมองเส้นทางซ้ายกับขวา พยายามสังเกตสิ่งแปลกปลอมที่เกิดขึ้น

[ ถ้าเส้นทางไหนมีความผิดปกติ หรือต่างจากเส้นทางที่เคยเห็น ให้ไปทางนั้น]

[ ถ้าคุณต้องการทิ้งสัมภาระทั้งหมดเพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการเดินทาง คุณสามารถทิ้งมันไปที่ไหนก็ได้ แต่ไม่ใช่ที่ศาลา ถ้าคุณไม่อยากกลับมาที่นี่อีก ]

ผมโยนข้าวของทั้งหมดทิ้งลงข้างทางให้ไกลที่สุด ติดตัวไปเพียงโทรศัพท์ที่แบตใกล้หมด แล้วก็ได้เห็นเส้นทางที่บิดเบี้ยวต่างออกไปจากเส้นทางปกติ จากนั้นก็ออกวิ่งสุดชีวิต

[ไม่ใช่ศาลาที่เป็นมิตรกับคุณ แสงไฟต่างหาก]

[ในเวลานี้คุณจะต้องออกจากที่นี่ให้ได้ จงออกเดินทางด้วยเท้าของคุณไปให้สุดกำลัง ก่อนที่แสงไฟทั้งหมดจะดับลง จงจำไว้ ที่นี่ไม่มีดวงอาทิตย์ ไฟทางที่กำลังริบหรี่ลงกับไฟจากอุปกรณ์ที่คุณมีอยู่คือแสงสว่างที่เหลือที่จะทำให้คุณรอดได้ หากแสงไฟหมดลงแล้วคุณยังไม่ได้ไปจากที่นี่ คุณจะไม่ได้ไปจากที่นี่อีกเลย]

ผมได้ยินเสียงกรีดร้องดังลั่น มันเหมือนดังมาจากข้างทาง แต่ระดับความดังของมันนั้นทำให้ระบุทิศทางได้ยาก จนเหมือนกับมันดังมาจากทุกทิศทาง

ผมพุ่งตัวไปข้างหน้าสุดแรง พร้อมกับรับรู้ถึงเสียงกระแทกดังสนั่นและแรงสั่นสะเทือนจากด้านหลัง ผมไม่เสียเวลาหันไปมองว่ามันคืออะไร ผมรู้แต่ถ้าตัวเองยังอยู่ตรงนั้นก็คงจบเห่ไปแล้วเรียบร้อย

..กฏใบแรกมันต้องการจะฆ่าผมกระทั่งนาทีสุดท้ายเลย

ผมวิ่งต่อไปสุดแรงเกิด ไม่แน่ใจว่าตัวเองวิ่งมานานแค่ไหนแล้ว ผมเริ่มหอบและหมดแรง แสงไฟข้างๆก็หรี่ลงและดับลง มีเสียงต่างๆรบกวนมากมาย เหมือนกับมันไม่ต้องการให้ผมไปไหน หรือมันคืบคลานอยู่ข้างหลังคอของผม

ผมควักมือถือที่แบตเตอรี่เหลือเพียงน้อยนิดออกมา เปิดไฟฉายแล้ววิ่งตรงไปเรื่อยๆ ยังไม่ถึงจุดหมายเสียที ผมคงเลือกเส้นทางผิด และมันก็สายเกินกว่าที่ผมจะย้อนไปอีกทางแล้ว แบตเตอรี่ขึ้นขีดแดง ผมมองไม่เห็นอะไรข้างหน้าอีกต่อไป 

ไฟจากโทรศัพท์กำลังจะดับลง ทันใดนั้น ผมที่กำลังหมดเรี่ยวแรงก็ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ มันบีบแตรดังลั่นตรงเข้ามาข้างหลังผม..

แสงไฟของทางเลี่ยงเมืองเปิดไว้อย่างสลัวๆ แม้จะยังไม่เช้าแต่ก็เริ่มมีรถวิ่งให้เห็นอยู่ตลอดทาง รถสองแถวคันหนึ่งจอดติดเครื่องอยู่ริมทาง กระจกถูกเปิดลงมา ชายแก่ที่นั่งอยู่ที่นั่งคนขับชะโงกหน้าออกมา

“ไม่ต้องจ่ายตังค์หรอกไอ้หนุ่ม”

ผมยื่นแบงค์ให้เขา แต่เขาไม่รับ ผมจึงหย่อนมันลงไปในรถ

“อ้าวหลุดมือ เอาไปเลยครับลุง” ผมยิ้ม

ลุงคนขับสองแถวก็หัวเราะร่วน หยิบเงินที่หล่นลงไปบนเบาะเข้ากระเป๋า

“ถ้าวันหลังมาอีกก็ขึ้นรถลุงนะ อย่าลืม”

