เธอชื่อว่า…เสียงเรียกจากแม่น้ำ

เธอชื่อว่า
เธอชื่อว่า

เรื่องนี้มีเค้าโครงจากเรื่องจริง  แต่ได้รับการแต่งเติม เพื่ออรรถรสในการอ่าน ขอให้อ่านเพื่อความบันเทิงเท่านั้นนะคะ 😊😊

คุณเชื่อเรื่องพรหมลิขิตมั้ยคะ เรามีเรื่องจะมาเล่า เราเกิดมาพร้อมกับ สัมผัสพิเศษอย่างหนึ่ง คือ มักจะได้ยินเสียงเรียกชื่อตัวเอง หรือเสียงเตือนบางอย่าง มันจะดังก้องๆอยู่ในหัว บางครั้งคล้ายเสียงกระซิบ ใกล้ๆหู แต่บางครั้งก็เป็นเสียงตะโกน เสียงนั้น เป็นเสียงผู้หญิงค่ะ จะได้ยินเฉพาะก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ สำคัญๆ เท่านั้น ไม่ได้ยินพร่ำเพรื่อนะคะ 

เมื่อเล็กๆจะคิดมาตลอดว่าคือเสียงแม่ แต่พอหันกลับไปดูรอบๆตัว ก็ไม่เห็นใคร ก็แปลกใจหลายครั้ง แต่เพื่อความสบายใจ ก็คิดว่าแม่ พอมีเรื่องราวเกิดขึ้นหลายเรื่อง จนโต และได้กลับไปถามแม่ ทำให้รู้เรื่องราวอีกหลายๆอย่าง จึงนำมาปะติดปะต่อ จนทราบว่า มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ

ตอนแม่ตั้งท้องเรา แม่ฝันว่ามีผู้หญิง สวยมาก ผิวพรรณผุดผ่อง ถือดอกบัวสีทองมาให้แม่ ในฝันนั้น เธอพูดกับแม่ บอกแม่ว่า เธอชื่อ ……แต่แม่จำไม่ได้ หลังจากคลอดเรา แม่ได้พาเรา ไปให้หลวงพ่อท่านหนึ่งที่ครอบครัวเราเคารพ เพื่อให้ท่านตั้งชื่อ แม่บอกว่าจำความรู้สึกตอนนั้นได้ดี ท่านมองนานมาก ตรวจดูดวงชะตา แล้วท่านก็บอกว่า เด็กคนนี้ สัญญายังไม่ขาด ให้ดูแลให้ดีและให้ห่างจาก น้ำ ซึ่งแม่ไม่ค่อยเข้าใจ

ท่านเหมือนรู้ว่าแม่ไม่สบายใจ บอกแค่ว่า เราก็อย่าไปทำพิธีอะไรให้มันมากมาย ให้ทำบุญเยอะๆ แล้วท่านก็ตั้งชื่อให้ พร้อมแปลให้ว่า ผู้มีผิวพรรณ ผุดผ่องเหมือนดอกบัว แม่ถึงกับขนลุกซู่ เมื่อได้ยินความหมายของชื่อนั้น ใจก็นึกถึงผู้หญิงสาวสวยที่ฝันครั้งแรกตอนตั้งท้องเรา ช่างบังเอิญอะไรเช่นนี้

วันเวลาผ่านไป แม่คงลืมๆและคลายความวิตกกังวลไป ในที่สุด จนเราอายุได้ 7 ขวบ เราและครอบครัวได้มีโอกาสไปเที่ยวทะเลที่บางแสน จำวันนั้นได้ดี และยังจำได้จนถึงปัจจุบัน วันนั้นเป็นครั้งแรกที่ได้ยินเสียง เธอ ผู้นั้น ด้วยความเป็นเด็กเห็น ทะเลครั้งแรก ก็วิ่งสิคะ รออะไร ขณะที่กำลังวิ่งลงไป ได้ยินเสียงเรียกชื่อ เล่น ของตัวเอง แล้วบอกว่า หยุด!!..อย่าลงไป!!

เราก็เบรค ดังเอี๊ยด หันกลับไปดู คิดว่าต้องเป็นแม่ แน่ๆ แต่ภาพที่เห็น คือ แม่เดินตามหลังมา พร้อมกับ พ่อ คุยกันกระหนุงกระหนิง ไม่ได้มีทีท่าว่า เรียกเรา แม้แต่น้อย … ก็ออกจะ งงๆๆ แต่ เด็ก อ่ะนะ ไปต่อ รอ อะไรล่ะคะ

