เปิดเรื่องหลอนวันนี้ ขอนำเสนอเรื่อง เชื่อกูหรือยัง? จาก อังคารคลุมโปง ทางช่อง AtimeOnline เป็นเรื่องที่คุณบอยได้รับฟังมาจากเพื่อนร่วมงานอาชีพเดียวกัน ในช่วงที่คุณบอยยังทำงานกำจัดปลวกอยู่ เพื่อนคนนี้ชื่อว่าพี่เอ วันนั้นทั้งสองได้มีโอกาศพบปะกันพอดี จึงนั่งกินข้าวคุยเรื่องสัพเพเหระกันไปเรื่อย ปรากฏว่าคุยกันไปคุยกันมาคุย กลายเป็นคุยเรื่องผีเฉยเลย
พี่เอถามคุณบอยว่า เฮ้ยถามจริงๆ ทำงานฉีดปลวกกลางคืนแบบนี้เคยเจอผีบ้างไหม คุณบอยก็บอกว่า “โอ้โหพี่ อย่าให้ผมพูดเลย เจอเป็นประจำ” แล้วคุณบอยก็ถามพี่เอกลับไปว่า “แล้วพี่ล่ะ เจอบ้างไหม พี่เอก็เลยบอกว่า “เคยเจอครั้งหนึ่ง แต่เป็นครั้งเดียวที่ทำให้พี่จำมาจนถึงทุกวันนี้เลย เองอยากฟังไหมละ” คุณบอกก็บอกว่า “ขนาดนั้นเลยหรอ จัดไปพี่”
พี่เอเล่าให้ฟังว่า มีอยู่ครั้งหนึ่งแกได้ไปรับงานแถวลาดพร้าว ลูกค้าคนนี้ชื่อพี่นุ้ย แกทำธุรกิจสถานบันเทิง ซึ่งปกติแล้วก่อนที่จะเข้าไปทำงานจะต้องโทรนัดหมายลูกค้าล่วงหน้าก่อน พี่เอก็ได้โทรนัดวันเวลาที่จะเข้าไป ระบุเวลาเข้าทำงานตี 1 สาเหตุที่ต้องนัดเวลานี้ เพราะเป็นสถานบันเทิง จึงจำเป็นต้องรอให้ร้านปิดก่อน ถึงจะเข้าไปทำงานได้
พอถึงวันนัดหมาย ก่อนจะเดินทางไปหาลูกค้า พี่เอก็ได้โทรแจ้งลูกค้าว่ากำลังจะเข้าไปแล้วนะครับ ช่วยเตรียมสถานที่ให้ด้วย เพราะควันและยาฉีดยาฆ่าแมลงที่มันจะเหม็นมาก
ปรากฏว่าพอพี่เอโทรไปแล้ว ทางลูกค้าไม่รับสาย โทรยังไงก็ไม่รับสาย ตอนนั้นเวลาประมาณตี 1 กว่าแล้วด้วย พี่เอโทรอยู่นานจนเกือบตี 2 แกก็เลยตัดสินใจว่าจะไปหน้างานเลยดีกว่า ขับรถไปถึงหน้างานประมาณตี 2 นิดๆ ผู้คนละแวกนั้นหลับกันหมดแล้ว ในซอยเงียบมาก มีรถของพี่เอจอดอยู่เพียงคันเดียว
พอมาถึงหน้าร้านพี่เอพยายามโทรหาพี่นุ้ยเจ้าของร้านอีกรอบ แต่โทรยังไงก็โทรไม่ติดเหมือนเดิม จึงลงไปด้อมๆมองๆอยู่หน้าร้าน ปรากฏว่าประตูทางเข้าหน้าร้าน ซึ่งเป็นประตูกระจกแบบผลักเข้าผลักออก ถูกเปิดแง้มไว้อยู่
พี่เอพยายามชะโงกมองไปมา แล้วจู่ ๆ ประตูก็ถูกเปิดออกมา มีผู้ชายคนหนึ่งสวมหมวก ใส่เสื้อกล้าม กางเกงยีนเดินออกมา และถามพี่เอว่า
