เรื่องนี้เป็นเรื่องที่พระอาจารย์บุญโฮม เคยเล่าให้ “หาญ ใจสิงห์” ฟังมาแล้วเมื่อปลายปีที่แล้ว แต่ยังไม่จบพอดีวานซืนได้คุยกับท่านเลย ได้ฟังจนจบเรื่องราวเลยครับ
เมื่อปี 2564 ช่วงต้นปีสถานการณ์โควิดเริ่มคลี่คลาย ท่านจึงมีความต้องการออกธุดงควัตรอีกครั้ง ชวนไปกันสามรูปออกเดินทางจากจังหวัดนครพนมไปเรื่อย อยากไปแถวใกล้ๆทางจังหวัดขอนแก่นและหนองคาย เดินตามถนนเข้าป่า ขึ้นเขาบ้างเหมือนที่เคยไปมา
เดือนพฤษภาคมหน้าร้อนทางอีสาน คนมักจะรู้ดีว่ามันร้อนและแล้งเพียงใด ท่านพากันเดินบนพื้นหญ้าแทนพื้นถนน ที่แทบจะมีควันขึ้นมา จนมาสุดที่ชายป่าหนึ่งในจังหวัดหนองคาย
ด้วยความเหนื่อยพระสงฆ์สามรูปไปปักกลด ห่างกันกลดละสองเมตรใต้ต้นไม้ใหญ่สองต้น หลังจากปักกลดเสร็จเวลาเย็นย่ำ ปรากฏว่ามีชายวัยกลางคนมากับหญิงสาว ผู้ชายนั้นดูจากอายุน่าจะใกล้เคียงกับท่าน ส่วนผู้หญิงดูจะยี่สิบปลายๆ
พอมาถึงหน้าพระก็ก้มกราบเท้า คำแรกที่เอ่ยปากถามคือ “ครูบามีอาคมหรือไม่ปราบผีปอบได้บ่?” ท่านก็มองหน้าทั้งสอง แล้วบอกท่านเป็นสายหลวงปู่มั่นหลวงปู่ชา เน้นปฏิบัติภาวนาเพื่อพ้นทุกข์และนิพพานเท่านั้น”
คำตอบของท่านทำให้ทั้งสองหน้าเศร้าลงไปทันที แต่เหมือนพระอาจารย์ท่านรู้เอ่ยถามว่า สมัยนี้ยังมีผีปอบอยู่อีกหรือโยม?
สองคนนั้นยกมือไหว้เอ่ยถามจะเป็นการรบกวน ครูบาหรือไม่หากผมจะพาท่านไปดูบางอย่าง ท่านตกลงตามไปดู
ไปถึงเป็นบ้านไม้สองชั้นเก่าๆ ใต้ถุนยกสูงตามแบบคนชนบท มีแคร่หน้าบ้านตรงทางลงบันได มีหญิงสาววัยรุ่นนั่งอยู่คนเดียว แปลกที่เธอหันไปหันมาอ้าปากงึมงัม มือสองข้างเอาเล็บจิกแคร่ไปมา
อาจารย์ท่านหันมาถามว่าคนนี้หรือที่เป็นปอบ ผู้ชายคนที่พามาบอกท่านว่า ผมเป็นพี่ชายเธอเองส่วนคนนี้พี่สาวคนรอง ชี้ไปที่คนนั่งบอกชื่อก้อย มันไปรับขันธ์กับหมอผีเขมรมา เลยกลายเป็นแบบนี้ล่ะครับ
พระอาจารย์ท่านถามว่า “ทำไมถึงต้องไปรับขันธ์เพราะเหตุอันใดหรือ?” พี่สาวจึงบอกว่า “ก้อยผิดหวังจากคนที่มันรักเจ้าค่ะ เขาหลอกมันไปมีอะไรด้วยและจะมาขอแต่งงาน แต่สุดท้ายก็หนีไป
แล้วเหมือนมันไปเจอหมอผีทางเขมรจากไหนไม่รู้ เขาหลอกให้มันเสพสมด้วยและรับขันธ์มา บอกจะให้ผีสาวตามคนรักกลับมาให้
พระอาจารย์ได้ยินดังนั้นท่านก็มองแล้วถอนหายใจ บอกแล้วทำไมถึงว่าเป็นปอบล่ะโยม?