กระโดดตูมลงไป พร้อมห่วงยาง แต่หารู้ไม่ว่า ร่างอันผอมแห้ง ของตัวเอง หลุดลงไปตรงกลางห่วงยาง แล้วจมลงไปใจหายวาบ เพราะ เท้าไม่แตะพื้น วินาทีที่อยู่ใต้หวงยางอันใหญ่ และหนักนั้น คว้าอะไรสะเปะสะปะไปหมด หายใจไม่ออก คิดแน่ๆ ว่าจะตายแล้ว ทันใดนั้น ก็มีมือคู่หนึ่ง ฉุดเราขึ้นมา พ่อนั้นเอง ทุกคนตกใจมาก เพราะคิดว่าเราอยู่ในห่วงยาง แต่ผลุบหายไปได้อย่างไง ถือว่าเป็นวินาที เฉียดตาย จริงๆ …. และก็เป็นอย่างที่คิดค่ะ แม่ไม่ให้เราลงเล่นอีกเลยและวันรุ่งขึ้น ก็เดินทางกลับ ทั้งที่เพิ่งมาได้วันเดียว

เมื่อกลับมาบ้าน แม่เหมือนคิดอะไรได้ สั่งห้ามไม่ให้เราไปเล่นแถว แม่น้ำ หรือออกบ้านโดยไม่มีแม่ ข้างๆบ้านตา ติดกับแม่น้ำสายเล็กๆ ใส สะอาด เด็กๆในหมู่บ้าน มักจะไปเล่นกัน และหัดว่ายน้ำ เราอยากเล่นมาก อ้อนวอน ขอแม่เท่าไหร่ก็ไม่เป็นผล แม่ไม่ยอม และแม่ก็ไปเชิญ อาจารย์ที่นับถือ มาทำพิธีๆหนึ่ง

ตามความเชื่อของคนภาคเหนือ จะมีความเชื่อว่า เด็กหลายคนจะหนี พ่อ เกิด แม่เกิดมา แล้วถ้าเขาตามเจอ เขาก็จะเอากลับคืนไป จึงจะมีพิธีหนึ่งเรียกว่า ตัดพ่อเกิด แม่เกิด โดยจะเตรียมของเซ่นใส่ใน หาบที่ทำจากต้นกล้วย และคานเป็นก้านกล้วย หลังทำพิธีเสร็จ จะให้พ่อ เอาหาบไปทิ้ง ที่ลับตา ขั้นตอนสำคัญอยู่ที่การทิ้งหาบ นี่แหละค่ะ หลังจากวางแล้ว ต้องใช้มีดตัดคาน ก้านกล้วยให้ขาดจากกัน แล้วหันหลังกลับ ห้ามมองเด็ดขาด

พอพ่อกลับมาจากการทิ้งหาบ สีหน้าไม่สู้ดี เข้าไปคุยกับแม่เบาๆเราแอบเห็นแม่ร้องไห้ แล้วไม่พูดอะไรอีก

จนล่วงถึงเราอายุ 12 ปี วันนั้นมีงานศพของญาติสนิทที่อยู่ต่างอำเภอ แม่จึงไปพร้อมกับพ่อ ทิ้งเราเฝ้าบ้านคนเดียวโดยบอกว่าจะกลับตอนดึกๆหน่อย

คืนนั้นมีเหตุการณ์ประหลาดอยู่อย่างหนึ่ง จำได้ว่าเป็นหน้าหนาว อากาศหนาวเย็นจับใจ แต่พอเราเข้านอน กลับรู้สึกร้อนไปหมด ร้อนจนไปเอาพัดลมมาเปิด คือมันแปลกตรง พอเราออกจากห้อง มันเย็น ยะเยือก แต่พอกลับเข้าห้องนอนกลับร้อนขึ้นมาซะงั้น

พอล้มตัวลงนอนสักพัก ก็รู้สึกง่วงมากๆๆ ตอนนั้นประมาณ ทุ่มหนึ่ง คิดว่าจะนอนเล่น ๆ ปรากฎว่า เผลอหลับไปนอนใหน ก็ไม่ทราบได้ แต่รู้ว่าหลับลึกมาก แล้ว จู่ๆก็สะดุ้งจนสุดตัว เพราะได้ยินเสียงเรียกดังก้อง เหมือนอยู่ข้างๆหู….ตื่น …ต่อด้วยชื่อเรา เราผลุดลุกขึ้นนั่ง แล้วก็ต้องตกใจแทบสิ้นสติ สิ่งที่เห็นคือ

ไฟใหม้ค่ะ ใหม้จนลามมาที่นอน ควันโขมง คละคลุ้ง ไปหมด ด้วยความตกใจ กระโดดลงจากเตียง แล้ววิ่งมาตรงใกล้ๆประตู ทั้ง งง ทั้งกลัว จำต้นชนปลายไม่ถูก ใจเต้นไม่เป็นส่ำ เห็นเปลวเพลิงโหมขึ้นเรื่อยๆ

วินาทีนั้นเหมือนได้ยินเสียงกระซิบ “ ผ้า ..ดับไฟ” เรา ตั้งสติ มองเห็นกองผ้าห่ม ที่ยกออกมาวางไว้ตรงมุมห้อง (เพราะร้อน) เลยคิดได้ ใช้ผ้าดับไฟ จนมอด แล้ววิ่งไปชั้นล่าง หิ้วถังน้ำในห้องน้ำ มาดับ วิ่งขึ้นวิ่งลง จนไฟดับ สนิท ทิ้งไว้แต่ควัน