พี่ผู้ชาย : “เฮ้ย!! ไอ้หนุ่ม มาทำอะไรดึกๆดื่นๆ”
พี่เอ : “อ๋อ…พอดีผมนัดกับพี่นุ้ยไว้ว่าจะมาฉีดปลวกตอนตี 1 ครับ แต่ผมโทรหาพี่แกไม่ติดเลย”
พี่ผู้ชาย : “อะไรนะ พูดอีกทีซิ”
พี่เอ :“ผมนัดกับพี่นุ้ยไว้ครับว่าจะมาฉีดปลวกที่นี่”
พี่ผู้ชายพูดออกมาด้วยอาการตกใจเล็กน้อย : “เฮ้ย!! เอ็งยังไม่รู้หรือไงว่าพี่นุ้ยเขาตายไปตั้ง 3 วันแล้ว”
พี่เอ : “อะไรนะ ตาย 3 วัน ตายยังไงพี่”
พี่ผู้ชายก็เล่าให้ฟังว่า “มีอยู่คืนนึง พี่นุ้ยแกกำลังเดินข้ามถนน แต่คงเพราะความเพลียหรือล้าจากการทำงาน เดินข้ามถนนไปไม่มองทาง ปรากฏว่ามันมีรถคันหนึ่งวิ่งมาด้วยความเร็ว ชนเข้ากับพี่นุ้ยเต็มๆ จนร่างกระเด็นไปไกล เสียชีวิตคาที่เลย”
พี่เอ : “จริงหรอพี่ เป็นไปไม่ได้ เมื่ออาทิตย์ที่แล้วผมยังคุยกับแกอยู่เลย แกจะปุบปับไปได้อย่างไร”
พี่ผู้ชาย : “อืมมม เอาอย่างนี้แล้วกัน ช่างมันเถอะ เอ็งจะเข้ามาทำงานใช่ไหม มา เดี๋ยวพี่เปิดไฟให้ ทำงานเสร็จจะได้แยกย้ายกันกลับ”
ด้วยความที่พี่เอแกยังงวยงงสงสัยกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เดินกลับไปขนอุปกรณ์จากรถแล้วเดินเข้าไปในร้านเลย
อาคารแห่งนี้เป็นอาคารพาณิชย์ 5 แถว สูงประมาณ 5 ชั้น แต่ด้านได้ทุบกำแพงกั้นออก เพื่อให้สามารถทะลุหากันได้หมด ภายในถูกตกแต่งใหม่ทั้งหมดให้กลายเป็นสถานบันเทิง มีร้านอาหาร มีคาราโอเกะ เคาน์เตอร์บาร์ ดนตรีสด นั่งฟังเพลงชิว ๆ พอพี่เอแกเดินเข้าไปปรากฏว่าพี่ผู้ชายได้หายไปแล้ว
“อ่าวหายไปไหนละ ไฟก็ยังไม่เปิด แล้วจะทำงานอย่างไง”
พี่เอยืนงงอยู่ภายในร้านท่ามกลางความมืดครู่นึง ไม่นานไฟก็ถูกเปิดขึ้น แต่สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าทำเอาพี่เอตกใจสุดขีด เพราะมันร่างของพี่นุ้ยที่กำลังยืนมองอยู่แก!! พี่เอเห็นพี่นุ้ยก็ตกใจนึกว่าเจอผี จึงทิ้งข้าวของวิ่งตาลีตาเหลือกออกมาจากร้าน พอพี่นุ้ยเห็นพี่เอวิ่ง พี่นุ้ยก็ตกใจวิ่งตามพี่เอมาหยุดอยู่ตรงมุมมืดตรงประตูหน้าร้าน แล้วถามพี่เอว่า “เฮ้ยเป็นไร เอเป็นอะไร” แต่วินาทีนั้นพี่เอเอาแต่ตะโกนบอกว่าผี ๆ ๆ อย่างเดียว
