Home กระทู้ผีพันทิป คืนปีใหม่…สยองขวัญ

คืนปีใหม่…สยองขวัญ

คืนปีใหม่…สยองขวัญ

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 4 ปีที่แล้ว สมัยที่ผมยังเป็นนิสิตอยู่ที่มหาวิทยาชื่อดังแห่งหนึ่งของเมืองพิษณุโลก เช้าวันนั้น เดือนธันวาคม เป็นวันที่อากาศเย็นสบาย ผมลุกจากเตียงในหอพักเพื่ออาบน้ำเตรียมตัวไปเรียนที่คณะ เป็นที่รู้ดีว่านิสิตของมหาวิทยาแห่งนี้นิยม ขับขี่มอเตอร์ไซค์เป็นหลักและตัวผมก็เช่นกัน

เมื่อเดินทางไปถึงคณะ ผมก็เข้าเรียนตามเวลาปกติ ซึ่งวันนั้นมีคลาสแค่เพียง 1 วิชา พอเรียนเสร็จ ผมกับเพื่อนๆก็มานั่งสนทนากันตามประสาคนขี้คุย และคำถามหนึ่งก็ผุดขึ้นมาจากปากผม “ปีใหม่ไปเที่ยวไหนดีวะ”

ขณะนั้น ไอ้กาญ เพื่อนคนหนึ่งในกลุ่ม ได้เอ่ยปากตอบผมว่า ..มึงมาเที่ยวบ้านกูดิ บ้านกูมีปาร์ตี้ปีใหม่ทุกปี ฟรีทุกอย่าง เพื่อนมากันเยอะ.. ซึ่งบ้านของกาญ นั้นก็อยู่ที่ อ.เมือง จังหวัดพิจิตร จาก มหาวิทยาลัย ใช้เวลาเดินทางเพียง 1 ชั่วโมง ผมเห็นว่าใกล้และเดินทางสะดวกดี และด้วยความที่ช่วงปีใหม่ผมไม่ได้กลับบ้านอยู่แล้ว เพราะบ้านผมค่อนข้างไกล จึงตอบปากรับคำในทันที

เวลาก็ดำเนินมาถึงช่วงใกล้ปีใหม่ สาขาที่ผมเรียนไม่มีคลาสตั้งแต่วันที่ 29 ธันวา ผมกับเพื่อนตกลงกันก่อนหน้านี้แล้วว่าเราจะเดินทางวันนี้เลย ทางบ้านกาญค่อนข้างมีฐานะ ไม่แปลกที่มันจะมีรถยนต์สวยๆขับ และเราก็เริ่มออกเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัว

เราออกจากมหาวิทยาลัยช่วงสายๆ การเดินทางตลอด 1 ชั่วโมงกว่าๆเป็นไปอย่างราบรื่น อากาศที่เย็นสบายทำให้ไม่ต้องเปิดแอร์

เพียงแค่ลดกระจกของรถลงทั้งสองฝั่งเพื่อรับอากาศภายนอก ทำให้รู้สึกได้ใกล้ชิดธรรมชาติมากยิ่งขึ้น และสดชื่นไปอีกแบบ

พอขับรถเข้าหมู่บ้านที่กาญอยู่ เหมือนหมู่บ้านตามต่างจังหวัดทั่วไปที่มีทั้งบ้าน วัด และโรงเรียนอยู่ใกล้ๆกัน

ผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นี่เป็นมิตรต่อกันมาก ตลอดสองข้างทางมีแต่คนโบกมือทักทายไอ้กาญเพื่อนผม

กาญก็พูดกับผมพลางบังคับพวงมาลัยรถไปด้วยว่า คนแถวนี้ญาติๆอูหมด รู้จักกันทุกหลัง ตั้งรกรากกันมานานแล้ว อูก็เหมือนเป็นหลานๆเขานี่ละ

ในที่สุดเราก็มาถึงบ้านของกาญ ผมขอลงรถก่อนจะเลี้ยวรถเข้าบ้านเพื่อน เดินสำรวจรอบๆ ลักษณะพื้นที่บริเวณบ้านขนาดประมาณ 1 ไร่ เต็มไปด้วยต้นไม้ขนาดเล็กใหญ่ปะปนกันไป ทั้งต้นปาล์ม ต้นกล้วย หลังบ้านเป็นดงต้นมะนาว และต้นสัก ต้นยางนา ท้ายสุดติดรั้วหลังบ้านเป็นบ่อน้ำ

