อีกหนึ่งกระทู้ผีพันทิปสุดหลอนสยองขวัญระดับร้อยกระโหลก กว่าเจ้าของกระทู้จะพิมพ์จบ คนปูเสื่อรอกันไป 1,300 ความเห็นแล้ว เป็นเรื่องแปลก ๆ ที่เกิดขึ้นกับ จขกท และกลุ่มเพื่อน เมื่อพวกเขาได้เดินทางไปทำงานที่ต่างจังหวัด และได้เข้าพักที่บ้านเช่าหลังหนึ่ง ซึ่งในบ้านหลังนี้จะมีห้องหนึ่งที่ถูกล็อคไว้ไม่สามารถเปิดได้ ตลอดระยะเวลาที่พักอยู่ พวกเขาต้องพบกับเหตุการณ์ประหลาดที่ไม่คาดฝันมากมาย จนนำพาไปสู่บทสรุปที่ไม่มีใครคาดคิด โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน…
เรื่องทีจะเล่าต่อไปนี้ เป็นเรื่องของความเชื่อ เรื่องลี้ลับ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน ดิฉันอายุ 32 ปี ทำงานเป็นพนักงานขายเครื่องสำอางยี้ห้อหนึ่ง ดิฉันมีโอกาศได้ไปทำงานต่างจังหวัดบ่อย ๆ แต่ละจังหวัดที่ไปทำงานนั้น เราจะต้องพักเป็นเวลาหลายวัน ซึ้งที่พักแต่ละที่นั้น มีทั้งดีแหละไม่ดี แต่มีสถานที่หนึ่งนั้น ทำให้ดิฉันลืมมันไม่ลง และจำมันมาถึงทุกวันนี้
ดิฉันกับกลุ่มของดิฉันได้รับหมอบหมายให้ไปประชาสัมพันธ์สินค้า ที่จังหวัดหนึ่งในภาคอีสาน เป็นเวลา 3 วัน ดิฉันได้ให้น้องในกลุ่มหาสถานที่พักเหมือนเคย แต่รอบนี้หาที่พักยากเป็นพิเศษ เพราะเป็นช่วงเทศกาล หาเท่าไรก็ไม่ได้สักที จนมาเจอที่หนึ่ง เป็นที่พักทีห่างจากตัวอำเภอเมืองพอสมควร ที่พักชั้นล่างเป็นปูน ข้างบนชั้น 2 เป็นไม้ ดูรวม ๆ แล้วโอเค เราจึงตัดสินใจพักกันที่นี้ ดิฉันไม่คิดเลยว่า การตัดสินใจครั้ง เป็นการตัดสินใจที่พลาดที่สุดในชีวิต ..
ก่อนการเดินทางทุกครั้ง เราจะรวมกลุ่มไปทำบุญกัน เพื่อเป็นสิริมงคลในการเดินทาง เราเลือกไปทำบุญที่วัดหนึ่งย่านฝั่งธนบุรี ซึ้งเป็นวัดประจำที่เราทำบุญกันก่อนเดินทาง เราเตรียม สังขทาน ดอกไม้ สิ่งของอื่น ๆ ไปถวายพระ ก่อนจะกลับจากวัดนั้น พระท่านได้ทักว่า “รอบนี้พวกเอ็งคงกลับมาไม่ครบทุกคนนะ แล้วแต่บุญวาสนา…”
พวกเราหันหน้ามองกัน พี่คนในกลุ่มเลยถามพระว่า มีอะไรหรือป่าวหลวงพ่อ หลวงพ่อมองหน้า แต่ไม่ได้พูดอะไร หยิบขันพรมน้ํามนต์ มาพรมให้กลุ่มเรา แล้วก็พูดขึ้นว่า อาตมาเป็นพระ พูดอะไรมากไม่ได้หลอก แล้วแต่บุญแล้วแต่กรรมของแต่ละคนในเวลานั้น พวกเราไม่ได้คิดอะไรเลย ยังแซ่วคนในกลุ่มว่า สงสัยพี่ในกลุ่มจะได้เมียเป็นคนอีสาน คงไม่กลับมาทำงานแล้วละ เราพูดคุยกันกันไปอย่างสนุกสนาน
พอดิฉันกลับมาถึงบ้าน เตรียมเสื้อผ้า ของใช้ต่าง ๆ ลงกระเป๋า เพื่อการเดินทางวันพรุ่งนี้ ในช่วงเวลาที่ดิฉันกำลังจะนอนรู้สึกกำลังครึ่งหลับครึ่งตื่นนั้นไม่รู้ว่าฝันหรือป่าว ดิฉันเห็นภาพยายของดิฉัน มาบอกว่า อย่าไปเลย พร้อมกับดึงมือของดิฉันไม่ให้ขึ้นรถตู้ พอพูดจบ ดิฉันก็สะดุ้งตื่น รู้สึกเจ็บข้อมือ รู้สึกปวด ๆ ดิฉันงงว่ามันคือความฝันหรือคิดมากไปเอง เพราะปกติดิฉันไม่เชื่อเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว จึงพยามยามไม่คิดอะไร
พอถึงตอนเช้าก่อนออกจากบ้าน ดิฉันเห็นรูปกลุ่มเราทีถ่ายด้วยกันหล่นพื้น กระจกแตก กระจาย แต่ความที่ด้วยรถตู้มารอรับที่หน้าบ้านแล้ว เลยตะโกนบอกแม่ว่า “แม่ เก็บให้ด้วยนะ เพื่อนมารอรับแล้ว” ดิฉันรีบเอาเครื่องใช้สัมภาระต่าง ๆ ขึ้นรถเดินทางทันที
ขณะที่รถออก ดิฉันมองกลับไปที่บ้าน เห็นคุนยายมายืนอยู่หน้าบ้าน ดิฉันตกใจมาก ตอนนั้นกังวลใจ รู้สึกไม่ค่อยดีกับการเดินทางครั้งนี้ เหมือนมีลางบอกเหตุอะไรสักอย่าง แต่ก็ไม่ได้สนใจ พยายามคิดว่าจะรีบทำงานให้เสร็จแล้วรีบกลับบ้าน
ก่อนที่จะถึงตัวจังหวัด ฟ้าก็เริ่มมืดลงทุกที เพื่อนๆต่างพากันนอนพักผ่อน ดิฉันก็เล่นโทรศัพท์มือถือไปเรื่อยเปลื่อยแล้วรถก็ค่อย ๆ หยุดลง ข้างหน้าได้เกิดอุบัติเหตุขึ้น รถติดยาว และรถของเราก็ได้ขับผ่าน จุดที่เกิดอุบัติเหตุ เห็นเป็นรถเก๋งกับรถมอเตอร์ไซค์ชนกัน คนขับรถมอเตอร์ไซค์ โดนรถที่ขับตามมา เหยียบซ้ำไปครึ่งศรีษะ สมองไหล เป็นภาพที่สยด สยองมาก แต่ที่ผิดสังเกตไปกว่านั้น คือดิฉันเห็นคนยืนใต้อยู่ต้นไม้ กำลังมองมาที่อุบัติเหตุ คนที่มองมาเหมือนคนขับมอเตอร์ไซค์มาก ดิฉันคิดว่าคงใช้แล้วละ ตอนนั้นดิฉันไม่กล้าบอกใครว่าเห็นอะไร ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ข่มตาให้หลับ
