เสียงเรียก ภูกระดึง เสียงคนเดินตาม…

เสียงเรียกภูกระดึง

“ภูกระดึง” ตำนานแห่งภูภาคอีสาน เป็นสถานที่เดินป่าขึ้นเขาระดับตำนานรุ่นแรก ๆ นักท่องเที่ยวหลายคนเคยขึ้นมาเป็นผู้พิชิตภูแห่งนี้ มาชมพระอาทิตย์ขึ้นพร้อมทะเลหมอกที่สวยงามภูแห่งนี้  แต่นอกจากจะประทับใจในมนต์เสน่ห์ของธรรมชาติแล้ว ยังมีเรื่องหลอน ๆ มากมายที่เกิดขึ้น ณ สถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังแห่งนี้อีกด้วย และเรื่องที่จะได้อ่านต่อจากนี้คือหนึ่งในประสบการณ์หลอน ๆ ที่เรานำมาฝากทุกคน …

ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 3 ปีที่แล้ว  ราวๆ เดือนพฤศจิกายนก่อนวันลอยกระทง 3 วัน  เรา (ผู้เล่า) นึกสนุกอยากไปพักผ่อนนอนกางเต็นท์กับแฟนที่ต่างจังหวัด  เลยตกลงกันว่าจะไปที่ภูแห่งหนึ่งซึ่งถือเป็นสถานที่ดังที่คนนิยมไปกันค่ะ 

เราสองคนกับแฟนเริ่มหาข้อมูลสำหรับการเตรียมตัวไปที่นี่  พอถึงเวลาก็ออกเดินทาง  โดยขี่รถมอเตอร์ไซต์กันไปนะคะ  มุ่งหน้าไปที่จังหวัดนั้น 

ระหว่างทางเราแวะบ้านญาติเพื่อพักผ่อนที่นั่นก่อนคืนนึง  สาเหตุเพราะไม่อยากขับรถตอนกลางคืน  แล้วพอรุ่งเช้าตื่นมาค่อยเดินทางต่อน่าจะดีกว่า

พอตื่นมาจากตอนแรกกะจะออกจากบ้านญาติตั้งเเต่ 7 โมงเช้า  แต่ด้วยความเหนื่อยเราเลยตื่นสาย  กว่าจะออกจริงๆ ก็ปาไป 9 โมง  แล้วต้องเดินทางต่ออีก 291 กิโลเมตร ไกลพอดูกว่าจะถึงที่หมาย 

เรารีบขี่รถกันไป  แต่ด้วยความที่เป็นมอเตอร์ไซต์จึงต้องขี่ไปพักไป  เพราะกลัวรถจะไม่ไหว  ทำให้ไปถึงที่นั่นสายมากๆ แต่ทันเวลาพอดีเป๊ะๆ แบบว่าถ้าช้ากว่านี้ 1 นาทีก็เข้าไม่ได้แล้ว  เพราะว่าที่ๆ เราไปจะต้องเดินขึ้นเขาไปอีกไกลค่ะ

พอลงทะเบียนอะไรเรียบร้อยแล้ว  ก่อนเดินขึ้นเขาเราก็เตรียมตัววอร์มร่างกายเล็กน้อยและถ่ายรูปกันไปคนละนิดละหน่อย  เสร็จแล้วก็เริ่มเดินทาง

การขึ้นเขาที่นี่เนื่องจากเป็นระยะทางไกล  นักท่องเที่ยวบางคนที่ไม่อยากแบกสัมภาระไปเองก็ต้องจ้างลูกหาบค่ะ  แต่เรากับแฟนไม่ได้จ้าง  เพราะมั่นใจว่าไปไหว

เราเดินขึ้นเขาไปเรื่อยๆ ระหว่างทางข้างหน้าเห็นว่ามีคนกลุ่มนึงประมาณ  3 คน เดินนำหน้าอยู่  ซึ่งตอนแรกกะว่าจะไล่ตามเขาให้ทันเพราะจะได้มีเพื่อน  แต่เราก็ตามคนข้างหน้าไม่ทันสักทีค่ะ  ห่างกันไม่เกิน 300-500 เมตร  แถมพี่ลูกหาบที่ตามมาทีหลังเขาก็บอกว่าเราคือกลุ่มสุดท้าย  ต้องเร่งหน่อยนะ

