วัดบ้านนอกวัดหนึ่งแถวอุตรดิตถ์ มีพระอยู่วัดประจำเพียงรูปเดียว นานทีจะมีพระมาจำพรรษาสักรูป อย่างผมเป็นต้น ผมบวชที่วัดอื่น (เพราะหลวงพี่รูปเดียวพรรษายังไม่ถึงสิบปีและ ยังไม่ได้เป็นเจ้าอาวาส) แล้วก็มาจำพรรษาที่นี่ เหตุเพราะเป็นวัดที่อยู่ท้ายหมู่บ้านที่พ่อเคยเกิด และเติบโต อีกทั้งปู่ย่าก็ยังอยู่ที่นี่ เมื่อบวชที่กรุงเทพฯแล้ว จึงมาอยู่ที่วัดนี้
พระรูปเดียวของวัดชื่อหลวงพี่สุก บวชได้หกพรรษา เจ้าอาวาสคนก่อนมรณภาพไปตามสังขาร สภาพวัดก็ทรุดโทรมไปตามกาลเวลา ไม่เคย มีผ้าป่ามาทอดนานแล้ว อุโบสถก็เก่า ไม่ต้องพูดถึงศาลาการเปรียญที่สภาพราวกับศาลาที่พัก ผู้โดยสารเก่าๆ แม้แต่กุฏิ ที่หลวงพี่สุกอยู่ก็เอียงไปข้าง
ผมบวชอย่างตั้งใจหาความสงบจริงๆ ขนหนังสือธรรมะมาเกือบร้อยเล่ม ตั้งใจว่าบวชให้ครบพรรษา หลวงพี่สุกกับผมทำวัตรเช้าร่วมกันแล้วก็ออกบิณฑบาต กลับวัดมาก็ฉัน หากบิณฑบาตมาได้น้อยเพลก็หุงข้าวฉันเอง นานๆที จึงมีชาวบ้าน มาถวายเพล ตกเย็นมาก็ทำวัตรเย็นร่วมกัน
ผมจึงมีเวลามากมายให้อ่านหนังสือธรรมะ เพราะกิจวัตรวนเวียนเช่นนี้แทบไม่มีกิจอื่นมาแทรกเลย เด็กวัดไม่ต้องพูดถึง จึงเป็นการบวชที่สงบแสนสงบมาก ถ้าไม่เพราะไปเจอกุฏิหนึ่งเข้า เป็นกุฏิ ที่สภาพดีกว่าทุกสิ่งปลูกสร้างภายในวัด แต่กลับปล่อยทิ้งไว้ไม่ใช้งาน ผมถามหลวงพี่สุกเรื่องกุฏินี้ กลับได้คำตอบว่า
“อย่าไปยุ่งเลย”
“ทำไมครับ”
“อย่าไปยุ่งเลย” หลวงพี่ตอบแค่นี้แล้วไม่พูดอีก
บ่ายวันนั้นผมจึงไปทำความสะอาดกุฏิ แล้วคืนนั้นผมมาจำวัดที่กุฏินี้โดยไม่ได้บอกหลวงพี่
กุฏินี้ใช้ไม้เต็งเป็นโครงสร้าง พื้นปูด้วยไม้ประดู่ ลายไม้สวยงามมาก ดูจากสภาพเหมือนบ้านไม้เก่าที่คนยกถวายวัดมากกว่าจะสร้างเป็นกุฎิมาแต่แรก เพราะมีห้องหลายห้อง ทั้งเรือนมีหน้าต่างหลายบาน
คืนนั้นผมนอนห้องด้านหน้าสุด ทั้งกุฏิมีสี่ห้อง แล้วก็มีห้องโถง ก่อนจะมาเป็นชานที่กว้างพอสมควร สามารถใช้กุฏินี้เป็นศาลาอเนกประสงค์ของวัดได้เลยด้วยซ้ำ
ผมเช็ดทำความสะอาดกุฏิ กว่าจะเสร็จก็เย็น ขนหนังสือธรรมะเข้ามาก็ค่ำ จึงไม่ได้ไปทำวัตร แต่หลวงพี่สุกก็ไม่ได้มาตาม
ผมจำวัดเร็วกว่าทุกคืนเพราะล้าจากการทำความสะอาด แต่หลับไปได้ไม่นานก็ได้ยินเสียง ผู้หญิงมาเรียก จึงลงไปดู ก็พบผู้หญิงสาวสวยคนหนึ่งกวักมือเรียก แต่แล้วเธอก็หายวับไปต่อหน้าต่อตา
ตอนแรกผมนึกว่าตาฝาดจึงขึ้นไปจำวัตรต่อ สักครู่ได้ยินเสียงพื้นยวบยาบเหมือนมีคนเดินขึ้นมาบนกุฏิ ผมจึงลุกขึ้น เปิดประตูกุฏิ เดินออกไปดู เห็นผู้หญิงคนเดิม ยืนมองหน้าผมแล้วพูดเสียงเบาๆ “ออกไป”
แล้วเธอก็หายวับไปอีก ผมกลับมาในกุฏิ ปิดประตู ทว่าเสียงเธอยังคงดังก้องวนเวียนรอบตัวผม “ออกไป ออกไป ออกไป”