“อะไรนะผี ใครเป็นผี เอ็งจะบ้าหรอพี่เป็นคน” พี่นุ้ยบอกกับพี่เอ
พี่เอที่อยู่ในอาการตกใจกลัว ยืนขาสั้น กำลังคิดอยู่ว่าจะเอายังไงดี จนพี่นุ้ยบอกว่า “ถ้าไม่เชื่อ เอก็เข้ามาจากตัวพี่ดูสิ”
ด้วยความที่พี่เอเคยได้ยินเรื่องราวต่างๆนาๆมาว่า ผีเนี่ยตัวมันจะเย็น พอพี่นุ้ยยื่นแขนมา พี่เอก็เลยเอามือไปจับดู ปรากฏว่ามือพี่นุ้ยยังอุ่นๆอยู่
“นี่ไงพี่เป็นผีไหมล่ะ”
“เออไม่ใช่ว่าพี่ แต่มีคนบอกว่าพี่ตายไป 3 วันแล้วนะ”
“ใคร พี่คนไหน”
“ก็พี่ผู้ชายคนที่สวมหมวกใส่เสื้อกล้ามไงพี่”
พี่นุ้ยที่ยืนอยู่ในมุมมืดของร้านก็บอกว่า “เอาอย่างนี้ ตามพี่มา เดี๋ยวพี่พาไปดูอะไร” พี่เอตัดสินใจอยู่นานก่อนที่จะตอบตกกลง เดินตามพี่นุ้ยเข้าไปในร้าน
ภายในอาคารพาณิชย์นี้ ตรงกลางจะทำเป็นบันไดขึ้นลงแบบสวนกัน ด้านซ้ายและด้านขวาจะเป็นทางรูปตัวยูแนวนอน ถ้าเดินตรงไปจะวนกลับมาเจอกับบันไดตรงกลาง
พี่นุ้ยแกใส่ส้นสูง เวลาเดินจะได้ยินเสียงดัง แต็ก แต็ก แต็ก ทั้งสองคนเดินเข้าไปในร้าน พี่นุ้ยเดินหน้าขึ้นไปชั้นบน พี่เอก็เดินตามพี่นุ้ยไปเรื่อย ๆ แต่พยายามเดินห่างๆ เพราะยังไม่มั่นใจว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้านั้นคือคนหรือผีกันแน่
ระหว่างที่กำลังเดินจากชั้น 2 ขึ้นไปชั้น 3 หางตาพี่เอจะเห็นเงาดำตะคุ่ม ๆ อยู่ตลอดเวลา จนเกิดความกลัว พอหันกลับมาอีกทีพี่นุ้ยก็เดินหายไปซะแล้ว
พี่เอตะโกนบอกพี่นุ้ยว่า รอด้วยยยย และวิ่งตามไปจนถึงชั้น 5 แต่ไม่เจอพี่นุ้ย ไม่รู้ว่าแกหายไปไหนแล้ว จึงพยายามเดินหา จนไปเจอห้องห้องหนึ่ง ในห้องนี้มันมืดสนิท แต่ยังพอสังเกตได้ว่าน่าจะเป็นห้องที่เอาไว้เก็บข้าวของที่ชำรุดหรือพัง เช่นพวกโซฟาที่หักหรือขาด
พี่เอจึงหยิบไฟฉายขึ้นมาแล้วส่องเข้าไปในห้องนั้น แล้วค่อยๆเดินเข้าไป ระหว่างที่สายตามองไปรอบๆห้อง เหมือนแกเตะเข้ากับอะไรบางอย่าง ฟังจากเสียงที่กระทบเท้าน่าจะเป็นขวดแก้ว พอแกเอาไฟฉายส่องดูก็เห็นว่ามีขวดระเนระนาดเต็มพื้นห้องไปหมดเลย