ภายในพื้นที่ 1 ไร่นั้น จะมีบ้านอยู่ 2 หลังเป็นบ้านใต้ถุนสูงเหมือนกัน หลังแรกเมื่อเข้าจากรั้วหน้าบ้านไปเป็นบ้านไม้ ลึกเข้าไปอีกประมาณ 15 เมตร เป็นบ้านปูน ซึ่งกาญจะแยกกันอยู่กับพ่อแม่ ส่วนของบ้านไม้ปกติกาญจะนอนกับพี่ชาย (พี่เกต) แค่ 2 คน ส่วนบ้านปูนเป็นบ้านของพ่อกับแม่

เมื่อเดินเข้าบ้านผมสังเกตความผิดปกติได้ชัดเจนหนึ่งอย่างคือ “ฮวงจุ้ย” บ้านหลังนี้แปลกมากตรงที่ทุกประตูในบ้านทะลุถึงกันหมด หากผมยืนอยู่หน้ารั้วบ้าน ประตูบ้านไม้ จะตรงกับรั้วบ้านพอดี และประตูบ้านไม้ จะตรงกับประตูห้องนั่งเล่นในตัวบ้าน ส่วนประตูห้องนั่งเล่น จะตรงกับประตูออกหลังบ้าน ถ้าเปิดประตูทุกบานจะมองทะลุออกเห็นบ้านปูนได้เลย

ซึ่งตามความเชื่อของคนทั่วไปมักจะเรียกลักษณะบ้านแบบนี้ว่า “ทางผีผ่าน” ผมรู้สึกขนลุกไม่น้อยแต่พยายามไม่วิตก คิดไปว่าคนแถวนี้เขาอาจจะไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ จึงไม่ซีเรียสกับ ฮวงจุ้ย ก็เป็นได้

พอตกช่วงบ่ายแก่ๆ หลังจากเราพักผ่อนกันได้สักพักใหญ่ๆ ไอ้กาญก็ชวนไปไหว้พระที่วัดในหมู่บ้าน

ระยะห่างจากบ้านกาญไปถึงวัดประมาณ 200 เมตร ถือว่าใกล้มาก เราจึงตกลงกันว่าจะเดินไปกัน

ทุกคนคงรู้อยู่แล้วว่าสมญานามของจังหวัดพิจิตรนั่นคือ “เมืองชาละวัน” ซึ่งวัดนี้ได้คงความเอกลักษณ์ของจังหวัดนี้ไว้ โดยมีจรเข้อยู่ในบ่อ 1 ตัว ขนาดไม่ใหญ่มาก ยาวประมาณ 1 เมตร พอเดาได้ว่ายังโตไม่เต็มวัย 

หลังจากดูจรเข้เสร็จ เราก็มุ่งตรงไปที่อุโบสถ จุดธูปกราบไหว้พระอยู่ครู่หนึ่ง ขากลับตอนเราเดินกำลังจะออกจากอุโบสถ เราทั้งคู่ก็ได้พบกับพระรูปนึงอายุราวๆ 60 ปลายๆ ท่าทางใจดีมีเมตตา ยิ้มให้กับเราทั้งคู่ ไอ้กาญจึงก้มลงกราบ และผมก็ได้รู้ว่าท่านเป็นเจ้าอาวาสของวัดแห่งนี้  และยังญาติห่างๆของไอ้กาญอีกด้วย คำแรกที่ท่านทักเราคือ “โยมกาญ เพื่อนโยมกำลังดวงตกนะ อย่าประมาทกับการใช้ชีวิตละ” คนที่หลวงพ่อหมายถึงก็คือผมนั่นเอง 

ตอนนั้นจิตผมตกไปอยู่ตาตุ่ม แต่ก็พลางทำใจดีสู้เสือ ชวนหลวงพ่อคุยเรื่องจรเข้ ผมก็ถามท่านว่า ท่านไปเอามาจากไหน ท่านตอบผมด้วยน้ำเสียงใจดีว่า อาตมารับมาจากชาวบ้านอีกที จรเข้ตัวนี้น่าจะหลุดมาจากที่ไหนสักแห่ง ครั้นจะปล่อยไว้ก็กลัวมันโดนรถเหยียบตาย หรือไปกัดเป็ด กัดไก่ชาวบ้านเขา อาตมาจึงรับมา