อีกไม่นาน พ่อ กับแม่ก็กลับมาจากงาน พอมาถึงบ้านตกใจมาก แต่เห็นเราไม่ได้เป็นอะไรก็ดีใจ พอแกขึ้นไปที่ห้องนอน ก็เห็นรอยใหม้แค่บริเวณที่นอน เป็นรอยคล้ายตัวคน นึกออกมั้ยคะ เหมือนมันใหม้รอบๆตัวเรา สันนิษฐานแค่ว่า อาจมาจากพัดลม มอเตอร์ใหม้ แล้วลามไปติดผ้าม่าน แต่เราไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆเลย

เช้าวันรุ่งขึ้น แม่จึงพาเราไปหาหลวงพ่อ พอไปถึงวัด ก็เจอพระลูกศิษย์ ท่านบอกว่า หลวงพ่อ อาพาธ ไม่รับแขกมาหลายวันแล้ว แม่รู้สึกผิดหวัง แต่ก็ไม่เซ้าซี้ พาเราเดินกลับ ไปที่รถ พอกำลังจะออกรถ ก็มีพระอีกรูปวิ่ง กระหืดกระหอบเข้ามา เรียก “ป้าๆ หลวงพ่อฝากของมาให้” แล้วก็ยื่น สร้อยพร้อม ล้อคเก็ต ให้ โดยไม่รู้ว่าข้างในเป็นอะไร

“ หลวงพ่อบอก ให้ลูกป้าห้อยคอไว้อย่าถอด แล้วก็ต่อไปนี้ ไม่ใช่แต่ น้ำ หมดจาก ไฟ ก็ยังมีอะไรอีก ให้ทำบุญเยอะๆ”

ว่าแต่ หลวงพ่อรู้ได้อย่างไร ว่าเพิ่งเราเพิ่งเจอไฟใหม้บ้าน  แม่หันไปถามพระลูกศิษย์ หลายอย่าง แต่ท่านส่ายหน้า บอกไม่รู้ รู้แค่ที่หลวงพ่อ ฝากมาบอกเท่านั้น แม่เอาสร้อยแขวนให้เรา ดูสีหน้าสบายใจขึ้น

อีกไม่กี่เดือนผ่านไป แม่ก็ได้ทราบข่าวร้าย ว่าหลวงพ่อ มรณภาพแล้ว แม่เสียใจมาก บางครั้งก็แอบบ่นให้เราฟังว่า ต่อไปนี้จะไปพึ่งใคร ได้ มีแต่ท่านที่รู้ และเข้าใจ

หลังจากเกิดเหตุการณ์ไฟใหม้ แม่ก็ดูวิตกกังวลไปทุกเรื่อง จนเราต้องบอกแม่ว่า หลวงพ่อให้ของมาคุ้มครองแล้ว แม่จะกลัวไปทำไม ก็เหมือนจะทำให้แม่สบายใจขึ้น แต่เรื่องราวมันมีภาคต่อค่ะ เหมือนมันรอจังหวะและไม่ยอมจบ

เมื่อเราอายุย่าง 15 ปี อยู่ชั้น ม.3 ทางโรงเรียนได้จัดไปเข้าค่ายพักแรม ลูกเสือ เนตรนารี โดยไปพักที่ อุทยานแห่งชาติ นอนค้างหนึ่งคืน ก่อนไปแม่กำชับนักหนาว่า ห้ามถอดสร้อยคอเด็ดขาด จริงๆแม่ไม่อยากให้ไปด้วยซ้ำ แต่เราอยากไปมาก เลยบอกแม่ว่า ถ้าไม่ไปเดี๋ยวครูไม่ให้ผ่านต้องมาซ่อมนะ แม่ก็เลยจำใจอนุญาต

เมื่อมาถึง อุทยาน คุณครูก็ให้จับกลุ่มกัน เต้นท์ ละ 3 คน เราอยู่กับเพื่อน ฝาแฝด ชื่อ นิด กับ หน่อย ด้วยความที่นิด กับหน่อย อ้วน ส่วนเราผอมเป็นกุ้งแห้ง ก็เลยให้เรานอนตรงกลาง ตรงประตูพอดิบพอดี โดยมี นิด กับ หน่อย นอน ขนาบข้าง

หลังจากกางเต้นท์เสร็จ คุณครูก็เรียก รวมแถว เพื่อเตรียมตัวไป แอดเวนเจอร์ ตามด่านต่างๆ เราจำได้ว่า ช่วงนั้นเป็นช่วงหน้าหนาว อากาศค่อนข้างเย็น เพราะอุทยานที่ไปพักแรมอยู่สูงเป็นอันดับต้นๆของเมืองไทย ที่เราจะเห็นน้ำค้างแข็งหรือแม่คะนิ้งได้ค่ะ