เมื่อแกสาดไฟฉายส่องไปทั่วห้อง ก็ต้องตกใจยิ่งกว่าเดิม เพราะที่พื้นห้องมันมีทั้งขวดน้ำแดง มีส้มเน่าๆ และพวงมาลัยเก่าๆวางกระจัดกระจายเต็มไปหมด แต่สิ่งที่ทำให้พี่เอขนลุกยิ่งกว่า คือเมื่อแกส่องไฟฉายไปตรงสุดกำแพงท้ายห้อง มีรูปขาวดำของใครบางคนวางทิ้งอยู่ที่พื้น พอเพ่งมองดูชัด ๆ ทำเอาแกถึงกับช็อกไปเลย เพราะคนในรูปนั้น เป็นคนคนเดียวกับที่แกเจอตอนแรก คนที่ใส่เสื้อกล้ามและสวมหมวกเปิดประตูให้แกนั่นเอง
พี่เอขนลุกขนชันไปทั้งตัว “อยู่ไม่ได้แล้ว!! ต้องรีบออกไปจากที่นี่” ในขณะที่กำลังเก็บของเดินออกจากห้อง จู่ ๆ แกก็ได้ยินเสียงรองเท้าส้นสูงของพี่นุ้ย แต๊ก แต๊ก ดังมาจากชั้นล่าง แกก็คิดในใจว่า “อีกแล้วนะพี่นุ้ยอีก ลงไปตอนไหนวะ ไม่รอกันบ้างเลย”
พี่เอวิ่งลงบันไดไปตามเสียงร้องเท้าส้นสูงของพี่นุ้ย จนเห็นเงาแว๊บๆของพี่นุ้ยอยู่ตรงชั้น 3 จึงเดินเลี้ยวไปตามทางรูปตัวยู ปรากฏว่าแกเห็นหลังไว ๆ ของพี่นุ้ยเดินหายไปตรงทางโค้งพอดี พี่เอเดินตามไปจนถึงทางโค้ง แล้วแกก็ต้องหยุดเดิน เพราะได้ยินเสียงส้นสูงๆดังมาจากไกล ๆ
พี่เอยืนนิ่งอยู่ตรงทางโค้ง สักพักแกก็เห็นพี่นุ้ยเดินออกมาจากห้องสุดท้ายก่อนที่จะถึงบันได และกำลังจะเดินลงไปข้างล่าง คราวนี้จังหวะนรกมาก เมื่อแกเห็นผู้ชายที่ที่สวมหมวกใส่เสื้อกล้ามคนเดิมกำลังเดินขึ้นมา สวนทางกับพี่นุ้ยที่กำลังเดินลงไป
ระหว่างที่เล่าอยู่ พี่เอก็ถามคุณบอยว่า “ไอ้บอย ถ้าเป็นมึง มึงจะลงหรือจะขึ้น” คุณบอยก็ตอบว่า “ถ้าเป็นผม ผมก็ต้องลงตามพี่นุ้ยไปดิพี่ เพราะตัวแกยังอุ่นๆอยู่” พี่เอบอก “ใช่ กูก็ต้องลงตามพี่นุ้ยไง”
พี่เอตัดสินใจวิ่งลงบันไดตามเสียงส้นสูงของพี่นุ้ยไป ปรากฏว่าพอวิ่งลงมาถึงชั้น 1 พี่นุ้ยก็หายไปอีกแล้ว และที่สำคัญประตูกระจกหน้าร้าน มันถูกล็อคลูกบิดจากข้างในไว้อยู่
“ใครเป็นคนล็อควะ” พี่เอคิดในใจ
พี่เอบิดลูกบิดแล้วเปิดประตูออกมา ในขณะที่กำลังวิ่งออกไป ท่ามกลางความมืด ที่ถนนพี่เอได้ยินเสียงรถ เบรคเสียงดังเอี๊ยดดดดดด ตามด้วยเสียงดังโครม พี่เอคิดว่าต้องเกิดอุบัติเหตุกันแน่ ก็เลยวิ่งตามเสียงนั้นไป ปรากฏว่าบนถนนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย รถก็ไม่มี อุบัติเหตุก็ไม่มี