หลังจากก้อยบอกว่าไปรับขันธ์มา ก็มักจะมีอะไรแปลกๆเกิดขึ้นในบ้านเสมอ เช่น กลางคืนจะได้ยินเสียงหัวเราะเล็กแหลม แต่ก็หาต้นเสียงไม่เจอ
จนคืนหนึ่ง กลางดึกพี่สาวจะลงมาเข้าห้องน้ำ มองเห็นก้อยเดินลงบันไดไปไวๆ ก็คิดว่าจะไปเข้าห้องน้ำ รออยู่สักพักเกือบสิบนาที ยังไม่ขึ้นมาสักที ด้วยความสงสัยจึงเดินลงมาดู ประตูห้องน้ำเปิดทิ้งไว้
เลยหันไปดูตรงครัวเห็นเงาตะคุ่ม จึงแอบตามไปดู ใจแทบหยุดเต้น เพราะเห็นก้อยเอาเนื้อวัวสดๆ
เครื่องในนั่งกินอย่างเอร็ดอร่อย ปากแดงฉานเอาเลือดในถุงเทใส่ปาก แล้วแลบลิ้นออกมาเลียก่อนหันไปมาว่ามีใครเห็นหรือไม่ พี่สาวเอามือปิดปากแทบไม่หายใจ พอก้อยเดินขึ้นบ้านไป แกตามไปแอบมองข้างฝาห้องก้อย เห็นว่านอนหลับไปแล้ว
เช้าวันต่อมามีเสียงโวยวายจากพ่อแม่ ว่าเนื้อที่เตรียมไว้ทำกับข้าวหายหมด มีคนมาลักหรือสัตว์มาแอบกินกัน?
พี่สาวที่รู้ดีเหลือบตามองก้อยที่ตาใส เหมือนไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น ตัดสินใจว่าจะบอกเรื่องนี้ให้พ่อแม่และพี่ชายรู้ ปรากฏว่าแคนคนรักของก้อยมาหาที่บ้าน แต่ไม่ได้มาขอคืนดี มาบอกก้อยว่าจะไปแต่งงาน จึงสร้างความเสียใจและโกรธแค้นให้ก้อยมาก
หลังจากแคนกลับไป ท่าทีของก้อยก็เปลี่ยนไป ตาขวางพูดจาหยาบคาบแม้กระทั่งพ่อแม่ กลางวันไม่กินข้าวนั่งสั่นอยู่ที่แคร่ อยู่ดีๆก็หัวเราะเล็กแหลมบางทีก็แลบลิ้น โชคดีที่บ้านค่อนข้างห่างจากผู้คน แม่จึงไปบอกหมอธรรมมาดูอาการ
หมอธรรมมาถึงเป็นก็ก้อยนั่งกินเนื้อสดเครื่องในอยู่ พอก้อยเห็นหมอธรรมก็กระโดดมาตรงหน้าแก แล้วชี้หน้าบอกมึงจะทำอะไรกู!! ร่างอีคนนี้ทั้งสาวทั้งสวย กูอยู่ร่างนี้กินอิ่มมากไม่อดไม่อยาก ถ้ามึงวุ่นวายกูจะกินข้างในมันให้หมด!!
หมอธรรมบอกพ่อแม่ว่า มันแรงมาก วิญญาณตายโหงที่เล่นของจนกลายเป็นปอบ แสดงว่าไอ้คนให้รับขันธ์มันต้องเก่งมาก ถึงสะกดมันมาใช้งานได้ แกสู้ไม่ไหวหรอก
พอหมอธรรมบอกแบบนั้นแม่กับพี่สาวก็กอดกันร้องไห้ นับวันก้อยยิ่งไม่ใช่คนเดิม เหมือนจิตเดิมถูกกลืนกินเกือบหมดแล้ว
หลังจากฟังเรื่องราวแล้ว พระอาจารย์ท่านเลยถามว่า จากวันที่รับขันธ์มานานแล้วหรือยังล่ะโยม? พี่ชายบอกสามอาทิตย์แล้วครับครูบา ท่านบอก เดี๋ยวคืนนี้ขอให้มันผ่านไปก่อน พรุ่งนี้อาตมาจะมาหาที่บ้านเอง