ที่พักจะจัดเป็นเต้นท์แยก ลูกเสือ กับ เนตรนารี ออกสองฝั่ง มีเต้นท์ ครูอยู่รอบๆ และมีอาคารเอนกประสงค์อยู่ทางด้านหลัง ที่พิเศษอีกอย่างหนึ่งคือมีน้ำตก และลำธารเล็กๆไหลอยู่ด้านข้าง ครูฝึก รวมทั้ง เจ้าหน้าที่อุทยาน ย้ำว่า เราสามารถเล่นน้ำตรงลำธารได้ แต่ห้ามเดินอ้อมไปที่ด้านหลังอุทยาน เพราะตรงนั้นจะเป็นเวิ้งน้ำค่อนข้างลึก ตอนไปเดินเล่นกับเพื่อนๆ เห็นเพื่อนๆ โดยเฉพาะพวกผู้ชายเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน น้ำสูงแค่หน้าแข้งเองค่ะ เย็นเจี้ยบ ใส จนเห็นทรายละเอียด สวยนะคะ แต่ทำไมเรารู้สึกใจมันหวิวๆก็ไม่รู้ เลยเดินขึ้นมา

กิจกรรม ผ่านไปอย่างสนุกสนาน จนถึงงานรอบกองไฟ เคยเข้าค่ายลูกเสือใช่มั้ยคะ มันจะเป็นธีมที่ว่า พอเริ่มงานรอบกองไฟ ก็จะดับไฟแล้วก็ค่อยๆจุดไฟนั่นแหละค่ะ ที่เราเริ่มรู้สึกว่ามีเรื่องที่ไม่ปกติเกิดขึ้น

เราอยู่ในกลุ่มเดียวกันกับ นิด และหน่อย นั่งอยู่แถวด้านหลังโดยที่เพื่อนในกลุ่มประมาณ 10 คน เมื่อครูฝึก ค่อยๆหรี่แสงไฟลง เรามองไปตรงลาน มึดๆ แต่ก็จะพอมองเห็น แบบเป็นเงาตะคุ่มๆ เราเห็นคนยืนอยู่ตรงกลางลาน ตัวสูง ใหญ่ รู้สึกขนลุกซู่ แต่เมื่อกระพริบตาอีกครั้ง ร่างนั่นก็หายไปพร้อมกับกองไฟถูกจุดขึ้น เรารู้สึกใจหายแวบ เอามือขึ้นมาคลำสร้อยที่คล้องคอโดยอัตโนมัติ แต่ คุณพระช่วย สร้อยเราหายไป ไม่ได้อยู่ที่คอเหมือนเดิม เราเริ่มใจคอไม่ปกติ พยายามมองหา ค้นโน่นนี่ สะกิดไปถามนิด กับหน่อย ทั้งสองคนก็ปฏิเสธว่าไม่เห็น บอกเราว่า มันหลุดหายตอนเล่นด่านแต่ละด่านหรือปล่าว

หลังจากจบกิจกรรมรอบกองไฟ ครูก็ให้แยกย้ายเข้านอน เราสามคน ก็คุยกันเรื่องสร้อยของเรา นิด ปลอบใจเราว่า พรุ่งนี้เราลองไปถามครู อาจมีใครเก็บได้ตอนนี้ดึกแล้ว ด้วยความเหนื่อย บวกกับความง่วง เราสามคนก็หลับไปอย่างง่ายดาย

เรารู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้งตอนดึกสงัด เพราะความหนาว มองขึ้นไปตรงหลังคาเต้นท์ เห็นคล้ายๆหยดน้ำเกาะเต็มไปหมด เราหนาวๆมากจนตัวสั่น มองดูนิด กับหน่อยที่นอนข้างๆ ทั้งสองคนดูจะหลับอย่างมีความสุข แต่ทำไมเราหนาว หนาวอย่างนี้ เรากอดผ้าห่ม ไว้แน่น พยายามข่มตาลงให้หลับ สักพักรู้สึกว่าตัวเองร้อนผ่าวไปหมด ลองเอามือจับตรงคอดู รู้สึกร้อนมาก จึงรู้ว่า เป็นไข้แน่ๆ ก็เลยสะกิด เรียกเพื่อนทั้งสองคน เพื่อจะให้ไปขอยาครู แต่เรียกเท่าไหร่ก็ไม่ตื่นเลย สองคนนี่ ขี้เซาจัง

เราออกมาจากเต้นท์ มองไปรอบๆหาครู เห็นครูผู้หญิงคนหนึ่งเดินผ่านมาพอดี จึงเรียกคุณครู บอกว่าตัวร้อนเป็นไข้ ขอยา ครูบอกว่าเดินตามมาสิ ขณะที่เดินตามหลังคุณครูอยู่นั้น เรารู้สึกปวดหัวมาก แทบจะระเบิด ตาเริ่มพร่า คิดว่าไข้คงจะขึ้นสูง

เดินไปเรื่อยๆเห็นหลังครูอยู่ เมื่อกี้ อ้าวตอนนี้ครูหาย เราเริ่มมึนๆ พยายามมองหาครู อีกครั้ง

“เธอๆมาตรงนี้สิ “เสียงเรียกครูนี่ แต่มันเย็นๆ เย็นวาบเข้าไปถึงในใจ เราค่อยๆเดินตามไป ทำไมเวลามันเหมือนผ่านไปช้าๆ 