เราทั้งคู่นั่งสนทนากับหลวงพ่ออยู่ครู่นึง ท่านก็เล่าประวัติหมู่บ้านนี้ ความเป็นมาต่างๆให้เราทั้งคู่ฟัง จนเวลาล่วงเลยมาประมาณเกือบ 4 โมงเย็น เราจึงขอลากลับ

ขณะที่เราเดินกลับผมก็รู้สึกไม่สบายใจเท่าไหร่นักกับคำที่หลวงพ่อทัก ทำให้ผมค่อนข้างที่จะกลัวว่าจะเกิดอะไรไม่ดี แต่ผมยังจำประโยคที่ท่านพูดได้ว่า “จงอย่าประมาทกับการใช้ชีวิต” ผมจึงระลึกถึงคำนี้ และมันก็ช่วงคลายความกังวลได้บ้างเล็กน้อย

หัวค่ำเราก็ได้ทานอาหารกันพร้อมหน้า พร้อมตา ทั้งกาญ พี่เกต พ่อแม่กาญ และผม พ่อแม่ท่านก็ได้พูดคุยถามไถ่ถึงที่บ้านผม เรื่องเรียน เรื่องแฟน รวมถึงเรื่องกาญ และพ่อกับแม่ก็พูดเชิงฝากดูแลกาญเกี่ยวกับเรื่องเรียน เพราะกาญเป็นคนหัวช้า ซึ่งต่างจากผมที่ค่อนข้างเข้าใจอะไรง่าย

ตกดึกเราได้อาบน้ำอาบท่า เล่นเกม และนอนคุยกัน บ้านไม้ที่เรานอนนั้นมีสองห้องนอน แต่ผม กาญ พี่เกต ได้ตกลงกันว่าจะมานอนสุมอยู่ห้องเดียวกัน เพื่อจะได้เล่นเกมด้วยกันและนอนคุยกันสะดวก

จนเวลาล่วงเลยมาประมาณ 5 ทุ่มเราทั้งสามคนจึงได้พากันนอน เพราะพรุ่งนี้เราต้องเตรียมของแต่งบ้าน เตรียมจัดงานปาร์ตี้ปีใหม่แต่เช้า ตัวผมนั้นนอนบนเตียงกับพี่เกตคน ปล่อยให้ไอกาญเจ้าของบ้านมันนอนอยู่ที่พื้นคนเดียว 555

ผมคิดว่าตัวเองหลับไปประมาณ 2 ชั่วโมงได้ จู่ๆก็รู้สึกแปลกๆครั่นเนื่อครั่นตัว และเริ่มเป็นอาการหายใจลำบาก ผมสามารถขยับแขนขยับขาได้ สะลึมสะลือขึ้นมา จึงแน่ใจว่าไม่ได้เป็นอาการโดนผีอำแน่นอน แต่สิ่งที่ผมเห็นตรงหน้า ทำให้ผมใจเสียขึ้นไปอีก เพราะมันน่ากลัวกว่าการโดนผีอำหลายเท่า

ที่ปลายเท้าของผมมีผู้หญิงคนหนึ่ง ด้วยความมืดไม่แน่ใจว่าเธอใส่ชุดสีออกขาวๆหรือเทา นั่งยองๆมองหน้าเขม่นมาทางผม ผมยาวฟูรุงรังดูสกปรก นัยน์ตามีประกายสีแดงจนน่าขนลุก ที่สำคัญปากเธอกว้างผิดมนุษย์มนาและมีลิ้นที่ยาวมาก คล้ายกับกบ ลิ้นที่ยาวของเธอนั้นพาดยาวออกมา จนสามารถวางบนตัวผมได้ 