ซึ่งระหว่างที่เดินขึ้นเราก็ปล่อยให้ลูกหาบเดินเเซงขึ้นไปก่อนราว 4-5 คน  ช่วงระหว่างนั้นเราได้ยินเสียงเหมือนคนคุยกัน  มันคล้ายเสียงสะท้อน   และความที่เราไม่รู้และคิดว่าป่ามันเงียบเสียงก็เลยก้อง  เราเลยพูดกับแฟนออกไปว่า “ได้ยินเสียงพี่เขาด้วย  คุยกันดังมาก555 ” 

อยู่ๆ แฟนเราก็หยุดเดิน  พร้อมมองเราด้วยสายตาตำหนิ  กะซิบบอกมาว่า “จะทักทำไม  ในป่าในเขาแบบนี้ห้ามทัก”  เราก็เถียงกลับไปว่า “เอ้า..เนี่ยไม่ได้ยินเหรอ  ป่ามันสะท้อนอ่ะ”

แฟนเราก็บอกว่า “พี่เขาเดินเลยเราไปไกลแล้ว  ไม่น่าจะใช่  และอีกอย่างอย่าไปทัก  นี่เราอยู่ในป่านะ..!”

และเมื่อเราหยุดเดิน  เสียงที่เราได้ยินก็เงียบไปด้วย  เราจึงพูดขึ้นมาลอยๆว่า “เราไม่ได้ตั้งใจ  เราคิดดีนะ  ไม่ได้อยากรบกวน” (ขอบอกก่อนว่าเราเป็นคนที่มีเซ็นส์นิดนึงนะคะ) 

ตอนนั้นประมาณ 16.00 น.  ซึ่งหน้าหนาวฟ้าก็ใกล้มืด  เรากับแฟนเดินไปเรื่อยๆค่ะ  ระหว่างทางพี่ลูกหาบคอยมาบอกว่าให้รีบเดินหน่อย  เดี๋ยวถ้าไปถึงด้านบนจะมีเจ้าหน้าที่พาขึ้นไปอีก เพราะเวลานี้ใกล้มืด  ที่นี่มันอันตราย 

เราก็รีบเดินตามพี่ลูกหาบไป  ระหว่างนั้นเราสังเกตว่ามีเสียงเหยียบใบไม้ดังตามมาจากข้างหลังด้วย..!  ตอนนั้นเราไม่อยากคิดอะไรมาก  ก็รีบๆ เดินขึ้นไป  พยายามไม่หันไปดู

พอใกล้ถึงจุดที่เป็นบ้านพักเจ้าหน้าที่  เราก็เห็นว่ามีเจ้าหน้าที่คนนึงยืนอยู่  ยืนประจำจุดเช็คความเรียบร้อย เขาบอกเราว่า “เห็นมีช้างป่ามาหากินแถวนี้  รีบเดินขึ้นดีกว่าอีกนิดเดียว”  แล้วเขาก็ให้เจ้าหน้าที่อีกคนนึงเดินขึ้นไปส่ง

ตอนนั้นเวลาประมาณ 19.00 น.  ระยะทางไม่ไกลแต่เป็นการเดินขึ้นที่เหนื่อยมาก  เพราะต้องปีน  ต้องเดินผ่านช่องแคบๆชันๆ แล้วพอฟ้ามืด  ทุกอย่างก็ดูจะชัดเจนขึ้นค่ะ  ที่ว่าชัดคือเสียงเหยียบใบไม้ตามหลังมาที่เราได้ยิน  มันชัดขึ้นๆ ไฟส่องทางมีแค่ของพี่เจ้าหน้าที่คนเดียว  เพราะพวกเราไม่ได้เตรียมตัวที่จะเจอสถานการณ์นี้เลยค่ะ 

