ภาคเหนืออย่างที่รู้ๆ กันดีว่ามีเรื่องเล่าผีๆสางๆ ค่อนข้างจะเยอะ แต่จะมีผีอยู่ชนิดนึงที่เรียกว่า “ผีกะ” คำว่า ผีกะ ของภาคเหนือจะอารมณ์คล้ายๆ กับผีปอบของภาคอีสาน แต่น่าจะมีที่มาจากผีบรรพบุรุษที่ชาวบ้านเลี้ยงไว้แล้วเลี้ยงไม่ดี จึงหันมากินเครื่องในลูกหลานแทน
คนที่เลี้ยงผีกะจะมีสิ่งให้จับสังเกตได้ก็คือ กลางวันจะหน้าตาธรรมดาไปถึงขั้นแย่ แต่พอตกดึกเท่านั้นแหละจะหน้าตาหล่อสวยขึ้นมาทันที
และอีกสิ่งหนึ่งตามที่ได้ยินเขาเล่าๆ สืบกันมาคือ คนที่เลี้ยงผีกะจะมีวอก (ลิงขนาดเล็ก) นั่งอยู่บนบ่าคอยเลียหน้าตาเจ้าของด้วย และเวลาไปไหนมักจะมีนกแสกบินนำหน้าเสมอ นึกแล้วสยองดีชะมัด..!
เข้าเรื่องกันเลยดีกว่า เรื่องเล่านี้นำมาจากญาติผู้ใหญ่ของเราที่ท่านเจอมาด้วยตัวเอง ด้วยความที่อยู่บ้านนอก ในยุคก่อนๆ คงจะเดากันได้ว่าป่าจะค่อนข้างเยอะ และพื้นที่ในการปลูกบ้านสมัยก่อนต้องอาศัยการจับจองและแผ้วถางกันเอาเอง ดังนั้นบริเวณรอบบ้านของเราเลยเป็นทุ่งนาที่ติดกับภูเขา อยู่กันแค่ในเครือญาติเท่านั้น ไม่มีคนนอกสายเลือดเลย
บ้านใกล้เรือนเคียงที่เป็นเครือญาติเราตอนนั้น มีป้าสะใภ้อยู่คนหนึ่ง แกแต่งงานแล้วเข้ามาอยู่ที่หมู่บ้านนี้ (สมัยนั้นเรายังไม่เกิดเลยจ๊ะ) ป้าเป็นผู้หญิงหน้าตาธรรมดาบ้านๆ ตัวเล็กๆ ผิวสองสี ขอเรียกแทนแกว่า “ป้าท้อ” ละกันนะคะ
ป้าทอเป็นคนที่ขวัญอ่อนและปากไว ต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้ไม่มีใครรู้ว่าแกไปทำอะไรอีท่าไหน ถึงได้ไปถูกตาต้องใจเข้ากับ “ผีกะ” ตัวหนึ่งเข้า..
ด้วยความที่พื้นที่แถวบ้านป่าค่อนข้างเยอะ บวกกับเป็นพื้นที่จังหวัดที่เปิดทำเฟอร์นิเจอร์ไม้สักอย่างถูกกฎหมาย ป่าสักจึงมหาศาลทุกข้างทางถนน
หลังจากออกไปข้างนอกกลับมา ป้าท้อก็เริ่มมีอาการแปลกๆ ดูลุกลี้ลุกลน ปากก็พร่ำบอกแต่ว่ามีคนตามมาไม่หยุดปาก..
ผัวแกหรือก็คือ “ลุงราม” ก็วิตกว่าเมียจะเป็นอะไรรึเปล่า ทำไมพูดจาประหลาดๆแบบนั้น แต่ด้วยความไม่เชื่อเลยนิ่งเฉย และปล่อยให้ป้าท้อแกเพ้ออยู่อย่างนั้นจนฟ้าเริ่มมืดแล้วเข้านอน แต่คืนนั้นป้าท้อก็ยังไม่ยอมสงบ เลยนอนไม่ได้ ร้องหวาดกลัวทุกสิ่ง จนกระทั่งรุ่งเช้า..