ตัวก็ร้อน แต่ทำไมขามันถึงเย็น เย็นลามขึ้นมาเรื่อยๆ เย็นมาก เย็นจนสั่น รู้สึกขาเริ่มแข็ง ก้าวไม่ออก

“เธอ ….เดิน…มา…เร็ว …สิ “ เสียงเนิบๆเย็นๆ ดังแผ่วๆเหมือนผ่านมาตามสายลม

ขณะที่กำลังพยายาม ก้าวไปข้างหน้า อย่างลำบากยากเย็น เสียงที่คุ้นเคยก็ดังขึ้น “อย่า ๆไป” เสียงเหมือนคลื่นแทรกวิทยุ ที่ดังซ่าๆๆสลับ กับเสียงพูด

“ตูม” เสียงที่ดังขึ้นทำเราสะดุ้งขึ้นสุดตัว เป็นเสียงอะไรบางอย่างที่ถูกโยนลงไปในน้ำ

“เธอ มาทำอะไรตรงนี้ รู้มั้ยว่ามันอันตราย” เสียงครูตะโกน  แล้วครูก็คว้าแขนเราเดินขึ้นมา สติสัมปชัญญะกลับมาอีกครั้ง เรามองไปรอบๆ พระเจ้าช่วย !! เราเดินอยู่กลางแม่น้ำ มาจนถึงเวิ้งลึกนั้น เราเดินมาได้อย่างไร มิน่าถึงเย็นไปจนขาแข็งหมดแล้ว

“ นี่ถ้านิด หน่อย ไม่ไปเรียกครู ครูก็มาไม่ทันเธอเนี่ย เธอเดินตามครูมา ครูก็กำลังไปหยิบยามาให้ แต่หันกลับมาก็ไม่เห็นเธอแล้ว ทำไมถึงเดินมาถึงที่นี่”

ครูบ่นเราชุดใหญ่ แล้วคืนนั้นครูก็ให้เรานอนในเต้นท์ของครู จนรุ่งเช้าไข้เราก็ไม่มีทีท่าว่าจะลดลง คุณครูจึงพาเรากลับลงมาเพื่อไป โรงพยาบาล แล้วเราก็เป็นไข้ ไม่สบายหยุดเรียนไปหนึ่งอาทิตย์เต็มๆ

เมื่อกลับมาเรียนอีกครั้ง เราจึงไปหานิดกับหน่อย เพื่อขอบคุณ ที่ไปเรียกคุณครู ให้ตามเราไป ไม่งั้นเราคงไม่มีชีวิต มาถึงวันนี้ แต่คำตอบที่ได้รับคือ นิดกับหน่อยบอกว่า ทั้งสองนอนหลับสนิททั้งคืน ไม่ได้ออกไปใหน !! แล้วใครล่ะ

ครั้งเกิดเหตุที่ค่ายบนอุทยานนั้น แม่พยายามถามถึงเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น แต่เราตัดสินใจที่จะไม่บอกแม่ เล่าเพียงแค่ว่า เราไม่สบายเพราะตากน้ำค้าง เลยเป็นไข้ เพราะไม่อยากให้แม่ไม่สบายใจ และคอยวิ่งวุ่น ไปทำโน่น ทำนี่ อาจเป็นเพราะเราเริ่มโต และมีความเชื่อมั่นอยู่ลึกๆว่า ผู้หญิงคนนั้นคอยช่วยเหลือเรา แม้จะมาเพียงเสียง 

เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างดูราบรื่น แม่ก็วางใจว่าไม่มีอะไรแล้ว เพราะเราก็พ้นช่วงวัยเด็ก ก็น่าจะพ้นภัยที่มองไม่เห็น แต่จริงๆแม่ไม่รู้ ที่เหมือนไม่มีอะไรเพราะเราเลือกที่จะไม่เล่า พร้อมที่จะเผชิญทุกอย่างด้วยตัวเอง

เรื่องราวทิ้งช่วงไปประมาณ 3ปี จนเราได้มาศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย ในช่วงปี1 คงรู้กันอยู่ว่ากิจกรรม เพียบ น่าตื่นเต้น ตื่นตาตื่นใจไปหมด เหมือนบ้านนอกเข้ากรุง เราเข้าร่วมกิจกรรมชมรมอาสา ที่จะมักจะมีกิจกรรมไปพัฒนาโรงเรียน สถานที่ที่ค่อนข้าง ทุรกันดาร อะไรประมาณนั้น แต่เราชอบค่ะ สนุกดี

กิจกรรมที่ถูกจัดขึ้นตอนปิดเทอม ในช่วงปี 1 คือไปพัฒนาสถานปฏิบัติธรรมแห่งหนึ่งในจังหวัดกาญจนบุรี โดยที่รุ่นพี่เป็นคนจัดการทุกอย่าง เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอยู่ที่ใหน เพราะถ้ารู้มาก่อนว่าเป็นสถานที่นั้น จะไม่ไปเลย