เราพยายามไม่โฟกัสกับเสียงเหยียบใบไม้ข้างหลัง  ซึ่งตอนนั้นเราเหนื่อยและปวดขามาก  ทำให้เราเดินๆหยุดๆ ทุกครั้งที่เรานั่งพักจะไม่เกิน 20 วิ  

ซึ่งระหว่างที่พักเราจะได้ยินเสียงเหยียบใบไม้ตามหลังมาตลอดค่ะ  แต่พอหันไปมองก็ไม่เจออะไร..!  ส่วนพี่เจ้าหน้าที่ก็คอยส่องไฟตรวจความปลอดภัยให้ตลอด  มีแต่ความมืดและความว่างเปล่า แต่พอเราเดินต่อ  ก็จะได้ยินเสียงเหมือนอะไรไล่หลังมาอีกและ  คือต้องคอยเดินหนีตลอด 

พี่เจ้าหน้าที่ก็ดูเลิ่กลั่กพิกล  แต่เขาไม่ได้พูดอะไรนะคะ  เรากับแฟนก็ถามเขาว่า “ขึ้นไปส่งพวกเราแล้วต้องเดินกลับลงมาเลยเหรอ?” พี่เขาก็บอกว่า “ใช่” แล้วก็ขำ555..  พวกเราก็โอเค  รีบเดินต่อไป  เพื่อที่ว่าพอเขาส่งเราเสร็จพี่เขาจะได้ไม่ต้องเดินลงมาดึกๆ 

เราถามพี่เขาว่ามีคนเดินดึกสุดที่นี่ถึงกี่โมงค่ะ  เขาบอก 3-4 ทุ่มก็มี  เราก็ใจชื้นนิดนึง  เพราะนี่ก็พึ่งจะทุ่มนิดๆ เอง สรุปเราเดินขึ้นไปถึงข้างบน ประมาณ 20.10 น. เรากล่าวขอบคุณพี่เจ้าหน้าที่  แล้วพี่เขาก็เดินลงไป 

ตอนขึ้นมาถึงข้างบนมีเจ้าหน้าที่ยืนรออยู่คนนึงค่ะ  เพราะเราเป็น 2 คนสุดท้าย  เหมือนส่งต่อเป็นทอดๆ  เพื่อดูแลความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว อะไรแบบนั้น ส่วนตัวคือเราประทับใจมาก  ด้วยความโชคดีของเราหรือเขาอาจจะสงสารเพราะเห็นเราหน้าซีดจากความเหนื่อยก็ได้  จากนั้นเราเลยได้นั่งรถมอเตอร์ไซต์ของพี่เจ้าหน้าที่  ไปจนถึงจุดที่เขากางเต็นท์กันค่ะ 

หลังจากเรากับแฟนกางเต็นท์และจัดการของใช้เรียบร้อย  เราก็ไปหาข้าวทานกัน  ระหว่างนั้นได้คุยกับแฟนว่า “ตอนที่ขึ้นมาบนนี้  ได้ยินเสียงเหมือนที่เราได้ยินไหม?”

แฟนเราบอก “ไม่ได้ยิน  แต่ได้ยินเหมือนเสียงไม้หัก และเห็นเหมือนเงาอะไรโหนตามมา..!” 

เราเลยคุยกันว่า  น่าจะเป็นเจ้าป่าเจ้าเขาหรือเปล่า  เขาคงมาดี  มาส่งเราแหละ  คุยกันเสร็จก็ขนลุกไปตามๆกัน แล้วเราก็เข้าพักผ่อน  

ตอนนอนด้วยความที่ไฟก็ยังส่องสว่างทำให้เต็นท์เราจึงมีเงาสะท้อน  ในช่วงเวลาประมาณเที่ยงคืนถึงตีหนึ่ง  เรารู้สึกคล้ายมีคนมาเดินอยู่รอบๆ เต็นท์  เห็นเป็นเงาผ่านไปผ่านมา..! แต่ช่วงนั้นเหนื่อยค่ะ  เลยหลับไป  ไม่สนใจอะไรแล้ว  จากนั้นก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นจนถึงวันกลับ  