ลุงรามเลยนำเรื่องนี้ไปปรึกษาแม่ของแก นั่นคือยายสา ตัวของยายสานั้นนับถือศาสนาคริสต์ และเป็นเพียงคนเดียวในบ้านตอนนั้นที่ไม่นับถือศาสนาพุทธตามลูกผัว เพราะตระกูลของแก (หรือก็คือตระกูลเดียวกับเรานี่แหละ) นับถือศาสนาคริสต์กันมาหลายชั่วอายุคนแล้ว
ยายสาแกจึงบอกให้พิสูจน์เสีย ด้วยการนำแป้งฝุ่นไปโรยที่ตรงขั้นบันไดบ้าน ซึ่งบ้านของลุงรามและป้าท้อเป็นบ้านไม้ บันไดจึงเป็นซี่ๆ โปร่งๆ คงพอนึกกันออกนะคะ
หลังจากโรยแป้งเสร็จก็ให้ป้าท้อเดินขึ้นไปบนบ้านชั้นสองเพียงคนเดียว แล้วก็เกิดสิ่งประหลาดที่ทำให้ทุกคนแทบหยุดหายใจ นั่นคือมีรอยเท้าขนาดใหญ่ ปรากฏตามหลังป้าท้อไปติดๆ..!!
พอแกหันมาเห็นก็ทรุดฮวบลงด้วยความกลัว..แล้วป้าท้อปากก็พร่ำแต่พูดว่า “มันจะมาเอากูไปๆๆ”
จนลุงรามอยู่ไม่สุข ต้องรีบพาแกไปหาพระแถวบ้าน แต่จนแล้วจนรอด เจ้าผีตัวดีก็ไม่ยอมออกไป ทั้งยังสำแดงเดชอาละวาด เข้าสิงไม่หยุดหย่อน
เจ้าผีกะตัวปัญหามีการแอบอ้างเท้าความไปว่า ป้าท้อเมื่อชาติที่แล้วเคยอยู่เป็นคู่ผัวตัวเมียกับมันมาก่อน มันตามหามานานแสนนาน และวันนี้มันเจอแล้ว มันจะเอาป้าท้อไปอยู่ด้วย…!
ซึ่งอาการของคนผีเข้าก็จะมีลักษณะที่ต่างกันออกไป บ้างร้องไห้ บ้างคำราม หรือกรีดร้องก็มี..แต่ของป้าท้อแสดงออกมาในลักษณะอาการขึงขัง บึ้งตึง มีตีอกชกหัวตัวเอง จนร่างกายแกบอบช้ำไปหมด เดือดร้อนผัวแกกับบรรดาญาติๆ ที่ต้องพากันกดจับแกไว้กับที่
พระประจำวัดในหมู่บ้านทราบความ ท่านก็ทั้งพรมน้ำมนต์ สวดคาถา ใช้สารพัดวิธีต่างๆ ขับไล่ แต่ยิ่งกลับทำให้มันอาละวาดหนักขึ้น จากท่าทีบึ้งตึงเปลี่ยนเป็นกราดเกรี้ยวดูถูก
เสียงหัวเราะเย้ยหยันของผู้ชายดังออกมาจากปากของป้าทอสนั่นไปทั่วลานวัด “กูไม่กลัวหรอก เป็นแค่พระกระจอกๆ คิดจะมาไล่กู..!”