เมื่อไปถึงจึงพบว่าเป็นสถานที่ อยู่บริเวณหลังเขื่อน ถ้าจะไปต้องนั่งเรือหางยาวเข้าไป น้ำเป็นอะไรที่ลึกมาก…ใส …เย็นเฉียบ มองลงไปเห็นเป็นเงาสะท้อน ออกหลอนๆ เราไม่ค่อยชอบน้ำอยู่เป็นทุนเดิม การนั่งเรือหางยาวเป็นอะไรที่ทำให้เครียด จนคนที่มารับสังเกตเห็น

“ใส่ชูชีพแล้วไม่ต้องกลัวหรอกครับ “ พี่จากสถานปฏิบัติธรรมพูดขึ้น พร้อมมองเรานิ่งๆ พอเราสบตา รู้สึกเหมือนแกมองเราแปลกๆ เหมือนมีคำถาม ข้อสงสัย แต่ก็ไม่เห็นพูดอะไรต่อ

“ นั่นสิคะ น้อง … กลัวเหรอคะ หน้าซีดจัง ไหวมั้ยคะ”

พี่ผู้หญิงในกลุ่มถาม ดูออกเป็นกังวล จนเราต้องพยายามข่มความกลัว บอกพี่ๆว่า ไม่ได้เป็นอะไร แค่ตื่นเช้าไปหน่อย สงสัยนอนไม่อิ่ม เพื่อไม่ทำให้เสียบรรยากาศในการออกค่าย

ขณะที่เรือวิ่งไป เราอดมองตรงพื้นน้ำไม่ได้ พลางคิดในใจมันจะลึกไปถึงใหนกันนะ …แล้วมันมีความรู้สึกเหมือนมีหน้าคนมองขึ้นมา…เฮ้ย เรารีบหลับตา ถึงไวๆเถอะ

จนกระทั่งไปถึง เรารู้สึกแย่ลงไปอีก เมื่อรู้ว่าเขาให้นอน บนแพ ทุกคนดูกระดี๊กระด๊า มีความสุข สดชื่น จัดข้าวของ ที่นอนกันอย่างสนุกสนาน เสร็จแล้วพี่ผู้หญิง ก็ชวนเราเล่นน้ำ ข้างๆแพนั่นแหละค่ะ พี่ๆผู้หญิงพากันใส่ผ้าถุง แล้วตีโป่ง ลอยกันไป ลอยกันมา ดูแล้วก็น่าสนุกนะคะ เราเห็นอดขำไม่ได้ เราจึงไปนั่งลงข้างๆแพ เราไม่ได้ลงเล่นหรอกค่ะ เพราะว่ายน้ำไม่เป็นแต่ก็ลองเอาเท้าแช่ลงไปในน้ำ…หูย เย็นอ่ะ พลางมองพี่ๆเล่นน้ำกันเพลินๆ

พอแช่เท้าลงไป เย็นๆๆมันเหมือนตกอยู่ในภวังค์ นั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อย สักพัก มองเห็นเหมือนสาหร่ายสีเขียวๆ เข้มๆ เกือบดำมองไปคล้ายๆเส้นผม แต่สาหร่ายทำไมลอยแปลกๆๆ ลอยวนๆ แล้วก็ใกล้เข้ามาเหมือนเคลื่อนที่ได้

“ เอาขาขึ้น!!” เสียงเธอที่คุ้นเคย ดังก้องอยู่ในหัว เรารีบกระตุกขาขึ้นจากน้ำ เหมือนประสาทอัตโนมัติทำงาน ใจเต้นตึกตัก พลางคิดอะไรว้า แต่ไม่น่าเป็นสิ่งที่ดี

แล้วเสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นเกือบจะพร้อมๆกัน

“ ช่วยด้วย พี่…. จมน้ำ” พี่ผู้ชาย2-3คน ที่อยู่บริเวณนั้น รีบวิ่งมาแล้วกระโดดลงไปช่วย

เรามองเห็นแต่พี่ผู้หญิง สองคน ปีนขึ้นแพ แข้งขาสั่น ลงไปสามคน หายไปหนึ่งคน พี่… นั่นเอง

“พี่… ว่ายน้ำแข็งมากนะ เล่นกันอยู่ดีๆ เห็นอีกทีก็จมลงไป!!” พี่อีกสองคนพูดเสียงสั่น เหมือนจะร้องไห้

“ช่วยได้ยัง” “เจอ ยัง” “อยู่ไหน” เสียงใครต่อใคร ดังขึ้นเต็มไปหมด เอาใจลุ้นไปกับเหตุการณ์ช่วยชีวิต ที่อยู่ข้างหน้า

เราเหมือนถูกมอง เราหันกลับไปเห็นพี่ผู้ชายที่เป็น นักปฏิบัติธรรม ที่ไปรับเรา ส่งสายตาบางอย่าง แล้ว พยักหน้า

“ อะไร ??”เราคิดในใจ แล้ว แวบหนึ่งก็เหมือนมีคลื่นแทรก “ ขอชีวิตเค้า เค้าเป็นตัวตายแทนเรา”