ในที่สุดรถก็เข้ามาถึงตัวเมือง เราได้แวะซื้อของกันข้างทาง เพื่อนๆก็เห็นสีหน้าดิฉันไม่ค่อยดี ก็พากันถามว่าเป็นอะไรหรือป่าว ดิฉันก็เลยบอกไม่มีอะไรหรอก ปวดหัวนิดหน่อย ไม่อยากทำให้เพื่อนไม่สบายใจ ในขนะนั้นเอง ดิฉันเห็นเหมือนพี่น้องแฝดในกลุ่ม ทั้ง 2 คน ไม่มีศรีษะ ทำเอาดิฉันตกใจกับภาพที่ได้เห็น ทรุดลงไปกับพื้น ดิฉันเริ่มรู้สึกไม่ดี เลยขอไปนอนพักบนรถตู้ก่อน ทุกคนรีบซื้อของแล้วขึ้นรถตู้ เพราะเริ่มรู้สึกไม่ดีกันแล้ว
ในขณะที่กำลังขับรถไปที่พักนั้น ก็ได้คุยกันว่าเกิดอะไรขึ้น ลุงคนขับตู้ก็บอกว่า รู้สึกไม่ดีตั้งแต่ขับเข้าจังหวัดแล้ว เหมือนมีอะไรสักอย่าง (ลุงคนขับรถตู้ เหมือนเป็นคนมีเซ้นส์เรื่องพวกนี้) เราเลยคุยกันว่ากลับกันก่อนไหม หลังเทศกาลค่อยมาทำงานใหม่ แต่พี่หัวหน้าก็บอกว่ามาขนาดนี้แล้ว จะกลับทำไม อีกอย่างก็ใกล้ถึงที่พักแล้วด้วย วันนี้คงนั่งรถเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว กลับที่พักไปพักกันก่อน พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน สรุปเราจึงเดินทางกันต่อ
ทางเข้าที่พักของเรานั้น สองข้างทางมืดมาก แล้วไม่มีบ้านคนอยุ่แถวนั้นเลย บ้านที่เราพักอยู่ในซอยเปลียว เราขับรถหาบ้านพักตามแผนที่ แต่หาเท่าไรก็ไม่เจอ แล้วมันก็ดึกมากแล้วด้วย เพื่อนทุกคนก็กังวลกัน จนมาเจอบ้านหลังหนึ่งเราเลยจอดถามทางว่า ที่พักของเรานั้นไปทางนั้น ในขนะที่เราบอกชื่อที่พักนั้น ชาวบ้านก็ทำสีหน้าแปลก ๆ แล้วเอามือชี้ไปทางซ้าย บอกเลย 3 แยกไปก่อน บ้านพักอยู่ในซอยขวามือ เราจึงก็ขับไปตามทางที่ชาวบ้านบอก
พอมาถึงพวกเราทั้งหมดก็ตกใจกัน เพราะเมื่อกี้เราก็ผ่านตรงนี้มา แล้วทำไมไม่เจอ น้องในกลุ่มเริ่มสีหน้าไม่ดี เหมือนจะร้องไห้ บอกพี่หัวหน้า หนูไม่อยากพักที่นี้แล้ว รู้สึกไม่ดี แต่หัวหน้าก็ยืนยันคำเดิมว่าเรามาถึงที่นี้แล้ว เราคงต้องเข้าพักแล้ว
พอรถตู้จอดหน้าบ้าน เราก็พากันยกของลงจากรถเพื่อเข้าไปเก็บในบ้าน ขณะที่เดินเข้าบ้านดิฉันสังเกตได้ว่า บ้านหลังนี้เพิ่งถูกตัดหญ้า ทำความสะอาด เหมือนไม่มีคนมาอยู่ที่นี้นานแล้ว หลังยกของเสร็จเราก็จัดแจงแยกย้ายกันพักผ่อน เวลานั้นไม่คิดอะไรแล้ว เหนื่อย อยากพักผ่อนมากกว่า
บ้านมีทั้งหมด 3 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ มีห้องครัว ห้องนั่งเล่น ห้องนอนจะอยู่ข้างบนทั้ง 3 ห้อง ใช้ได้ 2 ห้อง อีกห้องหนึ่งเจ้าของบ้านบอกว่าห้องนี้เป็นห้องเก็บอุปกรณ์ต่าง ๆ เจ้าของบ้านได้ล็อกกุญแจห้องไว้ ห้องที่ดิฉันพักอยู่บนชั้น 2 ติดกับห้องที่ล็อกกุญแจไว้ ส่วนฝั่งตรงข้ามเป็นห้องของพี่น้องฝาแฝด พวกหนุ่ม ๆนอนข้างล่างกัน ทุกคนก็แยกย้ายกันพักผ่อนปกติ ดิฉันก็อาบน้ำนอน เพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าเพื่อเข้าไปทำงานในตัวเมือง..
ในขนะที่นอนอยู่นั้น ดิฉันได้ยินเหมือนเสียงคนเดินลากอะไรสักอย่าง อยู่ที่ห้องข้าง ๆ ดิฉันคิดว่าคงโดนหลอกแล้ว เลยพูดในใจบอกว่า พรุ่งนี้ตอนกลับมาจะซื้อน้ำ ซื้อดอกไม้มาถวายให้ ผ่านไปสักพักเสียงเดินก็ค่อยๆหายไป
ขณะที่นอนคลิ้มๆ ดิฉันรู้สึกเจ็บที่หน้าอก เหมือนมีคนมาเหยียบ ดิฉันพยายามที่จะขยับตัว แต่ก็ขยับไม่ได้ ดิฉันจะกลั้นใจฝืนลืมตาขึ้นมา เห็นผู้หญิง ใส่ชุดสีดำ นั่งยอง ๆ บนหน้าอกอยู่ คือตอนนั้นไม่ไหวแล้ว น้ำตาไหล สวดมนต์ให้เค้าไป แต่เค้าก็ไม่ไป เค้าก็นั่งโยกตัวอยู่บนหน้าอกดิฉัน แล้วก็พูดพึมพำ จากนั้นดิฉันก็หมดสติไป มารู้สึกอีกทีตอนที่ได้ยินเสียงเคาะประตู ดิฉันเลยรีบลุกไปเปิดประตูห้องเห็นน้องผู้หญิงที่นอนกับดิฉัน ดิฉันรีบเข้ากอดน้อง ร้องไห้ อยากจะกลับบ้าน
พอเราทำอะไรกันเสร็จเราก็รีบลงมาคุยกันข้างล่าง เราได้เล่าว่าเราเจออะไรบ้าง พอเราเล่าเสร็จ พี่หัวหน้าที่นอนข้างล่างก็บอกว่า เมื่อคืน นอน ๆ อยู่ มองไปข้างบน เห็นเหมือนตาคนมองลงมาข้างล่าง ตาสีแดงกร่ำ พี่หัวหน้าเค้านอนที่ห้องนั่งเล่น ซึ่งห้องนั่งเล่นอยู่ตรงกับห้องที่เจ้าของบ้านล็อกห้องไว้ แล้วบนชั้น 2 จะเป็นไม้ พี่เค้ามองทะลุช่องไม้ขึ้นไป ทุกคนต่างพากันตกใจ ว่าเกิดอะไรขึ้น มีอะไรอยู่ที่ห้องนั้นหรือป่าว ดิฉันเลยถามฝาแฝดว่าเจออะไรไหมนางก็บอกไม่เจอหลับสบายดี
