Home กระทู้ผีพันทิป คืนผีหลอก เหตุการณ์ขนหัวลุกระหว่างทางกลับบ้าน

คืนผีหลอก เหตุการณ์ขนหัวลุกระหว่างทางกลับบ้าน

คืนผีหลอก เหตุการณ์ขนหัวลุกระหว่างทางกลับบ้าน

เรื่องนี้เป็นเรื่องของผมเอง (ผู้เล่า)  ตั้งแต่เกิดมาผมเชื่อว่าผีมีจริง แต่ผมก็ไม่เคยเห็นสักทีหรอกครับ พอได้ฟังผู้ใหญ่หลายคนเล่าเหตุการณ์ที่ไปประสบพบพานมาตั้งแต่เด็ก ๆ ผมจึงซึมซับเรื่องผีมาแต่เล็กแต่น้อย แล้วแต่ละเรื่องหลอน ๆ ทั้งนั้น บางเรื่องหลอนจัดจนไม่กล้าเข้าห้องน้ำตอนกลางคืนเลย ทว่าผมก็ไม่เคยเจอสักครั้ง แล้วผมก็ไม่อยากเจอด้วย พอเวลาผ่านไปก็รู้สึกเฉย ๆ  แต่ถึงอย่างไรผมก็ยังเชื่อว่าผีมี.จริงครับ

จนผมอายุได้ 18 ปี ตามประสาวัยรุ่น ผมก็เที่ยวเตร่กับเพื่อนฝูงไปตามประสา กลับบ้านดึกเป็นประจำ ก็ยังไม่เคยจะเจอดีอะไรสักที 

ตอนนั้นผมอาศัยอยู่กับพ่อแม่ ยายและน้องชาย  และผมยังบ้านใหญ่อีกหลัง ซึ่งเป็นบ้านของยายทวด บ้านของยายทวดจะอยู่ติดวัด เวลาผมไปนอนบ้านใหญ่  ดึก ๆ ออกมาคุยโทรศัพท์กับแฟนข้างนอก ผมมองไปที่วัดก็ไม่เห็นมีผีสางอะไร นอกจากต้นโพธิ์ กระดิ่งบนยอดอุโบสถ และธาตุอัฐิคนตาย ทว่าผมก็ไม่ได้อยากลองดีนะ อย่ามาให้ผมเห็นเลย

จนกระทั่งวันหนึ่ง วันนั้นบ้านญาติห่าง ๆ ของผม จริง ๆ ก็ไม่ห่างหรอก ไปมาหาสู่กันตลอด คือบ้านของน้องสาวยาย (ผมจะเรียกว่ายายเล็ก) ซึ่งอยู่หมู่บ้านติดกัน เขาจัดงานบวชให้หลานชาย ทางพ่อแม่เขาจึงแจกการ์ดเชิญครอบครัวผมด้วย 

งานตอนกลางวันผ่านไปด้วยดี มีแห่นาค มีเลี้ยงแขกปกติธรรมดาตามธรรมเนียม ทว่าไฮไลต์อยู่ที่ตอนกลางคืนครับ มีหมอลำวงใหญ่มาเล่น ถูกใจวัยรุ่นขาโจ๋แบบผมสิครับ นัดเพื่อน ๆ เอาไว้แล้วด้วย อีกทั้งเป็นงานของยายเล็กด้วย งานนี้กินฟรีชมฟรีครับ…แต่ใครจะรู้ว่าค่ำคืนนั้นเป็นค่ำคืนที่ผมเจอดีเข้าให้!