แต่ผมส่ายหน้าแล้วโบกมือลา

ดูเหมือนผมจะใช้โชคที่มีอยู่ทั้งชีวิตไปหมดแล้วในคืนนี้ แสงของรถสองแถวที่เข้ามาก่อนที่ผมจะไม่เหลือสติคือรถของลุงคนขับสองแถวที่ผมเคยปฏิเสธไปตอนสามทุ่ม

ไม่ว่าลุงแกจะเป็นตัวอะไรห่มหนังมนุษย์อยู่ก็ไม่รู้ล่ะ แต่อย่างน้อยผมก็มีแสงไฟต่อชีวิตให้อีกนิด ก่อนที่จะออกมาจากที่นั่นได้

ผมกังวลอยู่อย่างเดียว กระดาษกฏใบที่สอง ที่จะปรากฏหลังเที่ยงคืนนั้น สภาพมันเก่ามากแล้ว ซ้ำยังเลอะโคลนมากกว่าเดิมอีกด้วย ผมไม่รู้ว่ามันจะยังอยู่ได้นานแค่ไหนสำหรับ ผู้หลงทาง คนต่อๆ ไป แต่ถ้าคุณคือหนึ่งในผู้ที่ได้พบกับศาลานั้น ผมขอให้คุณแน่ใจว่าตัวเองจะต้องหนีออกมาจากที่นั่นก่อนเที่ยงคืนให้ได้ …ไม่ว่าศาลานั่นจะดึงดูดให้คุณอยากอยู่กับมันนานแค่ไหนก็ตาม..

บทส่งท้าย

เอ้อ… แม้จะไม่อยากนึกถึงมันอีกแต่ก็ช่วยไม่ได้ ผมจะเขียนกฏที่อยู่ในใบที่สองขึ้นมาใหม่ด้วยตัวเองตรงนี้ จากความทรงจำของผม คราวนี้ไม่เลอะโคลนแล้ว

“กฏในการนั่งรอที่ศาลารอรถยามค่ำคืน” (ของแท้)

[ *คำเตือน* พยายามอย่าใช้แสงสว่างจากอุปกรณ์พกพาในการอ่าน คุณต้องถนอมมันไว้ จงหยิบกระดาษแผ่นนี้ไปยืนอ่านใต้แสงไฟ

เอาล่ะ หากคุณเป็นคนโชคร้ายที่ได้อ่านกฏเหล่านี้ เสียใจด้วย คุณพลาดการถูกช่วยเหลือให้ออกไปจากที่นี่หลายต่อหลายครั้งแล้ว

เราส่งทั้งทีมส่องไฟค้นหา ทั้งรถโดยสาร และคนผ่านทางที่จะสามารถพาคุณออกไปจากสถานการณ์นี้ได้ในช่วงเวลาต่างๆ แต่ในเมื่อคุณเลือกที่จะปฏิเสธทั้งนั้นหมดนั้น เราก็มีสิ่งหนึ่งที่อยากให้คุณจำไว้ “ศาลานี้ไม่ใช่มิตรแท้ของคุณ แต่มันจะยังทำอะไรคุณไม่ได้จนกว่าจะถึงเวลาเที่ยงคืน แสงสว่างต่างหากที่เป็นมิตรแท้ของคุณ”

1. เมื่อถึงเวลาตีหนึ่ง ผู้ล่า กลุ่มแรกจะมาถึง คุณจะต้องอยู่ในที่ที่แสงสว่างส่องถึง ซึ่งในเวลานั้นแสงสว่างจะส่องลงไปไม่ถึงที่พื้น คุณจะต้องอยู่ให้ห่างจากพื้นจนกว่าพวกมันจะแน่ใจว่ามันไม่สามารถเอาตัวคุณหรือสิ่งของใดๆ ของคุณไปได้ พึงระวังตามซอกและมุมมืดต่างๆ ให้ดีด้วย ทุกที่ที่มืดสนิทคือที่ที่พวกมันสามารถเอื้อมถึง

2. เมื่อถึงเวลาตีสาม นั่นคือช่วงเวลาที่อันตรายที่สุด เราขอแนะนำให้คุณพักผ่อนเพื่อออมแรงไว้ก่อนจะถึงเวลานั้น และเมื่อแสงไฟหรี่ลง คุณจะต้องหาที่ซ่อนตัวที่อยู่ห่างจากศาลานี้ แต่อย่าไปไกลเกินกว่าจุดที่ยังสามารถมองกลับมาแล้วเห็นแสงไฟ

เราขอแนะนำให้คุณเก็บข้าวของทุกอย่างและเข้าไปซ่อนตัวในป่า ก่อนที่ ‘ผู้ล่า’ กลุ่มที่สองจะลงจากรถ