ด้วยจนปัญญา พระท่านเลยสุดจะทานทน ท่านเลยแนะนำให้พาไปหาพระเกจิดังๆ ท่านอื่นน่าจะดีกว่า ลุงรามเลยต้องพาร่างป้าท้อที่มีผีกะแฝงอยู่ย้ายไปยังอีกวัด
แต่จนแล้วจนรอดก็เหมือนเดิม ยิ่งพระเก่งมากเท่าไหร่ มันยิ่งสำแดงเดชมากเท่านั้น ถ้อยคำท้าทายมากมายถูกพ่นออกมาไม่หยุดหย่อน จนวันทั้งวันนั้นลุงรามจำใจต้องพาป้าท้อกลับบ้านมาก่อน
พอมาถึงบ้านได้มันก็ยอมออกแต่โดยดี แต่ยังคงวนเวียนอยู่ใกล้ๆ ป้าท้อนั่นแหละ ทั้งทำเสียงโครมคราม เสียงกระทืบเท้า และหนักข้อขึ้นเมื่อลุงรามมาอยู่ใกล้ๆ แก…เมื่อพึ่งพระไม่ได้ ลุงรามเลยเบนเข็มไปทางหมอผีแทน…
เช้าวันถัดมา ลุงรามพาป้าท้อเดินทางข้ามอำเภอไปหาหมอผีชื่อดังเจ้านึง ตลอดทางป้าท้อก็บ่นพึมพำแต่ว่า มันอยู่ตรงนั้น ตรงนี้ จนทุกคนพากันขวัญผวาไปหมด จากร่างกายที่เคยเต็มอิ่ม ตอนนี้ป้าทอผอมซูบทั้งๆ ที่ผ่านไปยังไม่ถึง 3 วันด้วยซ้ำ
เมื่อมาถึงบ้านหมอผี ตาหมอผีก็ใช้วิชาอาคมสารพัดรวมถึงของขลังนานาชนิด เริ่มด้วยงาช้างนำมาทิ่มแทงตามร่างกายป้าท้อ แค่พอกะทบผิวหนังมันก็ส่งเสียงร้องโหยหวน แล้วก็เปลี่ยนมาเป็นเสียงหัวเราะแหบห้าวกังวานแทน มันท้าทายอาจารย์หมอผีท่านนี้ทันที..!
จากนั้นสารพัดของขลังจึงประโคมใส่ร่างป้าท้อไม่หยุด หากแต่ผลก็ยังเหมือนเดิม คือมันไม่ออก และไม่ยอมไปไหน
เมื่อหมอผีเจ้าแรกปราบไม่ลง เจ้าที่สองสามและสี่จึงตามมา แต่ทุกครั้งผลลัพท์ก็ออกมาแบบเดิมอีก
จนเจ้าสุดท้ายถึงกับเอ่ยออกมาว่า “ตอนมีชีวิตเป็นคน มันก็คงมีวิชา ไม่งั้นไอ้ผีกะตัวนี้มันคงทนไม่ไหวหรอก..”
ราวกับคำสรรเสริญเยินยอ มันตีอกชกมือพอใจ บอกว่าอย่าพยายามมาขัดขวางทางรักของมัน เพราะยังไงซะมันก็จะเอาป้าท้อไปเป็นเมียมันเสียให้ได้…ลุงรามที่จนปัญญา เมื่อทำอะไรไม่ได้ก็เลยจำใจต้องพาป้าท้อและผีกะตัวนี้กลับบ้านอีกครั้ง
พูดถึงยายสาที่รออยู่บ้าน หลังจากลูกชายพาสะใภ้แกหายไปเกือบทั้งวัน แกก็นั่งคิดนอนคิดไม่ตก จากนั้นเลยมาหายายของเราที่บ้านเพื่อขอคำแนะนำปรึกษา
ซึ่งอย่างที่เคยเกริ่นไว้ว่าบ้านของเรานับถือศาสนาคริสต์กันหมด ยายเลยเอ่ยแนะนำให้พาป้าท้อไปที่โบสถ์ (ที่ประกอบพิธีของศาสนาคริสต์ บ้านเรานับถือนิกายโปเตสแตนท์นะคะ เป็นคริสเตียน)