ลุงขับรถตู้ ได้เอาเศษหนัง บางอย่างให้ดู ในเศษหนังอันนั้น เขียนเป็นอักขระ ลุงบอกเป็นภาษาเขมร ลุงเจอมันหลังบ้าน พี่หัวหน้าก็บอกว่า งั้นเดี๋ยววันนี้เราไปทำงานกันก่อน เสร็จแล้วรีบไปวัดกัน
หลังจากที่เราเคลียร์งานเสร็จ ก็รีบไปวัดกันต่อเลย เราเล่าเรื่องทั้งหมดให้หลวงพ่อฟัง หลวงพ่อทำสีหน้าตกใจ แล้วบอกว่า รู้ไหมเค้าตามพวกเอ็งมาจากบ้าน ตอนนี้เค้ายังนั่งรอพวกเอ็งอยู่ในรถ ทุกคนพากันเครียดหนัก เลยถามว่าหลวงพ่อแล้วจะทำอย่างไรดี หลวงบอกเลยบอกว่า เดี๋ยวจะช่วยเท่าที่ช่วยได้แล้วกัน หลวงพ่อได้น้ำมนต์ไปพรมทั่วรถ ก่อนกลับได้แจกสายสิญจน์คนละอัน แล้วบอกว่า ขอให้มีสติ อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด
ตอนเรากำลังจะกลับลุงขับรถตู้ได้บอกว่า เค้ามีญาติที่รู้จักกับพ่อหมอ เห็นเค้าบอกว่าอยู่จังหวัดนี้ ถ้าเราอยากไปเดี๋ยวเค้าจะโทรไปถามทางให้ ทุกคนพากันตกลงที่จะเดินทางไปหาพ่อหมอ พอเดินทางไปถึงบ้านพ่อหมอ สุนัขต่างพากันหอนตลอดทางเข้าบ้านพ่อหมอ พอถึงบ้านพ่อหมอ ได้มีหญิงชราแก่ ๆ แต่งตัวชุดสีขาว เหมือนคนถือศีลคนหนึ่งเดินมารับ หญิงชราได้บอกว่า พ่อหมอรออยู่ในเรือน รีบเข้าไปหาเค้า
ดิฉันสังเกตได้ว่า หญิงชราคนนั้นได้แต่มองรถตู้ ทำสีหน้ากังวลอย่างชัดเจน เมื่อเราขึ้นบ้านไปพบพ่อหมอ ในห้องของพ่อหมอ มีโต๊ะพระเครื่องชุดใหญ่ แล้วก็มีหุ่นแปลก ๆ ดูท่าทางน่ากลัว บรรยากศทำให้ขนลุก พ่อหมอเป็นผู้ชาย น่าจะอายุ 70-80 ปี พ่อหมอได้พูดขึ้นว่า พวกเอ็งรู้อยู่หรือป่าวว่าเล่นอยู่กับอะไร ทำไมพวกเอ็งถึงไปยุ่งกับเค้า พวกเอ็งอยากเจอดีกันใช่ไหม
ทุกคนพากันตกใจ พี่ในกลุ่มเลยพูดไปว่า พวกเรามาทำงานไม่ได้มารบกวนใคร ทำงานเสร็จแล้วเราจะรีบกลับบ้านกัน พ่อหมอก็บอกว่า พวกเอ็งไปอยู่ที่ของเค้า เค้าจะเอาพวกเอ็งไปอยู่ด้วย และลุงคนขับรถตู้ก็ได้หยิบหนังที่เก็บมาได้ให้พ่อหมอดู พ่อหมอดูสีหน้าเปลี่ยนไป แล้วบอกว่า หนังที่เก็บได้อันนี้ เป็นหนังของคนตายโหง คนที่ทำเกี่ยวกับพวกนี้เป็นคนที่เล่นของเขมร
พ่อหมอได้นำหนังอันนั้นใส่ขัน ในขันมีน้ำมนต์ แล้วพ่อหมอก็สวดทำพิธี ขณะสวดมนต์อยู่นั้น ได้เกิดลมแรง ปิด ประตูหน้า หน้าต่าง เสียงดังหลายครั้ง หมาแถวนั้นก็พากันหอนตลอด แล้วก็ได้กลิ่นแปลก ๆ คล้ายกลิ่นซากศพลอยมา
พอทำพิธีเสร็จ ลมและเสียงต่าง ๆ ก็ได้หยุดลง พ่อหมอได้พูดอีกว่า เค้ายังไม่จบ เค้าจะเอาพวกเอ็งไปอยู่ ไปรับใช้เค้า พี่ในกลุ่มเลยพูดว่า งั้นเรากลับ กทม กัน ไม่อยู่ที่นั้นกันแล้ว พ่อหมอก็บอกอีกว่า เอ็งหนีไม่พ้นหลอก ในเมื่อพวกเอ็งไปอยู่ที่ของเค้าแล้ว เค้าก็จะตามเอาเอ็งไปอยู่ด้วย
คือตอนนั้นเราทนไม่ไหวแล้ว ก็เลยพูดกับพ่อหมอไป “ดิฉันสับสนไปหมด กับเกิดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับพวกเรา ทำไมต้องเกิดเรื่องแบบนี้ด้วย เราไปทำอะไรให้เค้า เค้าถึงได้ตามมาเอาชีวิตเรา พวกเราทำอะไรผิด” พูดจบ พ่อหมอได้หยิบเชือกให้ พ่อหมอบอกว่า ให้เอาเชือกนี้ไปพูกรอบบ้าน แล้วอย่าไปยุ่งกับที่ของเค้า เราก็ถามพ่อหมอว่า ทีของเค้าคือบ้านหรือว่าอะไร
ในตอนนั้นดิฉันคิดขึ้นได้ทันที หรือว่าจะเป็นห้องที่เจ้าของบ้านใส่กุญแจห้องไหม ดิฉันเลยถามคนในกลุ่มเราว่ามีใครได้ไปยุ่งอะไรกับห้องนั้นไหม พี่น้องแฝดเลยบอกว่า เมื่อคืนก่อนจะนอนได้ยินเสียงเหมือนอะไรอยู่ในห้องนั้นหลายรอบ จนรู้สึกรำคาญ นอนไม่หลับ เลยไปเคาะประตูห้อง แล้วเสียงนั้นก็เงียบไป ก็ไม่ได้คิดอะไร กลับห้องมานอนเหมือนเดิม
คือตอนนั้นในกลุ่มเราเข้าใจทันทีเลย ว่าต้องมีอะไรในห้องนั้นแน่ ๆ เลยถามพ่อหมอ พ่อหมอเลยบอกว่าอย่าไปยุ่งที่ของเค้า ต่างคนก็ต่างอยู่ไป ถ้าคืนนี้ผ่านไปได้ ก็ไม่มีอะไรแล้ว พวกเราทุกคนจึงต่างพากันไหว้ ขอบคุณพ่อหมอแล้วกลับที่พักกัน
พอกลับไปถึงที่พัก เปิดประตูเข้าไปปุ๊บ กลิ่นซากศพลอยมาก่อนเลย ข้าวของ กระจัด กระจายเต็มห้อง ผนังห้องถูกเขียนด้วยลิปสติกสีแดง ลุงขับรถตู้บอกเป็นภาษาเขมร ทำให้ทุกคนกลัวกันเข้าไปใหญ่ ลุงขับรถตู้ก็พูดปลอบว่าไม่มีอะไรหลอก เดี๋ยวเอาเชือกที่พ่อหมอให้มาไปผูกรอบบ้านก็คงไม่มีอะไรแล้วละ ทุกคนเลย ต่างพากันเก็บของทำความสะอาด
