เรื่องนี้เกิดขึ้นในขณะที่เรา(ตัวผู้เล่า) กับเพื่อนอีกคนได้ไปเที่ยวสถานที่บันเทิงแห่งนึงใน จ.อยุธยา กันค่ะ
ด้วยความที่สนุกสนานกันจนเพลิน กว่าจะกลับบ้านได้เวลาก็ล่วงเลยจนดึกมากๆ ราวๆ เที่ยงคืน
ขากลับเรากับเพื่อนพากันขี่รถมอเตอร์ไซค์ซ้อนกันมาตามทาง โดยที่เราเป็นคนขี่ส่วนเพื่อนนั้นซ้อนท้ายมา ซึ่งถนนเส้นทางกลับบ้านนั้นค่อนข้างเปลี่ยว ข้างทางมีแต่ป่า ไฟถนนก็ไม่ค่อยมีแถมยังมืดเอามากๆ ด้วย
ระหว่างทางที่ขี่รถมา จู่ๆ ก็มีรถมอเตอไซค์คันนึงขี่ตามหลังเรามา จากที่เห็นตอนแรกขี่ห่างๆ รถคันนั้นก็เร่งขึ้นมาเรื่อยๆ ด้วยความสงสัยเราจึงหันไปดู ก็เห็นว่าเป็นผู้ชายสองคนนั่งซ้อนท้ายกันมา
เมื่อรถคันนั้นขี่ปะกบมาใกล้ ผู้ชายคนที่ซ้อนท้ายเขาก็ถีบให้รถของเราล้ม ซึ่งพอรถเสียหลักก็ล้มลงข้างทางตรงสนามหญ้า
จากนั้นพวกเราก็แกล้งทำเป็นสลบไป เพราะตอนนั้นกลัวว่าพวกคนร้ายสองคนนั้นมันจะมาทำร้ายอะไรเรา คิดซะว่ายังไงเอาตัวรอดไว้ก่อนดีกว่า ส่วนทรัพย์สินที่มีค่ามันจะเอาอะไรไปก็ให้มันไป
ซึ่งระหว่างนั้นคนร้ายก็เดินมาพร้อมเอาไฟส่องดูที่พวกเรา แล้วก็เอามือล้วงกระเป๋าสตางค์ไป เอาสร้อยเอาแหวนไป แล้วมันก็ขี่รถมอเตอไซต์หนีไป
เวลาผ่านไปชั่วครู่ ขณะที่พวกเราเห็นว่าปลอดภัยแล้วก็เลยลุกขึ้นมาเพื่อจะไปขอความช่วยเหลือจากชาวบ้านแถวนั้น เพราะรถมอเตอไซต์มันพังจะขี่ต่อก็ไม่ได้
แต่ก็ปรากฎว่าไม่นาน ไอ้คนร้ายสองคนนั้นมันก็ขี่รถย้อนกลับมาอีกรอบ คราวนี้เราสองคนต่างกลัวมากค่ะ คิดว่าหรือมันจะกลับมาทำอะไรไม่ดีกับเราแน่ๆ เลย จึงรีบวิ่งหลบเข้าไปตรงพงหญ้า ซึ่งจังหวะนั้นคิดว่าคงไม่น่ารอดแล้วหล่ะค่ะ
ทีนี้สายตาเราเกิดเหลือบไปมองข้างทางที่มันเป็นเหมือนโรงงาน และตรงจุดนั้นก็มีศาลาไม้เก่าๆ อยู่หลังนึง คล้ายศาลาพักคอยรถ
แล้วภาพที่เรากับเพื่อนเห็นก็แทบช็อคเลยค่ะ เมื่อมีผู้ชายคนนึงเขานั่งอยู่ตรงศาลาแห่งนั้น ที่น่ากลัวก็คือชายคนนั้นไม่มีหัว..!!
ตอนนั้นเรากับเพื่อนทั้งกลัวก็กลัว แต่ก็กลัวไอ้คนร้ายสองคนนั้นมากกว่า ไม่รู้จะทำไงดี จึงยกมือพนมแล้วพูดลอยๆ ไปว่า
“ขอให้พี่ช่วยหนูด้วยเถอะ หนูคิดว่าพี่ก็คงจะโดนคนร้ายทำร้ายมาเหมือนกันถึงได้เป็นสภาพแบบนี้ ถ้าพี่ช่วยพวกหนู แล้วเดี๋ยวหนูจะทำบุญไปให้..”
