เรื่องราวนี้เกิดขึ้นที่ สปป.ลาว ประเทศเพื่อนบ้านเรานี่เอง ซึ่งเกิดขึ้นที่ “ภูบาเจียง” เป็นเรื่องราวที่คล้าย ๆ กับเรื่องของเมืองลับแลในบ้านเรา เมืองที่ใครหลงเข้าไปแล้วจะไม่สามารถออกมาได้ หรือหากจะเข้าไป ต้องให้คนในเมืองนี้นั้นพาเข้าไปเท่านั้น
ว่ากันว่าในสถานที่แห่งมันมีอาถรรพ์หรือสิ่งลีลับซ่อนอยู่มากมาย อย่างที่เป็นข่าวล่าสุด คูณตาวัน 80 เข้าไปหาของป่าแล้วหายตัวไป ชาวบ้านและเจ้าหน้าที่ช่วยกันออกตามหาอยู่ 7 วัน 7 คืน ก็ยังตามหาตัวไม่เจอ จนชาวบ้านเชื่อว่าป่าอาถรรพ์
บางก็ว่ามีคนเข้าไปเดินป่าแล้วหลง สุดท้ายพบเป็นศพนอนเสียชีวิตอยู่ในป่า บางก็ว่ามีคนเข้าไปล่าสัตว์หรือเข้าไปลักลอบตัดไม้ แล้วหายตัวไปหลายวัน สุดท้ายพบเป็นศพกลายเป็นผีเฝ้าป่า…
ซึ่งเรื่องราวที่จะเล่าต่อไปนี้ เป็นเรื่องที่ได้รับฟังจากคนปากเซมาอีกทีนึง เป็นเรื่องราวของนายทหารคนหนึ่งที่ได้เข้าไปลาดตะเวน แล้วได้ไปพบกับหมู่บ้านปริศนาที่ตั้งอยู่กลางป่า ภูบาเจียง แห่งนี้ จนเขาเกือบอาชีพไม่รอด เรื่องราวจะเป็นอย่างไร จะจริงแท้แค่ไหน เราไปอ่านกันเลยดีกว่าครับ…
นานหลายปีมาแล้ว มีทหารพรานผู้นึงได้ออกลาดตะเวนตรวจจับคนร้ายที่ลักลอบเข้าไปล่าสัตว์ป่า เดินทางไปพร้อมกับทหารพรานอีกกลุ่มนึง ในเขต “ภูบาเจียง” ประเทศลาว
(ซึ่ง “ภูบาเจียง” ก็คือภูเขาที่ใครไปเมืองปากเซก็จะต้องเห็นถนัด โดยภูมิสถานของภูเขาลูกนี้ตั้งอยู่ประมาณทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองปากเซ..ดูจากรูปประกอบครับ)
ในเวลาโพล้เพล้ใกล้ค่ำ ระหว่างที่เดินลาดตระเวนเขารู้สึกปวดปัสสาวะขึ้นมา จึงได้เดินออกนอกแถวเพื่อไปยืนปลดทุกข์ที่กอไผ่ข้างทาง
ด้วยความกลัวจะไปไม่ทันเพื่อน เขาได้ตะโกนเรียกเพื่อนๆ ที่เดินมาด้วยกันให้หยุดรอก่อน แต่ปรากฎว่าทหารพรานเพื่อนเขาที่มาด้วย กลับไม่มีใครได้ยินเสียงเรียกเขาเลย พวกนั้นเดินดุ่มๆ ชนิดไม่เหลียวหลัง ก่อนจะลับหายไปในป่า
ด้วยความวิตกเขาจึงรีบวิ่งตามไป แต่ก็ไม่ทันแล้ว มารู้ตัวอีกทีก็เดินไปเจอเข้ากับหมู่บ้านอยู่กลางป่า เท่าที่สังเกตชาวบ้านที่นั่นก็แต่งกายเหมือนชนเผ่าปกติ
พอเดินเข้าไปในหมู่บ้านเขาก็ไปเจอกับครอบครัวหนึ่ง ซึ่งลูกสาวของครอบครัวนี้เกิดนึกชอบนายทหารพรานคนนี้ขึ้นมา ฝ่ายผู้เป็นพ่อจึงได้เจรจาเรียกร้องให้เขาเลิกร้างกับเมียและลูกแล้วมาอยู่กินฉันผัวเมียกับลูกสาวตน..
ทหารพรานคนนั้นก็ตอบปฏิเสธไป บอกว่าไม่ได้หรอก เพราะเขารักภรรยาของเขามาก ทั้งยังมีลูกน้อยที่ต้องคอยเลี้ยงดูอีกด้วย
แม้ทหารพรานผู้นั้นจะร่ำร้องขอกลับบ้านยังไง ครอบครัวชนเผ่านั้นก็หาได้ยอมปล่อยตัวเขาให้กลับออกมาไม่ ทุกคนพยายามหน่วงเหนี่ยวเขาไว้ บอกว่าให้อยู่ที่นั่นอีกสักหน่อยเถอะ เผื่อบางทีจะเปลี่ยนใจ..