ลุงขับรถตู้ได้เอาเชือกที่พ่อหมอให้ไปผูกไว้รอบบ้านเสร็จ แกก็มาเล่าให้ฟังว่า ขณะที่นำเชือกไปผูกอยู่นั้น ได้เห็น เงา ดำ ๆ อยู่บนต้นไม้ แล้วมองมาที่พวกเรา
หลังจากที่ช่วยกันเก็บของเสร็จ เราก็คุยกันว่า เดี๋ยวเราแยกย้ายทำภาระกิจส่วนตัว แล้วลงมารวมกันที่ห้องนั่งเล่น ดิฉันกับน้องที่พักด้วยกัน ได้ขึ้นไปที่ห้อง ต่างรีบเก็บเสื้อผ้า เครื่องใช้ส่วนตัว แล้วรีบโทรศัพท์หาแม่ ดิฉันก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้แม่ฟัง แม่ดิฉันเองก็ตกใจ แล้วบอกว่า รู้สึกไม่ค่อยดี นอนไม่ค่อยหลับ ตั้งแต่ที่ตอนดิฉันเดินทางไปต่างจังหวัดแล้ว
แม่เล่าให้ฟังอีกว่า ฝันเห็นคุณยายของดิฉัน มาบอกว่ากำลังจะเกิดอันตรายกับคนในบ้าน ขณะที่คุยกับแม่อยู่ ได้ยินเสียง เหมือนแจกันตกพื้น ดังมาจากห้องข้าง ๆ แล้วหน้าต่างห้องดิฉันก็เปิดออก ลมก็พลัดเข้ามาในห้อง ดิฉันรีบวิ่งไปปิดหน้าต่าง ก็เหลือบไปเห็นหน้าต่างห้องข้าง ๆ เปิดอยู่ แล้วก็มีเงาดำ ๆ ยื่นหน้ามองมาที่ดิฉัน ดิฉันรีบปิดหน้าต่าง แล้วบอกน้องว่า เราสองคนรีบลงไปรอข้างล่างกันเถอะ
ขณะทีเรากำลังออกจากห้องกัน จู่ ๆ ได้ยินเสียง คนทุบประตูดังมาจากห้องข้าง ๆ เราจึงรีบวิ่งลงมาข้างล่างกัน พี่ก็ถามว่าเป็นอะไรกันหรือป่าว ดิฉันก็เล่าให้พี่เค้าฟัง พี่หัวหน้าก็เล่าให้ฟังอีกว่า เมื่อกี้ตอนอาบน้ำ เหมือนมีคนมองอยู่ข้างนอก ความรู้สึกเหมือนมีคนมาเดินอยู่รอบ ๆ
เราคุยกันไปได้สักพักน้องที่นอนห้องเดียวกับดิฉันก็มาบอกว่า ลืมโทรศัพท์ไว้ที่ห้อง ขึ้นไปเอาเป็นเพื่อนหนูหน่อยได้ไหม ดิฉันก็ อืมมม โอเคได้ เดี๋ยวให้ลุงขับรถตู้ขึ้นไปเป็นเพื่อน ในขณะที่เรากำลังขึ้นบันได ก็ได้ยินเสียงเหมือนบทสวดมนต์เป็นภาษาเขมร เรารีบหยิบโทรศัพท์แล้วรีบออกจากห้อง ขณะที่กำลังจะเดินลงบันได ดิฉันหันไปเห็นผู้หญิงที่เหยียบหน้าอกฉัน ยืนอยู่ที่มุมห้อง แล้วค่อย ๆ เดินมาหาพวกเรา
ตอนนั้นเรารีบลงบันไดกันมาที่ห้องนั่งเล่น แล้วนั่งรวมกลุ่มกัน รอเวลาให้ถึงเช้า ตอนนั้นประมาณเที่ยงคืนกว่า ๆ ต่างคนต่างเงียบไม่มีใครพูดอะไรกัน ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่กลัวที่สุดในชีวิต ไม่คิดว่าจะมาเจออะไรแบบนี้
จู่ ๆ พวกเราก็ได้ยินเสียงสวดมนต์อีกรอบ รอบนี้ดังกว่ารอบก่อน ๆ ประตูกับหน้าต่างก็ค่อย ๆ เปิดออก เห็น เงาดำ ๆ หลายเงา เดินอยู่ รอบ ๆ บ้าน จังหวะนั้นนึกขึ้นได้ว่า พี่น้องแฝดอยู่บนห้องตั้งแต่กลับมา ยังไม่ได้ลงมาข้างล่างเลย ดิฉันจึงตะโกนเรืยก แต่ไม่ได้ยินเสียงตอบรับใด ๆ เราจึงตกลงกันว่าขึ้นไปตามด้วยกันทั้งหมดนี้แหละ
พวกเราทุกคนขึ้นไปเคาะหน้าห้องกัน แต่พี่น้องฝาแฝดก็ไม่ยอมเปิดประตู ดิฉันหันไปมองห้องข้าง ๆ ห้องที่ล็อกกุญแจ ปรากฏว่าแม่กุญแจตกอยู่ที่พื้น ดิฉันก็สะกิดบอก ลุงคนขับรถตู้ เมื่อลุงเห็นแบบนั้นจึงเดินเข้าไปหน้าห้อง แล้วเปิดประตู
พอเปิดประตูเสร็จ มันเป็นเหมือนห้องทำพิธีกรรมอะไรสักอย่าง มีกลิ่นเหม็นสาบ กลิ่นซากศพ ลอยออกมา เรามองไปเห็นแฝดพี่กำลังนั่งกรีดข้อมือตัวเองอยู่ที่มุมห้อง เราพากันเข้าไปห้าม ไปเอามือออก แต่เลือดไหลเยอะมากก และเราได้ยินเสียงคนเปิดหน้าต่างออก พอหันไปดูเห็นแฝดน้องนั่งอยู่ขอบหน้าต่าง และได้หันหน้ามาหาพวกเรา แฝดน้องยิ้มให้พวกเรา แต่คือ รอยยิ้มของแฝดน้อง ฉีกไปถึงใบหู ยิ้มเสร็จ น้องก็กระโดดไปข้างล่าง
คือตอนนั้นพวกเราทำอะไรไม่ถูก มันเกิดขึ้นเร็วมาก พี่หัวหน้าได้บอกให้ลุงไปสตาร์ทรถ จะพาฝาแฝดไปโรงพยาบาล เราช่วยกันแบกแฝดพี่ลงมาข้างล่างเและเราก็ไปหาแฝดน้องกัน พอไปเห็นแฝดน้อง เราร้องไห้ก่อนเลย รู้ว่าน้องคงไม่รอดแล้วละ เธอตกลงมาหัวฝาดกับหินข้างล่าง แต่พวกเราก็แบกเธอขึ้นรถพาไปโรงพยาบาล
เราต้องเข้าตัวเมืองเพื่อไปโรงพยาบาล ขณะที่กำลังเดินทาง ก็ได้ยินเสียงเหมือนมีคนเอาเล็บมากรีดกระจกทั้ง 2 ข้าง ได้ยินเสียงไปตลอดทาง จนถึงโรงพยาบาล