เรารู้สึกชา วาบไปทั้งตัว น้ำตาจะไหล ยกมือขึ้นมาไหว้ แล้วทำใจนิ่งๆเป็นสมาธิ คิดในใจ “ เธอ ช่วยพี่เขาด้วยเถิด อย่าให้เขาต้องมาตายเพราะเรา” คิดซ้ำไปซ้ำมา โธ่พี่…. อย่าเป็นอะไรไปนะ ไม่งั้นเราคงรู้สึก บาปไปทั้งชาติ

“เจอแล้ว … ช่วยหน่อย” พี่ผู้ชายที่ลงไปช่วย ลากร่างหนึ่งขึ้นมา หลายคนรีบเข้าไปรับ แล้ววางร่างซีด ขาว นั้นบนแพ เธอนิ่งไม่ไหวติง เหมือนไม่หายใจด้วยซ้ำ 

ปฏิบัติการกู้ชีพ เริ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เราเฝ้าภาวนา พี่ฟื้นสิๆๆ “ ไม่ต้องกลัว” เสียงเธอกระซิบ เหมือนปลอบใจ

“หายใจแล้ว” เสียงพี่ๆดีใจ กันใหญ่ ช่วยกันพาไปโรงพยาบาล พร้อมกับ ความโล่งใจ ของทุกคน

ค่ายอาสาดูเหมือนจะไปต่อไม่ได้ เมื่อเกิดเหตุการ์ณแบบนี้ พวกพี่ๆจึงเห็นควรให้ยกเลิก แล้วเดินทางกลับทันที

“น้องครับ “ พี่นักปฏิบัติธรรมนั่นเอง

“คะ”

“ น้องมี องค์เหรอครับ?”

“เออ.. ไม่นะคะ ไม่มีค่ะ ” เราออกอาการ งง เมื่อถูกถามแบบนั้น

พี่เขาก็มอง เหมือนพินิจ พิจารณา

“ คือตอนที่พี่ไปรับน้อง พี่เห็นมีผู้หญิงสวยมาก รัศมีเป็นสีทอง เดิน ตามน้องตลอด เลยคิดว่าน้องน่าจะมีองค์”

เรารู้สึกขนลุกซู่ นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนเห็น เธอคนนั้น เธอมีตัวตนจริงๆเหรอ เราไม่ได้คิดไปเอง แต่เราคิดว่า จะเป็นการดีกว่า ถ้าจะไม่มีคนรู้ หรือไปถึงหูเพื่อนๆ

“ พี่คงตาฝาดไป หนูไม่มีอะไรหรอกค่ะ” เรารีบปฏิเสธ

“ ที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ มันเป็นพรายน้ำ ธรรมดามันไม่เคยมาใกล้สถานปฏิบัติธรรม แต่วันนี้มันตามน้องเข้ามา น้องไม่เป็นอะไร เพราะน้องมีสิ่งคุ้มครอง” แล้วพี่นักปฏิบัติธรรมก็เดินจากไป

หลังจากเหตุการณ์เข้าค่าย ช่วงเปิดเทอมพี่ที่จมน้ำ ก็มาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังว่า ขณะที่เล่นน้ำเพลินๆ จู่ๆก็เหมือนถูกดึงขาลงไปในน้ำ ดิ่งลึกลงไปเรื่อยๆพี่เขาดิ้นสุดแรงก็ไม่หลุด เห็นเหมือนสาหร่ายสีดำๆแผ่ เต็มมึดไปหมด น่ากลัวมากๆ จนพี่รู้สึกว่าถูกดึงขึ้นมา

ทุกคนถามว่าพี่ผู้ชายที่ไปช่วยใช่มั้ย เธอบอกว่าไม่ใช่เป็นแขนผู้หญิง เพราะมีกำไลทองตรงข้อมือ เธอจำได้ติดตา…

ตั้งแต่ตอนแรกๆ ผู้อ่านคงจะจำได้ว่า หลวงพ่อย้ำเตือนให้แม่ทำบุญเยอะๆ และพอเราโตแม่ก็ยังย้ำเตือนอยู่เสมอ จึงทำให้เราเป็นคนที่ทำบุญตลอดเวลาเท่าที่ทำได้ จริงๆลึกๆ หวังว่าผลบุญที่ได้ทำ จะทำให้เราได้ติดต่อและเห็นเธอคนนั้นบ้าง แต่ ไม่เลยค่ะ ไม่เคยแม้แต่ในความฝัน

เมื่อเราเรียนจบ จนเริ่มทำงาน ก็มีวิบากกรรมครั้งใหม่เกิดขึ้นกับตัวเรา คือโรคไมเกรน เป็นโรคที่สร้างความทุกข์ทรมานให้เรามาก รักษาอย่างไรก็ไม่หาย จนมาวันหนึ่งเพื่อนที่ทำงานด้วยกัน ทราบว่าเราเป็น จึงชวนให้ไปรักษากับแพทย์ทางเลือก เป็นอาจารย์คนจีน ท่านเชี่ยวชาญเรื่องฝังเข็ม กับ จัดกระดูก แต่อาจารย์มาเมืองไทยแค่ปีละครั้ง คิวยาวมาก ต้องลุ้น ต้องจองคิวกันข้ามปี เหมือนมีอะไรดลใจเราจึงตอบตกลง ให้เพื่อนจัดการให้