ตอนเย็น ๆ ผมคุยโทรศัพท์กับแฟนของผม แต่เจ้าหล่อนกลับงอแงกับผมซะอย่างนั้น หล่อนไม่อยากให้ผมไปดูหมอลำเลย ขัดใจผมชะมัด ทว่าเราก็คุยกันด้วยความเข้าใจ เพราะผมเอาคำว่าญาติเข้าอ้าง หล่อนก็เลยอนุญาต ผมจึงสบายใจแต่ท่าทางของหล่อนผมยังหงุดหงิดอยู่ ถึงกระนั้นหล่อนก็ยอมให้ผมไปดูหมอลำอยู่ดี

เวลาผ่านไปจนมืดค่ำ ผมเตรียมตัวนัดเพื่อนฝูงไปดูหมอลำ เรามีกันทั้งหมด 5 คน พอรวมตัวกันครบแก๊งแล้ว จึงพากันแว้นมอเตอร์ไซค์ไปยังหมู่บ้านของยายเล็กกันเลย และใครจะคิดว่าสิ่งที่ผมไม่เคยเจอ และ ไม่อยากเจอจะมาปรากฏตัวให้ผมเห็น มาตอกย้ำความเชื่อให้ผมรู้ว่า “ผีมีอยู่จริง”

บุพเพสันนิวาสหรือเปล่า อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด อะไรจะได้เจอมันก็ต้องได้เจอ เป็นอะไรที่หลีกเลี่ยงไม่ได้…

ในระหว่างที่ผมกำลังฟังหมอลำ อยู่ดี ๆ ผมก็อยากกลับบ้านซะอย่างนั้น คงเพราะง่วงด้วย และอีกอย่างแฟนโทรมาคุยกับผม ซึ่งผมอยู่ในงานหมอลำ มันเลยคุยกันไม่รู้เรื่อง ผมจึงอยากกลับบ้านเพื่อไปคุยโทรศัพท์กับแฟนครับ

ตอนนั้นเป็นเวลาเที่ยงคืน ยายเล็กคงเห็นว่ามันดึกแล้ว จึงบอกว่าให้พวกผมพากันนอนที่นี่เลย บ้านยายเล็กนั้นหลังใหญ่ มีที่ให้นอนเยอะแยะก็จริง ทว่าผมกับอยากกลับไปนอนบ้านมากกว่า

ผมชวนเพื่อน ๆ กลับบ้าน แต่ในตอนนี้ไม่มีใครอยากกลับเลย หมอลำก็จะเล่นไปน่าจะถึงตีสามแหละมั้ง ผมก็ไม่แน่ใจ แต่ผมไม่รอครับ บอกเพื่อน ๆ ว่าขอตัวกลับก่อน พวกมันก็บอกว่า ดึกแล้วอันตราย รอกลับพร้อมกันดีกว่า 

แต่ผมก็ยืนยันว่าจะกลับลูกเดียว หมู่บ้านของผมกับหมู่บ้านยายเล็กก็ไม่ไกลกัน เป็นหมู่บ้านที่อยู่ติดกัน ห่างกันสะพานเดียว บิดคันเร่งรถ เพียงแค่อึดใจเดียวก็ถึงบ้านแล้ว

เมื่อเพื่อน ๆ ห้ามแล้ว ผมไม่ฟัง พวกมันจึงปล่อยผมกลับไปคนเดียว แล้วผมก็ไม่รอช้า เดินไปบอกยายเล็กว่าผมจะกลับแล้ว แต่เพื่อความสบายใจของท่าน ผมจึงโกหกว่ามีเพื่อนกลับด้วย ท่านจึงหมดห่วง อนุญาตให้ผมกลับได้

ผมสตาร์ตรถรถมอไซค์ได้ ก็ขี่ออกจากงานมา ปกติตามบ้านนอกชนบทแบบนี้ สามทุ่มคนก็เข้าบ้านนอนกันหมดแล้ว ยิ่งตอนนี้เที่ยงคืนกว่าแล้ว บอกเลย ถนนโล่งมาก แถมยังลาดยางมะตอยอย่างดี ผมจึงบิดคันเร่งทำความเร็วได้ตามใจชอบ

ผมขับมาเข็มไมล์อยู่ที่เลขแปดสิบ เมื่อมาถึงสะพานเชื่อมระหว่างหมู่บ้านของผมกับหมู่บ้านของยายเล็กสะพานตรงนี้กว้างมาก! เป็นสะพานข้ามลำห้วยสาธารณะ กว่าจะขับพ้นก็หลายสิบเมตร  แล้วจังหวะนั้นเอง ขณะที่ผมขับขึ้นสะพานมาได้นิดเดียยว จู่ ๆ ความเร็วรถของผมจากแปดสิบกว่า ๆ ก็ลดลงเหลือประมาณยี่สิบได้ ความรู้เหมือนรถผมกำลังลากอะไรที่มันหนัก ๆ อยู่ 