เช้าวันรุ่งขึ้น..ยายสาเลยพาลุงรามและป้าท้อเดินทางไปที่โบสถ์ใกล้บ้าน ซึ่งทางนั้นเองก็ได้รับการติดต่อมาแล้วว่ายายสาจะพาสะใภ้มาเนื่องจากโดนผีเข้า
พอไปถึงทุกคนไม่รอช้า พาป้าท้อเข้าไปด้านในตรงแท่นพิธีจากนั้นศาสนาจารย์ (คล้ายๆ บาทหลวง แต่ไม่ใช่นะคะ) ท่านก็เริ่มทำการอธิษฐาน อย่างที่รู้ๆ กันมานั่นแหละค่ะ ว่าชาวคริสต์จะมีการอธิษฐานกันอยู่เนื่องๆ ทั้งสารภาพบาป อ้อนวอน และต่างๆนาๆ ก็คงจะคล้ายๆ การสวดมนต์ของชาวพุทธ ซึ่งในครั้งนี้ศาสนาจารย์ทุกคนพากันอธิษฐานช่วยป้าท้อในการขับไล่ผีกะอย่างเต็มที่
หลายๆ คนอาจจะงงๆ ว่ามันเกี่ยวอะไร ช่วยได้ตรงไหน เราขออธิบายแบบรวดรัดเลยนะค่ะว่าในศาสนาคริสต์จะไม่มีการนับถือผี แต่เรียกสิ่งเหล่านั้นว่าวิญญาณค่ะ เมื่อเรานับถือพระเจ้า ผีจะไม่กล้ามายุ่งเกี่ยวค่ะ
เล่าแบบนี้หลายคนอาจขัดแย้งเพราะเห็นในหนังฝรั่งก็ยังโดนผีเข้ากันโครมๆ.. นั่นไม่ใช่ผีนะคะ สิ่งเหล่านั้นคือ สาวกและซาตานค่ะ
การอธิษฐานขับไล่เริ่มต้นขึ้น และถูกแทรกด้วยเสียงร้องของป้าท้อเป็นระยะ เสียงใหญ่แหบแผดร้องอย่างกับเจ็บปวด ร่างของป้าท้อดิ้นทุรนทุราย ปากก็บอกพอแล้วกลัวแล้วไม่หยุด..
ลุงรามที่ยืนดูอยู่ก็พยายามจะเข้าไปช่วยเมีย แต่ยายสาก็รั้งลูกชายแกเอาไว้ บอกให้ทนหน่อย ถ้าอยากให้ป้าท้อรอด
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ สุดท้ายผีกะตัวนี้มันเริ่มพ่ายแล้วก็ถอยออกไป.. ป้าท้อที่ได้สติกลับมาก็พรั่งพรูน้ำตาไหลออกมาไม่ขาดสาย และด้วยความศรัทธา นับจากนั้นป้าท้อแกเลยขอเปลี่ยนศาสนา แล้วหันเข้าหาพระเจ้าไปเลย และหลังจากนั้นจนถึงวันนี้ป้าท้อแกก็ไม่เคยโดนผีเข้าอีกเลยค่ะ
ป.ล. ที่ออกมาเล่า เราไม่ได้มีเจตนาหมิ่นศาสนาใดๆ ทั้งสิ้นนะคะ เพราะแต่ละความเชื่อ แต่ละศาสนา ล้วนสอนให้คนเป็นคนดีกันทั้งสิ้นค่ะ บางครั้งคนนับถือศาสนาคริสต์ก็หันไปนับถือศาสนาพุทธ ในขณะที่ศาสนาพุทธก็ยังมีคนเบนมานับถือคริตส์ได้เช่นกัน จากเรื่องนี้เลยอยากให้มองว่าเป็นการเล่าสู่กันฟังค่ะ เอาไว้กระทู้หน้าเราจะมาเล่าความฝันของแม่ ที่แม้แต่เราเป็นผู้ฟัง ยังกลัวจับใจ
ขอบคุณเรื่องเล่าจาก “พันทิป“
ขัดเกลาและเรียบเรียงโดยลุงเชิงโกดังหลอน สยองขวัญวาไรตี้