ทุกคนต่างเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ดิฉันนั่งรออยู่ที่หน้าห้องฉุกเฉิน ภาวนาให้ทั้ง 2 คนไม่เป็นอะไร ในที่สุดหมอก็ออกจากห้องมา เรารีบวิ่งไปถามหมอเกี่ยวกับอาการทั้ง 2 คน หมอบอกว่าเสียใจ ไม่สามารถช่วยชีวิตทั้ง 2 คนไว้ได้ ตอนที่หมอบอกมานั้น ดิฉันล้มทั้งยืน ไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้กับพวกเรา พี่หัวหน้าก็ได้เข้ามาปลอบ บอกน้องแฝดหมดกรรมแล้ว เค้าคงไปดีแล้ว ตอนนี้เรามาช่วยกันคิดวิธีบอกพ่อแม่ของน้องเค้าดีกว่าไหม
พอถึงตอนเช้าเราได้ไปแจ้งความ แจ้งสถานที่เกิดเหตุ แจ้งพ่อแม่ของน้อง เราได้พาตำรวจไปที่พักของเรา พอไปถึง เราก็ไปชี้จุดกิดเหตุ แต่ที่แปลกมากที่สุดคือ รอยเลือดของน้องทั้ง 2 คนไม่มีเลย เราเลยพาตำรวจขึ้นไปชั้นที่ 2 ของบนบ้าน ไปห้องที่เกิดเหตุ ปรากฏว่าห้องนั้นล็อคเหมือนเดิม ทางตำรวจเลยช่วยกันพังประตูเข้าไป ก็พบ เหมือนสถานที่ทำพิธีกรรม มีหัวกะโหลก มีรูปปั้นต่าง ๆ ที่แปลกคือ ประตูล็อคได้ยังไง ใครเป็นคนมาล็อค
ตำรวจก็ถ่ายรูปเก็บหลักฐานต่าง ๆ ตอนเย็นก็นำศพเข้ามาใน กทม เพื่อบำเพญกุศล ดิฉัน 2 คนกับหัวหน้าก็นั่งอยู่ด้วยกัน ในรถที่มีศพของน้องมาด้วย ก่อนจะถึง กทม ดิฉันเผลอหลับไป ดิฉันได้ฝันว่าได้กลับไปที่บ้านหลังนั้น ฉันยืนอยู่หน้าบ้าน เห็นน้องทั้ง 2 คน ยืนมือออกมาจากหน้าต่าง เหมือนขอความช่วยเหลือ
แต่พี่หัวหน้าก็ปลุกฉัน หัวหน้าบอกมีคนโทรมาบอกว่า รถตู้ที่ลุงคนขับรถกับน้องอีกคนหนึ่งที่กำลังกลับ กทม เกิด อุบัติเหตุ น้องผู้ชายเสียชีวิตคาทีเกิดเหตุ ส่วนลุงคนขับรถ อยู่ในห้อง ICU ดิฉันร้องไห้อีกรอบ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับพวกเรา เรื่องนี้ยังไม่จบใช่ไหม แล้วใครที่จะต้องมาตายเป็นหลายต่อไป
พอถึง กทม ดิฉันกับพี่หัวหน้าได้แยกย้ายกันกลับบ้าน พอฉันถึงบ้าน ดิฉันรีบวิ่งไปกอดแม่แล้วร้องไห้ คือตอนนั้นดิฉันไม่ไหวจริง ๆ พอดิฉันจะเข้าบ้านแม่ก็ทักว่า แล้วทำไมไม่เรียกเพื่อนเข้าบ้านด้วยละลูก
ดิฉันรีบบอกให้แม่เข้าบ้าน แล้วเล่าเรื่องให้แม่ฟังทั้งหมด แม่ตกใจ ถามดิฉันว่าไปทำอะไรให้เค้าไม่พอใจหรือป่าว ดิฉันก็บอกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย แค่อาศัยนอน ตื่นมาก็ไปทำงาน ดิฉันเลยถามว่าแม่ว่าควรทำยังไงดี ดิฉันไม่สบายใจเป็นอย่างมาก แม่เลยบอก เดี๋ยววันเสาร์นี้ จะพากลับบ้านต่างจังหวัด เดี๋ยวแม่จะพาไปหาพระป่าท่านหนึ่ง ดิฉันก็โอเค
ดิฉันก็ทำธุระส่วนตัวเสร็จ จะไปปิดหน้าต่างจะนอน ห้องของดิฉันอยู่ ชั้น 2 อยู่ด้านหน้า สามารถมองเห็นหน้าบ้านจากหน้าต่าง ในขณะที่กำลังปิดหน้าต่าง ดิฉันเห็นคนหลายคน เป็นเงา ดำ ๆ เดินไปมาอยู่หน้าบ้าน พอกำลังจะปิดหน้าต่าง คนพวกนั้นก็หันมามองที่ดิฉัน ดิฉันรีบปิดหน้าต่างเข้านอนทันที ด้วยความเพลียมาก เลยหลับไป แล้วก็ได้ฝันว่า ได้ไปอยู่ที่บ้านหลังนั้น ได้เห็นเหตุการณ์เดิม ๆ ซ้ำไปซ้ำมา
มาตื่นอีกทีตอน 7 โมงเช้า ดิฉันคิดไว้ว่า คืนนี้จะไปงานศพของน้องฝาแฝด เลยโทรไปชวนพี่หัวหน้า พี่หัวหน้าก็โอเค บอกเดี๋ยวเราเจอกันที่วัด พอดิฉันมาถึงวัด ดิฉันก็บอกพี่หัวหน้าไปว่า วันเสาร์นี้จะกลับบ้านกับแม่ จะไปหาพระป่า พี่จะไปด้วยกันหรือป่าว พี่เค้าบอกไม่ไป เพราะพี่เค้าจะเคลียร์งาน เคลียร์ปัญหาต่าง ๆ ดิฉันก็โอเค
พอถึงเวลาสวดอภิธรรมของน้องฝาแฝด สิ่งแปลก ๆ ก็เกิดขึ้น เสียงหมาในวัด หอนกันดังมาก หอนไม่หยุด ผู้คนก็พากันแตกตื่น สีหน้าพระก็ไม่ค่อยดี มีพระสงฆ์องค์หนึ่ง น่าจะเป็นพระผู้ใหญ่ ได้เดินไปด้านหน้าศาลา แล้วพนมมือสวดมนต์ เสียงหมาหอน ก็พากันหยุด แล้วก็เริ่มสวดอภิธรรมกันต่อ
สวดไปได้สักพัก เหตุการณ์ก็ยังไม่จบ อยู่ดี ๆ ชั้นวางศพของน้องแฝดก็หัก ทำให้โลงศพของน้อง ล่วงลงพื้น ฝาโลงศพเปิดออก ดิฉันกับพี่หัวหน้าพร้อมกับพ่อแม่ของน้องได้เดินไปหยิบฝาโลงศพเพื่อที่จะมาปิดเหมือนเดิม ก่อนที่ดิฉันจะมาปิด ดิฉันได้เห็นศพของน้องเค้า ยังไม่หลับตา ศพของน้องแห้ง ผิวดำ ไม่เหมือนศพปกติทั่วไปอ่ะ ดิฉันรู้สึกไม่ค่อยดีกับเหตุการณ์นี้แล้ว มีพระผู้ใหญ่คนเดิมได้เดินเค้ามาดู แล้วพระก็บอกว่า โยมทั้ง 2 ที่ตายไป โดนของดำ เป็นของเขมร
หลังจากสวดอภิธรรมเสร็จ ก็แยกย้ายกับพี่หัวหน้ากลับบ้าน ดิฉันต้องขับรถกลับบ้าน ในระวังที่ออกจากวัดนั้น หน้าวัดจะมีต้นไม้ใหญ่ ดิฉันได้มองขึ้นไปเห็นเงาคนดำ ๆ นั่งห้อยขาอยู่บนต้นไม้ แล้วมองมาที่รถดิฉัน ดิฉันพยายามไม่คิดอะไร ขับไปต่อ พอเลี้ยวรถออกจากวัดเสร็จ ดิฉันก็รีบขับกลับบ้าน