ระหว่างนั้นทางฝ่ายญาติพี่น้องและลูกเมียของของทหารพรานท่านนี้ ก็เดือดร้อนเป็นทุกข์กับการหายตัวไปของเขา จึงระดมคนออกตามหากันจ้าละหวั่น ทั้งกลางวันและทั้งกลางคืน แต่ถึงยังไงก็ไม่พบตัว
จนเวลาผ่านไป 5 วัน ภรรยาของทหารพรานก็เริ่มจะถอดใจ เพราะหมดหนทางตามหาสามีแล้ว แต่แล้วจู่ๆ ในเย็นวันนั้น นายทหารพรานก็เดินกลับมาที่บ้านหน้าตาเฉย..! ชาวบ้านในหมู่บ้านพอเห็นก็พากันประหลาดใจ เข้ามามุงห้อมล้อม แล้วถามเขาว่าหายไปไหนมาตั้ง 5 วัน ?
แต่นายทหารคนนั้นกลับเถียงคอเป็นเอ็น เขาอ้างว่า 5 วันที่ไหน เขาไปแค่วันเดียวแท้ๆ..! จากนั้นก็เล่าเรื่องทั้งหมดที่ไปเจอมาให้ทุกคนฟัง ว่าไปพบเจออะไรมาบ้าง ก่อนที่ครอบครัวชนเผ่านั้นจะยอมปล่อยตัวเขาออกมา..
นายทหารพรานยังเล่าให้ทุกคนฟังด้วยว่า พวกชาวเผ่านั้นบอกเขาให้เอาขมิ้นกลับไปบ้านด้วย แต่เขาไม่เอา เพราะว่าที่บ้านเขาก็มีขมิ้นปลูกไว้อยู่แล้ว แต่ก็ทนการคะยั้นคะยอไม่ได้จึงเอาขมิ้นติดกลับไปด้วยแค่แง่งเดียวเล็กๆ
พูดจบนายทหารพรานก็คว้าเอาขิงแง่งนั้นขึ้นมา กะใช้เป็นหลักฐานเพื่อยืนยันว่า เรื่องทั้งหมดตัวเองไม่ได้กุขึ้นมาแต่อย่างใด
แต่พอล้วงเอาขมิ้นแง่งนั้นขึ้นมาให้ดู ทุกคนก็ถึงกับตาเหลือกตกใจ เพราะมันกลายเป็นทองคำสุกสีเหลืองอร่ามสุกปลั่งไปแล้ว..! เล่นเอาทุกคนที่เห็นเหตุการณ์ถึงกับอ้าปากค้าง รวมถึงทหารพรานคนนั้นด้วย
ทหารพรานยังเล่าเพิ่มเติมอีกว่า ขณะที่เขาถูกหน่วงเหนี่ยวไว้ไม่ยอมให้กลับบ้านนั้น เขาเห็นทุกคนที่ออกตามหาตัวเขา เดินผ่านหน้าไปมา เขาเห็นกระทั่งภรรยาที่เดินตามหาเขา พร้อมร้องห่มร้องไห้ไปด้วย เห็นลูกตะโกนหาพ่อจ้าละหวั่น..
ตอนนั้นเขายังสงสัย ว่าเขาก็ยืนอยู่ใกล้ๆ แต่ทำไมทุกคนกลับไม่เห็นตัวเขา ตะโกนร้องบอกว่าเขาอยู่ตรงนี้ก็ไม่มีใครได้ยิน..!
อย่างไรก็ตามเรื่องนี้คนรุ่นเก่าๆ ชาวเมืองปากเซจะรู้จักดี เพราะปัจจุบันทหารพรานท่านนี้ก็น่าจะยังมีชีวิตอยู่ แต่ไม่มีใครทราบว่าเขาย้ายออกจากเมืองปากเซไปอยู่ที่ไหนแล้วรึยัง
สุดท้ายเรื่องลี้ลับแบบนี้ก็เหมือนเรื่องผีที่เถียงกันยังไงก็ไม่จบ คนที่เคยเห็นผีก็เชื่อว่ามีจริง ส่วนคนที่ไม่เคยเห็นก็เถียงว่าไม่มี.. แม้ปัจจุบันบ้านเมืองจะพัฒนาไปถึงไหนแล้วแต่ก็ยังไม่สามารถพิสูจน์เรื่องแบบนี้ได้อยู่ดี
..ต้องขอสารภาพว่าพออ่านเรื่องนี้จบ ก็รู้สึกว่ามันไปคล้ายๆ กับอีกหลายเรื่องราวที่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อนหน้านี้ ซึ่งดูแล้วเรื่องราวคงไม่ต่างจากหลงป่าแล้วไปเจอเมืองลับแล แต่จะต่างไปบ้าง ตรงที่เรื่องนี้เกิดในประเทศลาว และผู้เล่าก็บอกจุดเกิดเหตุเอาไว้อย่างชัดเจน…และนี้คือเรื่องราวทั้งหมด
Cr. สยองขวัญวาไรตี้