จากนั้นเธอก็ไปปรากฏที่ริมหน้าต่าง จากบานนี้ไปบานนั้น แล้วก็มาโผล่ตามมุมต่างๆ ของกุฏิ ผมเกิดมาไม่เคยเจอผีมาก่อน กลับต้องมาเจอตอนบวช ผมตัดสินใจนั่งสมาธิแผ่เมตตาให้เธอ แล้วเธอก็ไม่มาปรากฏให้เห็นอีกตลอดคืนนั้น
รุ่งเช้าผมรอหลวงพี่สุกบิณฑบาตด้วยกันอยู่นานก็ไม่มาเสียที ผมจึงออกบิณฯ คนเดียว กลับมาถึงวัดก็ไปตามที่กุฏิให้มาฉัน เพราะนึกว่าหลวงพี่อาจจะป่วย แต่กลับพบจดหมายเขียนทิ้งไว้ว่าจะไปบ้าน โยมแม่เสียสี่วัน ฝากวัดด้วย ผมก็ไม่ได้คิดอะไร
จนกระทั่ง ช่วงกลางคืน หลังผมจำวัตรเสร็จ เธอมาหลอกผมอีก เธอเดินหิ้วหัวตัวเองไปมาบนกุฏิ ผมจริงนั่งหลับตา ทำสมาธิแผ่เมตตาอุทิศให้เธอ ระวังนั้นผมเหมือนได้ยินเสียงเธอ เดินวนไปมาอยู่รอบตัวผม จนใกล้สางเธอก็หายไป
แล้วคืนต่อมาเธอก็มาอีก แต่หนักกว่าเดิม เธอเดินเหยียบแผ่นกระเบื้องบนหลังคาดัง ก็อกแก็ก ไปมาตลอดทั้งคืน ผมลืมตาดูเป็นบางครั้ง แล้วก็นั่งสวดภาวนาและแผ่เมตตาให้เธอต่อ บางทีเธอก็มา กระซิบให้ผมเสียสมาธิในการสวด ว่า “ออกไป ออกไป” อยู่นั่นแหละ เรียกได้ว่าทั้งกวนทั้งตามหลอกหลอนไม่เลิกไม่ลา
วันที่หลวงพี่สุกกลับมาเราถึงได้คุยกัน หลวงพี่สุกเล่าให้ฟังว่า “ที่เจอนั่นคือสีกาดาวเรือง เรือนนั้นเป็นของเธอมาก่อน พอเธอป่วยตาย เรือนนั้นก็ว่าง สามีของสีกาดาวเรืองเสียชีวิตไปก่อนหน้าหลายปีแล้ว เธอมีลูกชายเพียงคนเดียวก็ไปเรียนหนังสือกับป้าที่กรุงเทพฯ
เธอออกมาหลอกมาหลอนคนที่ผ่านหน้าบ้านเธอประจำ บางคนก็เห็นเธอยังคงเดินวนเวียนไปมาอยู่ในบ้าน จนในผ่านไปหลายปีลูกชายของเธอเติบโตเป็นหนุ่ม ก็กลับมาขายบ้าน แต่เจ้าของใหม่แต่ละคนก็อยู่ได้ไม่นาน เพราะผีดาวเรืองเฮี้ยนมาก ตามหลอกหลอนจนเจ้าของคนสุดท้ายตัดสินใจยกเรือนให้วัด
ทางเจ้าอาวาสท่านก่อน จึงนำไม้จากบ้านของเธอมาสร้างเป็นกุฏิ แต่ถึงกระนั้นแม้อยู่ในเขตวัด วิญญาณสีกาดาวเรืองก็ไม่ลดความเฮี้ยนลงเลยแม้แต่น้อย ตามมาหลอกพระที่จำวัตรที่กุฏินั้น จนสุดท้ายก็ต้องปล่อยทิ้งไว้ ว่าแต่หลวงพี่รู้เรื่องแล้วจะยังจำวัตรอยู่ที่วัดนี้ต่อไหม”
“ต่อครับ” ผมตอบหลังพี่ไปอย่างนั้น
หลวงพี่สุกยิ้มแล้วไม่พูดอะไรต่อ
หลังจากนั้นสีกาดาวเรืองก็ยังมาหลอกหลอนผมอีกนานนับสัปดาห์ ผมก็นั่งแผ่เมตตาให้เธอทุกคืน กระทั่งคืนสุดท้ายที่เธอมาปรากฏตัวอย่างเรียบร้อย ยกมือพนมไหว้ผมในฐานะสมณะ แล้วพูดว่า “ขอบคุณนะหลวงพี่ ฉันได้รับผลบุญแล้ว ต่อไปนี้จะไม่มารบกวนอีกเลย ฉันเห็นความตั้งใจดีของหลวงพี่แล้ว” พูดจบสีกาดาวเรืองก็กราบสามครั้งก่อนจะหายไป…
ทุกวันนี้วัดได้รับบูรณะจนดีขึ้น กุฏินั้นได้รับการทำนุบำรุงเป็นหอไตร ผมแวะเวียนไปทอดผ้าป่าหนังสือธรรมะทุกปี หลวงพี่สุกก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาส มีทั้งพระเณรหลายรูปและเด็กวัดหลายคน วัดกลายเป็นวัดมากขึ้น…และนี้คือเรื่องราวทั้งหมด
Cr. นทธี ศศิวิมล