วันกลับ  เราก็เดินลงกันตอน 11 โมง  แต่ดันมามีปัญหาตรงที่เราเกิดข้อเท้าพลิก  ทำให้ลงช้ามากๆ ลากมาจน 16.00 น.  ซึ่งระหว่างทางช่วงที่ใกล้ถึงข้างล่างแล้ว  น่าจะอีกประมาณ 1 กิโล เห็นจะได้ ซึ่งช่วงนั้นเราก็ค่อยๆเดินลงทีละก้าวๆ  ก้มหน้ามองทางไปเพราะเจ็บเท้า  จังหวะนั้นหางตาข้างซ้ายเราก็เหลือบไปเห็นเหมือนว่ามีทางเดินลงไป เมื่อมองตามทางไปก็เห็นว่าตรงนั้นยังมีกระท่อมประมาณ 3-4 หลัง  อารมณ์เหมือนเป็นหมู่บ้านเลย ใกล้ๆ กันยังมีเหมือนศาลสีแดงๆ ด้วย..!

พอเราเห็นแบบนั้นเราก็รีบหันไปมองกะให้เห็นชัดๆ แบบเต็มตาอีกที  แต่เที่ยวนี้กลับไม่มีแล้ว  สิ่งที่เห็นหายไปหมด  มีแต่เหวลึกและไม่มีทางหรืออะไรเลย  นอกจากต้นไม้เต็มไปหมด  (เป็นแค่เสี้ยววินาทีจริงๆที่เราเห็นค่ะ)

เราก็อึ้งไปเลย  แล้วรีบเดินไปหาแฟน  เล่าให้แฟนฟังตอนนั้นเลย  แฟนก็อึ้งไปตามๆกัน  และไม่ได้คุยอะไรกันอีก  จนกระทั่งเดินลงไปถึงข้างล่าง

เวลานั้นประมาณ 18.10 น แล้วเราก็เจอสิ่งที่ทำให้อึ้งเข้าไปอีก คือเราเห็นศาลเจ้าพ่ออยู่หลังนึงที่ใหญ่มากๆ  ศาลนี้สีออกแดงๆอิฐๆ 

เรากับแฟนก็มองหน้ากัน  แล้วยกมือไหว้กันยกใหญ่  แต่ไม่ได้เข้าไปไหว้นะคะ  เพราะเราเจ็บขาและก็เหนื่อยล้าด้วย

เรายังคุยกับแฟนว่า “แล้วทำไมตอนขาขึ้นเราถึงไม่เห็นศาลนี้เลย  ทั้งๆ ที่ใหญ่มาก  มันไม่น่าเป็นไปได้ที่จะไม่เห็น  แถมเรายังไปยืนเลือกไม้ค้ำช่วยในการเดินขึ้นอยู่ตรงนี้ตั้งนาน”

หลังจากกลับจากทริปนี้  เราก็มาหาข้อมูลลึกๆ ของสถานที่แห่งนั้นอีกรอบค่ะ  ค้นหาจากกูเกิล  แล้วไปอ่านเจอข้อมูลในเชิงเรื่องลี้ลับอันนีงเข้า  

เขาว่าบนภูแห่งนั้นมีเมืองลับแลด้วย..!  เราก็เลยนึกสงสัยว่าสรุปที่เห็นตอนขาลงจากภูวันนั้น  นั่นอาจจะเป็นทางเข้าเมืองลับแลหรือเปล่า  เป็นคำถามที่เราก็ยังหาคำตอบไม่ได้จนถึงทุกวันนี้  รวมถึงเสียงเดินตามหลังระหว่างขึ้น  และเงาที่อยู่รอบเต็นท์ด้วยค่ะ..!

ขอบคุณเรื่องจาก สยองขวัญวาไรตี้

Previous articleบ้านหมอเขมร ประสบการณ์บ้านพักสยองขวัญ เกือบเอาชีวิตไปทิ้ง
Next articleวิญญาณสาวอาฆาต ตามขึ้นรถ แถวพระประแดง