คุณจะต้องซ่อนตัวให้เงียบที่สุดจนกว่ามันจะไป

3. หากคุณรอดชีวิตจาก 1. และ 2. มาได้ เมื่อไฟทุกดวงสว่างขึ้นจนเห็นเส้นทางยาวไกล นั่นคือโอกาสสุดท้ายที่คุณจะได้ออกไปจากที่นี่ อย่าทิ้งสิ่งใดก็ตามที่เป็นของคุณเอาไว้ที่ศาลา แม้แต่เส้นผมสักเส้นเดียวของคุณ และจงออกเดินทางด้วยเท้าของคุณไปให้สุดกำลัง คุณจะต้องออกไปจากที่นี่ให้ได้ก่อนที่แสงสว่างทั้งหมดจะดับลง

จากศาลานี้ คุณสามารถเดินไปทางไหนก็ได้ระหว่างซ้ายกับขวา ทั้งสองเส้นทางล้วนพาคุณไปยังสามแยกแห่งโชคชะตาได้ทั้งสิ้น ต่างกันก็เพียงจะมีทางหนึ่งสั้นกว่า ทางที่สั้นนั้นคุณสามารถไปถึงสามแยกได้ภายในยี่สิบนาทีหากคุณใช้วิ่งไปด้วยความเร็วที่มากพอ ในขณะที่ทางยาวคุณจะต้องใช้เวลาถึงหนึ่งชั่วโมง

น่าเสียดายที่เราไม่สามารถระบุได้ว่าเส้นทางไหนเป็นทางที่สั้นกว่าในแต่ละวัน ขอให้คุณโชคดีกับการเลือก

– เมื่อคุณได้พบกับ สามแยกแห่งโชคชะตา ให้คุณสังเกตเส้นทางให้ดี คุณจะต้องเลือกไปในเส้นทางที่ไม่คุ้นตา มันคือทางเชื่อมโลกแห่งนี้กับโลกของคุณ

– ถ้าคุณต้องการทิ้งสัมภาระทั้งหมดเพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการเดินทาง คุณสามารถทิ้งมันไปที่ไหนก็ได้ แต่ไม่ใช่ที่ศาลา ถ้าคุณไม่อยากกลับมาที่นี่อีก

– หากได้ยินเสียงกรีดร้องจากที่ใดก็ตาม คุณจะต้องรีบออกจากจุดนั้นให้เร็วที่สุด อย่าหยุดเดินเด็ดขาด

– จงจำไว้ ที่นี่ไม่มีดวงอาทิตย์ ไฟทางที่กำลังริบหรี่ลงกับไฟจากอุปกรณ์ที่คุณมีอยู่คือแสงสว่างที่เหลือที่จะทำให้คุณรอดได้ หากแสงสว่างหมดลงแล้วคุณยังไม่ได้ไปจากที่นี่ คุณไม่ได้ไปจากที่นี่อีกเลย

– มีโอกาสอันน้อยนิดที่คุณจะได้พบกับ ผู้ช่วยเหลือ คนใดคนหนึ่งที่คุณเคยปฏิเสธเขาไปก่อนหน้านี้ จงอย่าลังเลที่จะรับความช่วยเหลือจากพวกเขา การปฏิเสธหรือทำเป็นไม่สนใจพวกเขาอีกครั้งจะทำให้พวกเขาโกรธและไม่สนใจคุณอีก

ป.ล. หากคุณต้องการช่วยเหลือคนที่ตกอยู่ในสถานการณ์แบบเดียวกับคุณ ให้คุณนำกระดาษแผ่นนี้แปะกลับลงไปบนเสาศาลาต้นใดก็ได้ ก่อนจะจากที่นี่ไป ]

ผมเคยบอกคุณว่าผมไม่ใช่คนความจำดีนักก็จริง แต่สำหรับกฏเหล่านี้มันไม่เคยหายไปจากหัวผมเลย ราวกับว่าจะท้าทายให้ผมกลับไปอีกครั้ง…แต่คงไม่แล้วล่ะ…

…จบ..แล้วพวกคุณล่ะ หากต้องตกอยู่ในสถานะการณ์แบบนี้คุณจะทำอย่างไร??

Cr. เจ้าของเรื่อง คุณ Panuwat Wattananukul 

ติดตามผลงานที่น่าสนใจเรื่องอื่น ๆ ของคุณ Panuwat Wattananukul ได้ที่ Link Page : Panuwat Wattananukul 

Previous articleกฏของการนั่งรอรถในศาลาข้างทางสุดหลอนยามค่ำคืน
Next articleเจ้าถิ่นหวงที่..ถึงกับนอนไม่ได้  เหตุเกิดที่น้ำตกทีลอซู  จ.ตาก