คืนนั้นพระอาจารย์ท่านเจริญสมาธิอยู่ ท่านรับรู้ได้ว่ามีบางสิ่งเหมือนเดินอยู่รอบกลดท่าน พอลืมตาขึ้นมา ภาพนอกกลดเป็นเงาดำร่างของคน แต่คลานเหมือนสัตว์ ผมเผ้ากระเซิงพยายามจะเปิดกลดท่านเข้ามา แต่ด้วยบุญบารมีหรือกุศลของท่าน พอมือมันถึงกลดมันก็ชักกลับทุกครั้ง ท่านก็ภาวนาคาถาบทหนึ่งเบาๆ เงาดำนั้นก็ผงะแล้วถอยหลังก่อนจะหายไป
ผ่านไปจนถึงตีสี่ พระสามรูปออกมาทำวัตรเช้าและเดินจงกรม จนฟ้าเริ่มสางท่านจึงบอกว่า ไปบิณฑบาตกันเถิดท่าน
พอพวกไปถึงบ้านนั้น ราวกับเหมือนรู้ถึงภัย ปอบในร่างของก้อยยืนกอดอกรออยู่ริมรั้ว พอพระมาถึง มันกางแขนออกแลบลิ้นมาทักทาย เอ่ยถามว่า “มึงจะทำอะไรกูได้ไอ้โล้นทั้งสาม” เหมือนไม่ทันระวังตัวพี่ชายเข้ามาล็อคแขนก้อยทั้งสองข้าง พี่สาวมาจับที่เอว แต่แรงของมันเยอะมากสะบัดจนเกือบจะหลุด
พี่ชายบอกท่านว่า ผมจะไม่ไหวแล้วครับครูบา พระอาจารย์ท่านก้มลงหยิบดินหน้าบ้านมาหนึ่งกำมือ
บริกรรมคาถาใส่แล้วโปรยใส่หัวก้อยครึ่ง ใส่เท้าทั้งสองอีกครึ่ง ได้ผล!!หยุดชะงักทันที
พระอาจารย์กล่าวต่อ “ขอพระแม่ธรณีพาดวงจิตนี้ไปสู่ภพภูมิที่ควรด้วยเถิด ขอพุทธองค์พาดวงจิตคนนี้กลับมาด้วยเถิด” แล้วท่านก็เอาสายสิญจน์มายื่นให้พี่สาวให้ไปพันรอบหัวก้อย เท่านั้นเสียงกรีดร้องโหยหวนดังไปทั่วบริเวณ
และท่านก็ให้พี่ชายเอามือก้อยค้ำพื้นดิน สิ่งที่ทุกคนเห็นคือมีก้อนดำๆวิ่งตามแขน ก่อนออกที่ปลายนิ้วมุดลงพื้น แล้วท่านก็เอาเท้าเหยียบอีกสามที และบอกให้พี่ชายขุดดินตรงนี้ใส่ห่อผ้าไปถ่วงน้ำให้ลึกที่สุด
ก้อยสลบไปจนถึงเย็น พอตื่นขึ้นมาหน้าตาสดใส แล้วบอกพ่อแม่ว่าหนูขอโทษ ด้วยความรักลูกพ่อแม่ก็ให้อภัยได้เสมอ และให้เอาดอกไม้มาไหว้ขอบพระคุณ
พระอาจารย์บุญโฮมท่านจึงสอนว่า
“สิ่งใดที่เกิดขึ้นในชีวิตไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
ทุกอย่างมีกรรมสัมพันธ์กันมา
ย่อมต้องได้ชดใช้กันในทางใดทางหนึ่ง
หรือชาติใดชาติหนึ่ง
เมื่อได้ชดใช้แล้ว
ขอให้อโหสิกรรมต่อกันอย่าจองเวร
จงมีชีวิตอยู่ด้วย ศีล สติและภาวนา
สิ่งใดไม่ใช่ความปกติอย่ารับเข้า
สิ่งใดไม่ใช่ความดีอย่าสรรหา
สิ่งใดที่ไม่ควรยึดติดอย่านำพา
อยู่ด้วยศรัทธาของความดีเท่านั้นพอ”
สุดท้ายเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ไม่มีมนต์ดำหรือคุณไสยที่ไหนจะทำให้สมหวังทุกการกระทำ มันมีข้อแลกเปลี่ยนเสมอ การไปเกี่ยวข้องกับการรับสิ่งใดที่ไม่รู้ ย่อมมีผลตามมาอยู่ที่ว่าจะร้ายแรงแค่ไหน
ปล..คาถาที่ท่านสวดในกลดคือพระคาถามงกุฏพระพุทธเจ้าส่วนคาถาที่ท่านสวดตอนไล่ปอบคือคาถาพระอุปคุตผูกมารครับ…
ขอบคุณเรื่องจาก คุณหาญ ใจสิงห์