ตอนนั้นดิฉันได้เปิดเพลงเสียงดัง พยายามข่มใจ พยายามมร้องเพลง พยายามทำทุกอย่างให้ไม่คิด พอเลี้ยวเข้าซอยบ้าน อยู่ดี ๆ เสียงเพลงที่เปิดอยู่นั้นได้เปลี่ยนเป็นเสียงสวดภาษาเขมร ที่ดิฉันเคยได้ยินที่บ้านหลังนั้น แล้วดิฉันได้มองกระจกหลัง เห็นเงาคนดำ ๆ วิ่งตามรถมา จังหวะนั้นดิฉันไม่สนใจอะไรแล้วพอถึงบ้านเสร็จ เปิดประตูรถวิ่งเข้าบ้านทันที
พอเข้าบ้านแม่ก็รีบมาหาฉัน มาปลอบดิฉัน ตอนนั้นดิฉันกลายเป็นคนเสียสติ พ่ำเพ้อ คือทุกอย่างที่ดิฉันได้เจอ ดิฉันรับมันไม่ไหวแล้ว คือตอนนั้นอยากจะตาย ให้รู้แล้วรู้รอดไป แต่สิ่งที่เรียกสติขึ้นกลับมา คืนดิฉันได้เห็นคุณยายของฉัน เข้ามาลูบหัว เข้ามากอดฉัน จากนั้นดิฉันก็จำอะไรไม่ได้เลย ตื่นมาอีกทีก็เช้าแล้ว
ดิฉันรีบไปคุยกับแม่ บอกเรากลับบ้านวันนี้กันเลย แม่ตกลง ดิฉันเลยรีบไปเก็บเสื้อผ้าต่าง ๆ ก่อนที่จะกลับบ้านต่างจังหวัด ดิฉันได้โทรศัพท์ไปบอกพี่หัวหน้า ขอร้องพี่เค้าให้กลับบ้านพร้อมดิฉัน ไปหาพระป่าด้วยกัน แต่พี่หัวหน้าก็ปฏิเสธ พี่หัวหน้าจะคอยเคลียร์ปัญหา ดิฉันจึงทำใจ แล้วบอกหัวหน้าให้ดูแลตัวเองดี ๆ มีเรื่องอะไรให้รีบโทรศัพท์มาบอกดิฉัน
ดิฉันจึงเดินทางกลับบ้านกับแม่ มีพี่ชายลูกของป้าเป็นคนขับรถให้ ประมาน 5 โมงเย็นเราแวะทานข้าวกันที่ปั๊มแห่งหนึ่ง ก่อนถึงตัวจังหวัด พี่ชายก็เล่าให้ฟังว่า ตอนขับรถรู้สึกว่ามีอะไร กุก ก๊ะ อยู่บนหลังคารถ พอทานข้าวกันเสร็จ เราทั้ง 3 คน ก็ได้ไปดูที่หลังคารถ เห็นเป็น รอยเลือดสีดำ ๆ อยู่บนหลังรถ พี่ชายก็รีบล้างเลือดนั้นออก แล้วเดินทางต่อ
พอมาขับเข้ามาในตัวจังหวัดแล้ว ดิฉันสังเกตุเห็นพี่ชายมองกระจกข้าง แปลก ๆ เลยถามว่ามีอะไรไหม ทำไมมองกระจกแปลกๆ พี่ชายบอกว่า เห็นเหมือนมีเงาอะไรตามเรามาตลอด ตั้งแต่ออกจากปั้มแล้ว
หลังจากพี่ชายได้เห็นสิ่งผิดปกติที่ตามรถของเรามานั้น เราจึงตัดสินใจรีบเดินทางกลับบ้านของแม่ให้เร็วที่สุด ในขณะที่กำลังขับรถอยู่นั้นพี่หัวหน้าได้โทรศัพท์มาหาดิฉัน พี่หัวหน้าได้บอกว่า ลุงคนขับรถเสียชีวิตแล้วนะ เราอึ้ง พูดไม่ออก อยู่ ๆ น้ำตาเราก็ไหล แล้วพี่หัวหน้าบอกว่า เหลือแค่เรา 2 คนแล้วสินะ ดูแลตัวเองให้ดีด้วย
หลังจากวางสายเสร็จ แม่ได้โทรบอกป้าที่บ้านว่ากำลังจะถึงบ้านแล้ว แต่มีบางสิ่งบางอย่างตามมา ให้ช่วยเรียกลุงมาดูให้หน่อย .. เมื่อถึงบ้าน ดิฉันได้พบลุง ลุงได้ถือมีดเล็ก ๆ ไว้ในมือ ลุงได้ดึงปอกมีดออก ตัวของมีดเล่มนั้น มีอักขระเขียน น่าจะเป็นมีดหมอ ลุงได้ท่องบทสวดพร้อมทั้งนำมีด กรีดไปที่พื้น แล้วบอกให้รีบเข้าบ้าน
ทันทีที่เข้าบ้าน ลุงเอ๋ยปากพูดกับดิฉันว่า อีหนู เอ็งไปทำอะไรมา พวกเค้าจะมาเอาชีวิตเอ็ง ดิฉันเลยเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ลุงฟัง ลุงไล่ดิฉันให้รีบไปอาบน้ำ ไปทำธุระให้เสร็จแล้วขึ้นไปนอนห้องพระ ลุงบอกคืนนี้ เค้าคงจะมาเอาเอ็งไปแน่ ถ้าคืนนี้ไม่มีปัญหาอะไรพรุ่งนี้เช้า จะได้ไปหาพระท่าน ให้ท่านช่วยเหลือ
ตอนนั้นทุกคนในบ้านต่างหวาดระแวง ลุงได้ปิดบ้าน ปิดประตู ปิดทุกอย่าง และได้บอกกับดิฉันว่า คืนนี้ ถ้าเกิดได้ยินเสียง ได้ยินอะไรผิดแปลกห้ามออกมาจากห้องพระเด็ดขาด ให้อยู่ในห้องจนถึงเช้า
ดิฉันได้เข้าไปอยู่ในห้องพระของลุง ในห้องพระนั้น ได้จุดเทียน เพื่อเป็นแสงสว่าง มีกลิ่นธูปบูชา อยู่ในห้องพระ ทำให้ดิฉันสบายใจมากยิ่งขึ้น ดิฉันก็เลยได้นั่งสมาธิ แผ่ส่วนบุญ ส่วนกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวร
แต่แล้วเทียนก็ดับลง มีคนมาเคาะประตูห้อง แต่ลุงบอกดิฉันห้ามเปิดเด็ดขาด ดิฉันจึงไม่ได้ไปเปิด ได้แต่นั่งสวดมนต์ภาวนาอยู่หน้าหิ้งพระ ผ่านไปสักพักหนึ่ง มีคนมาทุบหน้าต่างห้องพระ ทุบหลายครั้งมาก แต่ดิฉันก็ทำเป็นไม่ได้ยิน แต่จู่ ๆ หน้าต่างก็เปิดออกเอง เราหันไปดู เจอเงาดำ ๆ นั่งหยอง ๆ อยู่ขอบระเบียง นั่งจองมองมาทีดิฉัน
จากที่เงานั่งจองดิฉันอยู่ที่ระเบียง ดิฉันก็ไม่สนใจนั่งหลับตา ทำสมาธิต่อไป จนเผลอหลับไปตอนไหนไม่รู้ มารู้สึกตัวอีกทีก็เช้าแล้ว ดิฉันหันไปดูที่หน้าต่าง เห็นแสงพระอาทิตย์ จึงเปิดประตู ลงไปข้างล่าง เห็นแม่กับลุง ได้เตรียมของกัน มีดอกไม้ ธูปเทียน เสื้อผ้าชุดสีขาว และผ้าดิบ