พอเราพูดจบก็เห็นคนร้ายนั้นส่องไฟมา แต่มันน่าแปลกตรงที่พวกนั้นกลับส่องเลยเราไป ทำราวกับว่าไม่เห็นพวกเรายังไงยังงั้นเลยค่ะ จากนั้นสักพักพวกมันสองคนก็ขี่รถออกไป
ตอนนั้นหนูกับเพื่อนสองคนโล่งใจเลยค่ะ แต่พอหันกลับไปดูที่ศาลาใหม่ ปรากฎชายไม่มีศรีษะร่างนั้นก็ยังคงนั่งอยู่ที่เดิมเหมือนเดิม..!!
พวกเราเลยรีบวิ่งออกไปแบบไม่รู้จะไปขอความช่วยเหลือจากใครดี จนสักพักก็ไปเจอรถพ่วงคันนึงจอดอยู่และก็มีผู้ชายเป็นคนขับนั่งอยู่ในรถด้วย
ตอนแรกก็นึกหวั่นๆ ว่าจะไปขอความช่วยเหลือเขาดีไหม เกิดเจอคนไม่ดีเข้าอีกจะยุ่ง แต่สุดท้ายเราก็เข้าไปขอความช่วยเหลือค่ะ และก็โชคดีที่พี่คนนั้นเขาช่วยพวกเราไว้และยังพาเราไปแจ้งความกับตำรวจที่ สน. อีกด้วย
พอไปถึงที่ สน. เราก็ได้เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ตำรวจฟัง รวมไปถึงเรื่องที่เจอชายไม่มีหัวนั่งอยู่ตรงศาลาแห่งนั้นด้วย
เราถามคุณตำรวจว่าตรงจุดนั้นก่อนหน้านี้เคยมีอุบัติเหตุ หรือมีเรื่องราวอะไรรึเปล่า ? คุณตำรวจเขาก็เล่าว่าก่อนหน้านี้เคยมีผู้ชายขี่รถมอเตอไซต์มาทางนี้คนเดียวดึกๆ และเกิดมีคู่อริขี่รถตามมา แล้วเอามีดฟันซะจนหัวขาด เหตุเกิดตรงใกล้ๆ กับที่พวกเราโดนคนร้ายจี้นั่นแหละค่ะ..!
พวกเราสองคนพอได้ฟังนี่ถึงกับขนลุกซู่เลย และพอตอนเช้า เราสองคนก็เลยชวนกันไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้กับดวงวิญญาณของชายหัวขาดผู้นั้น ที่อย่างน้อยเขาก็มาช่วยเรา ซึ่งถ้าในวันนั้นเขาไม่ช่วย พวกเราอาจจะเจออะไรที่มันเลวร้ายไปกว่านั้นรึเปล่าก็ไม่มีใครทราบค่ะ เรื่องราวทั้งหมดก็มีเท่านี้..
ส่วนตัวคิดว่าเรื่องแบบนี้มีจริง ดวงวิญญาณของชายหัวขาดผู้นั้นเขาอาจมาช่วย และทำให้น้องผู้หญิงสองคนรอดมาจริงๆก็ได้ แต่อีกส่วนนึงอาจเป็นเพราะดวงของทั้งคู่จะยังดีอยู่ก็ได้เช่นกัน ก็เลยไม่เจออะไรที่หนักกว่านี้..
ท้ายสุดอยากจะบอกทุกคนว่า มิจฉาชีพมันน่ากลัวกว่าเรื่องผีเยอะ เวลาเดินทางไปไหนมาไหนก็ใช้ความระมัดระวังกันด้วยนะครับ
ขอขอบคุณเรื่องเล่าที่คัดสรรจาก”เดอะช็อค”
ถ่ายทอดขัดเกลาเป็นงานเขียนโดยลุงเชิงโกดังหลอน เพจสยองขวัญวาไรตี้