ผมไม่กล้าหันหลังไปมอง จึงตัดสินใจมองผ่านกระจกมองข้างด้านซ้ายแทน สิ่งที่ผมเห็นคือ ผู้หญิงผมยาวนั่งซ้อนท้ายผมอยู่ ผมเธอปลิวไสวไปตามแรงลม ผมไม่เห็นหน้าตาของเธอ เพราะมันมืดไปหมด แต่รู้ว่าเธอใส่เสื้อแขนสั้น 

โชคดีที่เธอไม่ได้สบตากับผมผ่านกระจก หากแต่เธอเมินหน้าหนี เหมือนคนเหม่อมองออกไปไกล ๆ พอผมเห็นดังนั้นแล้ว ผมก็เลิกมองเธอทันที  

ขับไปต่อได้ไม่ไกล ด้วยความสงสัยว่าไอ้ที่ผมเห็นนั้น ผมไม่ได้ตาฝาดหรือหลอนไปเอง ผมจึงใช้หางตามองผ่านกระจกอีกครั้ง ปรากฏว่ายังเห็นเธอนั่งซ้อนท้ายด้านหลังผมอยู่!! เท่านั้นแหละ คุณเอ้ยยยย คันเร่งรถบิดได้เท่าไหร่ผมบิดหมดปลอกเลยครับ แต่รถก็ยังเคลื่อนตัวได้ช้าเท่าเดิม ผมกลัวมาก จนตอนนี้ก็ยังไม่พ้นสะพานเลย เหตุการณ์เหมือนผ่านไปนานมาก แต่จริง ๆ แล้ว มันพึ่งเกิดขึ้นไม่ถึง 5 นาทีเลยเสียด้วยซ้ำ 

ผมกลัว! กลัวจนร้องไห้ บิดคันเร่งรถไปน้ำตาก็ไหลไป นึกถึงพ่อแม่ปู่ย่าตายาย ตาทวดที่เสียไป ยายทวดที่ยังมีชีวิตอยู่ให้มาช่วยผม ให้ไล่เธอลงไปจากรถผม จนรถขับพ้นสะพาน แต่เธอก็ไม่ยอมลงสักทีครับ ทำไมถึงรู้น่ะหรอ เพราะรถยังทำความเร็วได้แค่ยี่สิบ

จนกระทั่งผมขับรถเข้าหมู่บ้านของผมอย่างเชื่องช้า ผ่านบ้านหลังที่สองหลังที่สามไป หล่อนก็ยังไม่หายไป จนมาถึงสี่แยกใหญ่ของหมู่บ้านผม จู่ ๆ รถของผมก็เบาหวิวลอยพุ่งไปอย่างเร็ว โชคดีที่เป็นทางตรง ไม่อย่างนั้นผมอาจพุ่งชนต้นไม้หน้าบ้านใครตายแน่ ๆ ผมเลยตัดสินใจลองมองผ่านกระจกหลังดูอีกที  ครั้งนี้หล่อนหายไปแล้วครับ

คุณเชื่อไหมว่าหมู่บ้านติดกันแค่นี้ แต่ผมใช้เวลาขับรถเกือบชั่วโมง เพราะผมออกมาจากงานหมอลำตอนเที่ยงคืน แต่มาถึงบ้านเกือบตีหนึ่ง ผมยอมรับ ณ ตอนนั้นเลยว่าผมกลัวมาก เข็ด! ต่อไปผมจะไม่ขี่มอไซค์กลับบ้านคนเดียวแบบนี้อีกเด็ดขาด