เรานั่งทานข้าวกัน แล้วลุงก็ถามว่าเมื่อคืนเอ็งคงเจอหนัก เอ็งรีบทำอะไรให้เสร็จแล้วไปหาพระป่าด้วยกัน เราช่วยกันแบกสิ่งของต่าง ๆ ขึ้นหลังรถ แล้วออกเดินทางทันที วัดอยู่ห่างจากตัวเมืองไปมาก ทางเข้าลำบาก เป็นดินแดง ตลอดทาง กว่าจะถึงก็เอาเรื่องเหมือนกัน
พอไปถึงพระท่านก็ได้เดินมาหา บอกให้ดิฉันไปเปลี่ยนใส่ชุดขาว หลังจากที่เปลี่ยนชุดเสร็จ ดิฉันได้คุยกับพระท่าน ก็เลยถามว่า พี่อีกคนหนึ่งจะเป็นอะไรไหม พระท่านก็บอกว่า เอ็งไม่ต้องเป็นห่วงเค้าหลอก เค้ามีคนช่วยเหลืออยู่ เอ็งควรเป็นห่วงตัวเองดีไหม ถ้าเอ็งผ่านคืนนี้ไปไม่ได้เอ็งก็คงได้ตามเพื่อน ๆ ของเอ็งไป… พอพูดจบ ลุงได้ยกโลงศพ เก่า ๆ มาวาง แล้วบอกว่าคืนนี้เอ็งต้องนอนในโรงศพผีตายโหง
เวลาประมาน 6 โมงเย็น ดิฉันได้เข้าไปในโลงศพ ตัวของดิฉัน ถูกพันด้วยผ้าดิบ พนมมือ ถือดอกไม้ธูปเทียน ทำเหมือนเป็นคนตาย แล้วลุงก็ยกโลงของดิฉันไปไว้ที่หนึ่ง แต่ตอนนั้นไม่รู้ว่าไปวางที่ไหน …
เมื่อเวลาผ่านสักระยะหนึ่งจากเสียงทีเงียบสนิท .. หมาก็เริ่มหอนกัน เสียงลม ค่อยๆพลัดเข้ามา ดิฉันได้ยินเสียงคนเดินรอบ ๆ โลงศพ ตอนนั้นรู้สึกกังวล จิตตก กลับสิ่งที่เกิดขึ้นรอบ ๆ ดิฉันรู้สึกเหมือนมีคนมานอนข้าง ๆ โลงศพ หันหน้าเข้ามาหาดิฉันแล้วสวดภาษาเขมรใส่ตอนนั้นพยายามตั้งสติ สวดมนต์ แต่ก็มีอะไรบางอย่าง ค่อย ๆ ขึ้นมาอยู่บนโลงศพ แล้วทุบโลงศพที่อยู่ด้านหน้าของดิฉัน เสียงทุบ เริ่ม ดังขึ้น ดังขึ้นเรื่อย ๆ จากเสียงทุบ กลายเป็นเสียง กริ๊ดร้อง ช่วงเวลานั้น ดิฉันรู้สึกเหมือนเวลาผ่านไปช้ามาก ได้แต่หลับตา รอให้ถึงเช้า
พอถึงตอนเช้า ลุงก็มาเปิดโลงศพออก ดิฉันลุกขึ้นมา เห็นบริเวณรอบ ๆ เป็นเหมือนหลุมศพ เป็นเหมือนป่าช้า ดิฉันก็ไม่ถามอะไรมาก ต่างพากันกลับที่ไปวัด ดิฉันได้อาบน้ำมนต์ ตอนนั้นดิฉันรู้สึกดีขึ้น รู้สึกสบายใจ พระท่านได้บอกว่า เค้าไม่มายุ่งกับเอ็งแล้วละ เอ็งสบายใจได้แล้ว
หลังจากนั้นดิฉันก็เดินทางกลับบ้านปกติ ไม่มีเสียง ไม่มีสิ่งแปลกอะไรเกิดขึ้นกับตัวดิฉันแล้ว ส่วนพี่หัวหน้านั้น ดิฉันมารู้ทีหลังว่าเค้าเป็นคนมีองค์ ค่อยช่วยเหลือปกป้องเค้า
หลังจากที่เหตุการณ์ต่าง ๆ ได้จบลง พ่อแม่ของน้องแฝดได้มาหาดิฉันที่บ้าน ได้มาบอกดิฉันว่า ฝันถึงน้องฝาแฝด ในฝันแม่ของน้องแฝดได้เล่าให้ฟังว่า เห็นน้องแฝดทั้ง 2 คน อยู่ที่บ้านหลังหนึ่ง พยายามขอความช่วยเหลือ น้องฝาแฝดพยายามหนีออกมา แต่ก็หนีออกมาไม่ได้
ดิฉันคิดว่าน้องทั้ง 2 ยังอยู่ที่บ้านหลังนั้น จึงได้ตัดสินใจกลับไปที่บ้านหลังนั้นอีกครั้ง แต่ก่อนที่จะกลับไปบ้านหลังนั้น ดิฉันได้โทรศัพท์หาเจ้าของบ้านพัก แต่ก็ไม่สามารถติดต่อได้ เลยหาข้อมูลต่าง ๆ ในอินเตอร์เน็ต หาข้อมูลเกี่ยวกับคดีว่ามีอะไรเกิดที่บ้านหลังนั้นหรือป่าว แต่ก็ไม่มีข้อมูลของบ้านหลังนั้นเลย
ดิฉันได้โทรหาพี่หัวหน้าเล่าเรื่องราวให้เค้าฟัง และได้ชวนกลับไปที่นั้นกัน เราตกลงกันว่าจะเดินทางไปที่บ้านหลังนั้นอีก ในขณะที่เรากำลังเดินทางไปบ้านหลัง ความรู้สึกแปลก ๆ ได้กลับมาอีกครั้ง เราสองคนได้ไปสอบถามข้อมูลต่าง ๆ ภายในจังหวัดแต่ก็ไม่มีใครทราบข้อมูลของบ้านหลังนั้นเลย พี่หัวหน้าได้บอกว่า ยังจำชาวบ้านที่เราถามทางกันตอนแรกได้ไหม เราไปถามที่นั้นกัน ในขณะที่เราเดินทางไปหาชาวบ้าน ฟ้าก็เริ่มมืดลงทุกที บรรยากาศรอบตัว ทำให้รู้สึกกลัวแบบบอกไม่ถูก
เราได้ตะโกนเรียกอยู่นาน จนมีชายแก่ ๆ คนหนึ่งมาเปิดประตู แล้วเดินมาหาเราสองคน พอชายแก่เห็นเราเค้าก็ทำหน้าตกใจพยายามมองหาอะไรสักอย่าง ชายแก่ได้บอกกับเราว่า พวกเอ็งกลับไปเถอะ เอ็งมาที่นี้กันอีกทำไม ชายแก่พูดเสร็จก็รีบเดินกลับเข้าบ้านไป แต่พวกเราสองคนก็ยังตามไป ชายแก่ได้พูดอีกว่า พวกเอ็งสองคน มาถามเกี่ยวกับเรื่องบ้านหลังนั้นใช้ไหม ข้าไม่รู้อะไร พวกเอ็งกลับไปซะเถอะ
ขณะที่คุยกับคุณลุงอยู่หน้าบ้านก็ได้เกิดลมพลัดแรง ได้ยินเสียงกริ๊ดร้องโหย หวน ลอยมาตามลม คุณลุงจึงบอกให้รีบเข้าบ้านก่อนมีอะไรเข้ามาคุยกันในบ้าน คุณลุงทำท่าทางตกใจ รีบวิ่งไปปิดประตูหน้าต่าง พวกเราได้เข้ามาอยู่ในบ้านของลุง ภายในบ้านของลุงนั้น คล้ายเป็นสำนักสงฆ์ มีโต๊ะพระเครื่อง มีดอกไม้บูชา