พี่เอ งงไปหมดว่าคืนนี้ตัวเองกำลังเจอกับอะไรอยู่ แกความรู้สึกว่าอยู่ต่อไม่ไหวแล้ว จึงวิ่งกลับมาที่รถ เพื่อกลับบ้าน ปรากฏว่ากุญแจรถไม่อยู่ที่ตัว แกนึกได้ว่ากุญแจรถอยู่ในกระเป๋าเอกสารและของทุกอย่างที่วางอยู่ในร้าน เท่ากับว่ามีทางเดียวที่จะกลับบ้านได้ คือแกต้องกลับเข้าไปในร้านอีกครั้ง เพื่อเอากุญแจและข้าวของทุกอย่างออกมา
พี่เอก็ถามคุณบอยอีกว่า “ถ้าเป็นมึง มึงจะกลับเข้าไปไหม”
“โหพี่ จังหวะนี้ ถ้าเป็นผม ผมทิ้งรถแล้วโบกแท็กซี่กลับบ้านดีกว่า พรุ่งนี้เช้าค่อยกลับมาเอา”
“ตอนนั้นมันตี 2 จะตี 3 แล้ว ถนนมันเงียบกริบ หมายังไม่มีมาเดิน มันจะมีรถให้กูโปรกไหมล่ะ”
พี่เอก็เลยตัดสินใจกลับเข้าไปในร้านอีกครั้ง พอพี่เอเข้าไปในร้านเก็บข้าวเก็บของเสร็จ และกำลังจะแบกกลับออกมา เสียงส้นสูงของพี่นุ้ยก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง เสียงมันดังมาจากทางหน้าร้าน แต่คราวนี้เสียงเดินมันผิดแปลกไปจากครั้งก่อน ๆ คือเหมือนคนที่เดินขากระเพกกระเพก
จังหวะนั้นพี่เอมองไปที่หน้าร้าน ปรากฏร่างของพี่นุ้ย เดินกระเพกอยู่บนถนน ขาผิดรูปและแขนผิดรูป เลือดไหลเต็มหัวเต็มหน้า กำลังเดินลากขาผ่านหน้าร้านไป
พี่เอตกใจมาก สั่นกลัว มือไม้อ่อนจนทำของทุกอย่างที่ถืออยู่ในมือหล่นลงดังปัง!! นั่นทำให้ร่างอันน่ากลัวของพี่นุ้ย หยุดเดินอยู่ตรงหน้าประตูร้านประมาณ 5 วิ และค่อย ๆ เดินผ่านไป พี่ช็อก ยืนตัวแข็ง ทำอะไรไม่ถูก ในหัวนี่สับสนไปหมด และในความมืดนั้น จู่ ๆ แกก็รู้สึกได้ว่ามีคนกำลังยืนอยู่ด้านหลังของแก ตามมาด้วยเสียงกระซิบบอกข้างหูว่า “มึงเชื่อกูหรือยัง” เท่านั้นแหละ พี่เอก็ภาพตัดสลบล้มลงกับพื้นเลย
เช้าวันรุ่งขึ้น พี่เอรู้สึกตัวอีกทีก็พบว่าตัวเองอยู่ที่โรงพยาบาลแล้ว มีแม่บ้านและพนักงานในร้านอยู่ 2-3 คนยืนรอบ ๆ เตียงแกอยู่ แม่บ้านถามพี่เอว่า เป็นอะไรเกิดอะไรขึ้น แล้วทำไมถึงไปนอนอยู่ในร้านอย่างนั้น พี่เอก็ถามว่าแกมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร
แม่บ้านจึงเล่าให้ฟังว่า ประมาณตี 5 กว่าเกือบจะ 6 โมงเช้า แม่บ้านมาทำงานตามปกติ ซึ่งตอนมาถึงประตูมันร้านยังล็อคอยู่ พอไขกุญแจเปิดประตูเข้าไป ปรากฏว่าเห็นพี่เอนอนอยู่ที่พื้น ก็ตกใจ จึงโทรเรียกพนักงานในร้านให้ช่วยโทรแจ้งตำรวจ และเรียกรถพยาบาลให้มาที่ร้าน พอรถพยาบาลมาถึงก็พาตัวพี่เอมาส่งที่โรงพยาบาล
ป้าแม่บ้านถามว่า มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมคุณเอไปนอนอยู่ตรงนั้น พี่เอก็เล่าให้ฟังหมดทุกอย่างว่าแกเจอพี่นุ้ย ทุกคนที่ได้ยินถึงกับเอามือทาบอกแล้วอุทานออกมาพร้อมกันว่าถามว่า ตายแล้ว!! ป้าแม่บ้านบอกว่า คุณนุ้ยตายไปตั้งแต่ 3 วันที่แล้วนะ โดนรถชนตายแถวหน้าร้านนี่แหละ ตายคาที่เลย
พี่เอก็ถามต่อว่า แล้วผู้ชายที่สวมหมวกใส่เสื้อกล้ามคนนั้นล่ะเป็นใคร? แม่บ้านก็ถามว่า เดี๋ยวนะคุณเอ เจอผู้ชายใส่หมวกใส่เสื้อกล้ามด้วยหรอ พี่เอก็บอกว่า ใช่ๆ ผมเจอคนนั้นแหละ เขามาเปิดประตูให้ผมเข้าไปทำงาน
“โอ้โหเว้ย คุณเอเอ้ย 2 เด้งจริงๆเลย”
“ทำไมหรอป้า”
“ผู้ชายคนนั้นเขาเป็นช่างซ่อมบำรุงอยู่ในร้านนั่นแหละ”
คือในร้านมันจะมีเบรกเกอร์ไว้สำหรับเปิดไฟ อยู่ 2 ชั้น คือชั้นที่ 1 กับชั้นที่ 5 ซึ่งบนชั้น 5 เบรกเกอร์ตัวนี้มันจะอยู่ในห้องเก็บของ ปรากฏว่าไม่รู้ช่างคนนี้ไปทำอีท่าไหนโดนไฟดูดตายในห้องเก็บของนั้นเลย หลังจากนั้นก็คือเฮียนมาก บางคนก็เห็นว่าพี่คนนี้เดินขึ้นลงบันได บางทีก็สวิตซ์ไฟเปิดปิดเอง บางทีก็ดับทั้งร้าน พอขึ้นไปดู ปรากฏว่าเบรคเกอร์มันถูกสับลง
ด้วยความที่เจ้าของไม่กลัวเรื่องพวกนี้เท่าไหร่ แกก็เลยทำพิธีเซ่นไหว้และบอกดวงวิญญาณของช่างคนนี้ว่า “อยู่ที่นี่อยู่ได้นะ แต่ต้องช่วยดูแลร้านด้วย” จึงเป็นที่มาของเรื่อง “เชื่อกูหรือยัง!!”
ขอขอบคุณที่มาเรื่องเล่าจากรายการ อังคารคลุมโปง ช่อง AtimeOnline เชื่อกูหรือยัง? | คุณบอย ฉีดปลวก
กดฟัง : เชื่อกูหรือยัง? | คุณบอย ฉีดปลวก อังคารคลุมโปง
บทความ Rewrite ห้ามนำไปเล่าลง Youtube หรือ พอดแคสต์