มาถึงบ้านผมรีบเคาะประตูเรียกยายมาเปิดประตูให้ ผมกลัวจับใจอยากเล่าให้ยายฟัง แต่กลัวยายด่าว่ากลับมาดึก ๆ ดื่น ๆ คนเดียว ผมจึงไม่เล่าดีกว่า ตอนนั้นผมขวัญหนีดีฝ่อแล้วครับ นอนไม่หลับ ข่มตายังไงก็ไม่หลับ ปิดเปลือกตาลงเห็นแต่หน้าเธอคนนั้นที่นั่งซ้อนท้ายผม แทนที่จะเป็นหวานใจของผม

ด้วยความง่วงบวกกับความล้าของร่างกาย ทำให้ผมผลอยหลับไปโดยไม่รู้ตัว หลับไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ มารู้สึกตัวตัวอีกที่ก็ตอนแม่กับพ่อ ยายและน้องชายเข้ามาปลุกผมในห้องนอนครับ 

แม่ผมเล่าให้ผมฟังว่าได้ยินเสียงผมนอนคราง เหมือนนอนร้องไห้ แม่จึงปลุกพ่อให้ตื่นมาดูผม พ่อได้เคาะประตูห้องของผม จึงทำให้ยายกับน้องชายตื่นมาดูด้วย แต่เคาะเท่าไหร่ผมก็ไม่ยอมตื่นมาเปิดประตูห้องให้ แถมยังร้องไห้เสียงดังไม่หยุดอีก พ่อจึงงัดประตูห้องผมเข้ามาเลย ดีที่เป็นกลอนลูกบิดงัดง่าย ทุกคนปลุกผมให้ตื่นแล้วถามว่าเกิดอะไรขึ้น 

เมื่อเรื่องมาถึงขนาดนี้แล้วผมจึงยอมเล่าถึงสิ่งที่เจอมาเมื่อคืนให้ทุกคนฟัง ตอนนี้ตีสามกว่า ๆ แล้ว ยายไม่ให้ผมหลับต่อเลยครับ ยายบอกว่าถึงตอนฟ้าสางให้ไปหาหลวงตาที่วัดเลย… 

พอเช้าวันรุ่งขึ้น ตะวันโผล่พ้นขอบฟ้า ก่อนจะไปวัด ผมนี่โดนบ่นหูชาเลยครับ ข้อหากลับบ้านดึก ๆ ดื่น ๆ คนเดียว

ผมถามยายว่าแถวนั้นเคยมีคนตายไหม ยายก็บอกว่าตั้งแต่สมัยทำสะพานใหม่ ๆ ก็ยังก็ไม่มีใครตายตรงนั้น น่าจะเป็นผีไร่ผีนาแถวนั้นแหละ 

ผมเคยได้ยินว่าหากเราเจอผีแล้ว เราก็จะเจอเสมอ อันนี้ไม่รู้จริงไหม ทว่าหลังจากเหตุการณ์นี้ผมก็ไม่เจออะไรอีกเลยนะครับ 

เรื่องราวของผมก็มีเพียงเท่านี้ครับ เป็นครั้งแรกที่ผมเจอผีตัวเป็น ๆ เลย มันยิ่งเป็นหลักฐานทำให้ผมเชื่อว่าของแบบนี้มีอยู่จริง นับแต่นั้นมาผมก็ไม่กล้าผ่านทางนั้นคนเดียวดึก ๆ อีกเลย!!

สุดท้ายผมอยากจะบอกว่า จากเหตุการณ์นี้ทำให้ผมเชื่อสนิทใจว่า “ผีมีจริง” เพราะผมเจอมากับตาตัวเอง ผมไม่อาจไปยัดเยียดความเชื่อให้กับใครได้ หากไม่ได้เห็นด้วยตาของตัวท่านเอง แต่สำหรับตัวผมตัว ผมเชื่อครับ ว่าพวกเขามีอยู่จริง  แล้วพวกคุณล่ะเชื่อไหม เคยเห็นหรือเปล่า… 

จบ…

ขอบคุณเรื่องจาก สมาชิกหมายเลขพันทิป  6679524 

LEAVE A REPLY

Please enter your comment!
Please enter your name here