เราได้นั่งพูดคุยกัน ดิฉันได้ถามลุงว่า บ้านหลังนั้นเคยมีประวัติไม่ดีหรือป่าว ลุงได้เล่าให้ฟังว่า แต่ก่อนได้มีคนเขมรมาเช่าบ้านหลังนั้นอยู่ อาศัยบ้านหลังนั้นทำคุณไสยมนต์ดํา มีคนต่างพื้นที่เข้ามาทำคุณไสยกันเยอะ แต่เกิดเรื่องไม่มีดีขึ้น
ลุงแกเล่าให้ฟังว่า หมอไสยดำคนนั้น ได้ทำเกี่ยวกับพวกของต่ำ พอทำไปมาก ๆ คุณไสยที่ทำก็เข้าตัวเอง วิญญานทั้งหลายที่ถูกนำมาทำก็ไปไหนไม่ได้ ได้แต่อยู่ในบ้านหลังนั้น ผู้คนที่อยู่ที่นี้ก็พากันย้ายออกไปหมด ไม่มีใครกล้าอยู่ที่นี้
ลุงได้เล่าอีกว่า ก่อนที่พวกเอ็งจะมา ลุงได้ขับรถเข้าไปในตัวเมืองได้ผ่านบ้านหลังนั้น ลุงเห็นผู้หญิงที่มากับพวกเราตอนแรก ยืนอยู่ที่บ้านหลังนั้น .. พอเสียงลุงพูดจบประตูบ้านก็ค่อย ๆ เปิดออก กลิ่นเหม็นเหมือนซากศพ ลอยเข้ามาในบ้าน และมีเงาดำๆ รูปร่างใหญ่ ยืนอยู่ที่ประตูบ้าน
เมื่อลุงเห็นแบบนั้น ลุงได้จุดธูปที่โต๊ะพระเครื่อง แล้วนั่งพนมมือสวดมนต์ ลมได้พัดแรงขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะที่ลุงสวดมนต์ ไฟในบ้านลุงก็เกิดดับ เหลือแต่ไฟจากแสงเทียน เสียงโหย หวน ดังผ่านมาตามลม พอลุงสวดมนต์จบก็เดินไปที่หน้าบ้านแล้วพูดว่า
” พวกมึงอยู่ที่ไหน พวกมิงกลับไปเดี๋ยวนี้ อย่ามายุ่งที่ของกู ” จู่ ๆ เสียงลม เสียงร้อง เงียบหายไป เหตุการณ์ได้กลับมาปกติอีกครั้ง ดิฉันได้ถามลุงเกี่ยวกับผู้หญิงที่ลุงเจอที่บ้านหลังนั้นว่ามีรูปร่าง ลักษณะอย่างไร ลุงบอกลักษณะน้องคนนั้นมา ซึ้งตรงกับน้องที่นอนอยู่กับดิฉันที่บ้านหลังนั้น ดิฉันคิดว่าใช้น้องคนนั้นจริง ๆ
ขอย้อนกลับไปตอนส่งฝาแฝดไปโรงพยาบาล น้องที่นอนกับดิฉันได้ขอตัวกลับบ้าน เพราะทนไม่ไหวกลับสิ่งที่เกิดขึ้น ดิฉันกับพี่หัวหน้าก็ไม่ได้ห้ามอะไร เพราะเห็นน้องทนไม่ไหว แต่เมื่อน้องกลับไปแล้ว มี ข้อความส่งมาบอกพวกเราว่า ” พวกมึงทุกคนต้องตาย ” ตอนนั้นเรายังไม่ทราบว่าน้องคนนั้นต้องการอะไรกันแน่ พอกลับไปที่ กทม ไปตามหาที่ห้องพัก ก็ไม่เจอน้องคนนั้นแล้ว น้องได้กลับมาเก็บของย้ายออกไปแล้ว
พอถึงตอนเช้าดิฉันเลยถามลุงว่ามีวิธีไหนที่แก้เรื่องแบบนี้ ลุงบอกถ้าอยากจะช่วยจริง ๆ ให้พาพ่อแม่ของคนที่เสียชีวิตมาหาลุงเพื่อจะได้ทำพิธี ดิฉันได้โทรไปนัดหมายพ่อแม่ ให้มาทำพิธี ลุงบอกให้เตรียมข้าวของเครื่องใช้ของคนตาย ผ้าถุงแม่กับผ้าขาว มาเพื่อประกอบพิธี พอทุกอย่างพร้อม เราเดินทางไปที่หน้าบ้านหลังนั้นแล้วเริ่มทำพิธี ลุงได้เตรียมหุ่นฟาง กับขันใส่น้ำมนต์ วางไว้หน้าบ้าน แล้วนำสิ่งของ เครื่องใช้ของคนตายติดไว้ที่ตัวหุ่นฟาง จากนั้นลุงก็ท่องบทสวดมนต์ .. พอท่องเสร็จ ก็นำผ้าถุงแม่ไปคลุมหุ่นฟาง จากนั้นนำผ้าขาวไปใส่ในขันใส่น้ำมนต์ จากผ้าที่ขาวสะอาดเปลี่ยนกลายเป็นสีดำ ลุงบอกให้นำผ้าสีดำนี้ ไปเผาในที่เผาศพของคนตาย
หลังจากที่ทำพิธีเสร็จดิฉันได้เดินทางกลับมา กทม ตลอดทางที่กลับ กทม ได้ยินเสียงเหมือนคนเคาะกระจกรถ ได้ยินเสียงคนนั่งอยู่นหลังรถแล้วเอามือทุบหลังคา ก่อนทีจะถึงวัด ตอนนั้นเป็นเวลากลางคืนแล้ว แต่ก็ต้องทำเพราะลุงได้สั่งไว้ว่าให้เผาในคืนนี้ ดิฉันได้เดินทางไปที่วัดเผาศพของน้อง ได้เรียกสัปเหร่อมาเผาเพื่อจะได้เสร็จพิธี เสียงหมาในวัดก็พากันหอนตลอด ลมพลัดแรง
หลังจากทำพิธีเสร็จเสียงต่าง ๆ ก็เงียบลง ดิฉันกับพ่อแม่ของน้องได้พากันแยกย้ายกลับบ้าน เรื่องราวต่างๆ ก็เริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ แต่ดิฉันก็เหมือนคนมีปม ไม่กล้าไปค้างคืนที่ไหน ไม่กล้าพูดคุยกับใคร เหมือนฉันอยู่ในโลกส่วนตัวของฉันคนเดียว…
เรื่องราวก็จบแต่เพียงเท่านี้ หลายคนคงสัยว่าแล้วน้องผู้หญิงคนที่นอนห้องเดียวกันกับ จขกท ละ หลายไปไหน ชะตากรรมเป็นอย่างไร แต่เรื่องจบแค่นี้จริง ๆ เพราะ จขกท ทิ้งภาคต่อของน้องผู้หญิงไว้ แล้วก็หายไป หายไหนก็ไม่รู้ รรรรรรร เรื่องพิมพ์ตั้งแต่ พฤษภาคม 58 จนปัจจุบัน ปี 65 ก็ยังไม่กลับมา ใครรู้จัก จขกท ช่วยตามมาเล่าต่อหน่อยครับ
ที่มา Pantip.com เรื่องเล่าจากประสบการณ์กับบ้านพักสยองขวัญ