อีกปีต่อมา เราก็ได้คิวไปพบอาจารย์ เราไปกับเพื่อนสองคนค่ะ เมื่อเข้าไปในห้องตรวจ อาจารย์จะอยู่กับผู้ช่วยผู้หญิงสูงอายุ  ที่พูดไทยได้ จะเป็นคนแปลจีนเป็นไทย ใช่ค่ะ อาจารย์พูดไทยไม่ได้

ผู้ช่วยบอกให้เราให้นอนราบบนเตียง หลับตา แล้วบอกให้ทำใจให้สบาย อาจารย์เริ่มการรักษาโดยการวางฝ่ามืออยู่บนเหนือตัวเรา ไม่ได้สัมผัสนะคะ แต่จะรู้สึกได้ว่ามีไอร้อนๆผ่านฝ่ามือลงไป ว่ามันมีพลังงานเคลื่อนผ่านตัวเราไป เหมือนเครื่องสแกนเนอร์

การรักษาผ่านไปประมาณ 30 นาที อาจารย์ก็ให้ลงจากเตียง มานั่งคุยที่โต้ะ เพื่อนถามว่าเป็นไงบ้าง ก็บอกไปตามตรงว่ารู้สึกสบาย สักพักอาจารย์ก็หันไปพูดกับพี่ผู้ช่วยข้างๆแล้วให้แปล มาให้เราฟังอีกที

แกบอกว่า ช่วงที่ทำสมาธิรักษาอยู่ แกเห็นภาพบางอย่างเหมือนนิมิต

แกเห็นโรงฟาร์ม เหมือนฟาร์มปศุสัตว์ มีตะขอเกี่ยวชิ้นเนื้อแขวนเต็มไปหมด พอนึกภาพออกมั้ยคะ ที่เป็นตะขอเหล็กที่ใช้เกี่ยวเวลาเขาฆ่าสัตว์ แกบอกว่าเป็นวิบากกรรมของเราที่เคยทำมา ทำให้เบียดเบียนอายุขัยให้สั้น แต่เราโชคดีที่มีเทพธิดาคุ้มครอง มาแสดงตัวให้แกเห็น อันนี้แกพูดเป็นภาษาอังกฤษเลยค่ะว่า “Your angel !” เชื่อว่าคราวนี้เราจำชื่อเธอแม่นเลยค่ะ 

แกบอกต่อไปว่า โรคกรรมนี่รักษาให้พอทุเลาโดยวิธีปกติได้ แต่จะให้หายขาด เราต้องผ่านการทำบุญครั้งใหญ่ ซึ่งแกบอกไม่ได้ว่าคืออะไร บอกแค่ว่า ถ้าเวลานั้นมาถึงเราจะรู้เอง

หลังจากที่พอทราบสาเหตุ ที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ทั้งหมด เราก็ทำบุญบ่อยขึ้น มากขึ้น ส่วนอาการเจ็บป่วยก็ยังมี สร้างความทุกข์ทรมานบ้างเป็นบางครั้ง แต่ดูห่างๆลง ส่วนเหตุการ์ณเฉียดตาย เจอโน้นเจอนี่ ก็มีมาเรื่อยๆ 

จนกระทั่งเราแต่งงาน แล้วลาออกจากงานประจำมาทำธุรกิจส่วนตัวเมื่อกิจการเจริญรุ่งเรือง ในปีที่ 5 ก็ได้รับข่าวสารจากญาติคนหนึ่ง ชวนไปสร้างถนนเข้าวัดที่ทุรกันดารแห่งหนึ่ง เราจึงตกลง หลังจากงานบุญเสร็จ ก็รู้สึกอิ่มอกอิ่มใจ คิดถึงคำพูดของอาจารย์ที่เคยรักษาเราว่า นี่คงจะเป็นการทำบุญครั้งใหญ่ ของเรา

และก็เป็นจริงค่ะ ค่ำคืนหนึ่งเราฝันถึงเธอคนนั้น เธอผู้สวยงามผิวพรรณผุดผ่อง มีรัศมีสีทองรอบๆตัว เธอเดินเข้ามาหาเรา บอกเราว่า เธอชื่อ…

คุณพระช่วย!! ชื่อเดียวกันกับที่อาจารย์บอก เรารู้สึกตื้นตันใจจนร้องให้ออกมา จนกระทั่งตื่น น้ำตายังไหลอยู่เลยค่ะ

หลังจากนั้นเราก็ตั้งท้องได้ลูกสาวหน้าตาน่ารัก ผิวขาวผ่อง คงเดาได้นะคะว่าเราจะตั้งชื่อเธอว่าอะไร ….

ขอบคุณที่มาสมาชิกพันทิปcookinghero

ติดตามอ่านเรื่องเล่าผีต่อได้ที่ คลังหลอน

Previous articleยุติการเผยแพร่
Next articleเจ็ดวันสืบตาย