เมื่อผมก้มลงมองที่หน้าอกตัวเอง อาการที่เรียกว่าสติหลุดก็เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว เพราะภาพที่ผมเห็นคือลิ้นของเธอคนนั้นกำลังพันคอผมอยู่ มันทำให้ผมหายใจได้ไม่สะดวก พลันจะเรียกให้พี่เกตช่วย เสียงผมมันก็ไม่ออกมาจากลำคอ ตอนนั้นมันมีเส้นบางๆระวังความเป็นกับความตาย ในใจผมคิดว่าถ้าไม่มีใครสักคนมาช่วย ผมอาจจะต้องไปอยู่ภพเดียวกับผู้หญิงคนนั้นก็ได้

เมื่อเรื่องที่เกิดขึ้นตรงหน้ามันน่ากลัวจนไม่สามารถคิดทำอะไรได้ทัน สิ่งแรกที่ผมทำได้คือรวบรวมสติไว้ให้ได้มากที่สุด ก่อนที่ผมจะสติแตกไปเสียก่อน และต่อด้วยการสวดมนต์บทต่างๆ ทั้งนะโม 3 จบ อะระหังสัมมาฯ แบบผิดๆถูกๆ 

ช่วงเวลานั้นทุกอย่างมันน่ากลัวและรู้สึกว่ามันเป็นห้วงเวลาที่นานเอามากๆ อยู่ๆผมก็ไปถึงนึกองค์พระศรีอาริยเมตไตร ซึ่งเป็นพระที่ทางบ้านผมให้ความเคารพบูชานับถือเป็นอย่างมาก ถือได้ว่าเป็นพระคู่หมู่บ้านผมเลยก็ได้ เพียงไม่กี่วินาทีที่ผมนึกถึงองค์ท่าน ผมก็หลุดจากภวังค์ตรงนั้นทันที่

ด้วยความตกใจกลัว หวาดระแวง หรืออะไรก็แล้วแต่ ผมรีบดีดตัวลุกขึ้นมานั่งหายใจหอบ ร่างกายเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ เมื่อดูเวลาตอนนั้นก็ตี 3 กว่าแล้ว ที่น่าแปลกคือทั้งๆที่ผมพยายามดิ้น ส่งเสียง ขยับตัวในช่วงที่อยู่ในภวังค์มากขนาดไหน แต่เหมือนกาญกับพี่เกตไม่ได้รู้สึกและรับรู้กับสิ่งที่ผมเจอเลย ทั้งคู่ยังคงหลับสบายดี

เมื่อผมตั้งสติได้จึงพยายามคิดทบทวนว่า เมื่อกี้มันอะไรกันแน่ เรื่องที่เกิดขึ้นนี่เป็นเรื่องจริงหรือฝันไป จากนั้นผมจึงลุกขึ้นไปเข้าห้องน้ำ ด้วยความเหนียวเนื้อเหนียวตัวจึงล้างตัวด้วยน้ำเปล่า ระหว่างที่ถูๆเหงื่อออกจากตัวผมก็รู้สึกปวดๆเจ็บๆที่ต้นคอ จึงเช็ดตัวแล้วมาส่องกระจกบานใหญ่หน้าห้องน้ำ สิ่งที่อยู่ในกระจกคือ ตัวผมที่มีรอยแดงรอบคอเหมือนถูกเชือกเส้นใหญ่มารัดไว้จนเป็นจ้ำๆ มันทำให้ผมรู้ได้ทันทีว่า ผมไม่ได้ฝันไป หลังอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ผมก็ไม่ได้นอนอีกเลย ได้แต่นั่งเล่นโทรศัพท์ ใส่หูฟังเปิดเพลงเพื่อกลบความกลัวในใจ 

จนเช้าวันรุ่งขึ้น พี่เกตกับกาญตื่นนอนประมาณ 7 โมงเช้า วันนั้นเป็นวันที่ 30 ธันวาคม พอไอ้กาญตื่นมามันก็ทักผมว่าทำไมตื่นเช้าจังวะ รีบหรอ… ผมก็นึกอยู่ในใจว่า “ก็ไม่ได้รีบ แต่..เรื่องที่กูเจอเมื่อคืนทำให้กูนอนไม่ได้เลย” แต่ผมก็ไม่ได้เล่าอะไรให้คนในบ้านฟังเลย ได้แต่เก็บไว้อย่างนั้น เพราะถ้าเขาไม่เชื่อก็จะหาว่าผมสร้างเรื่อง และอีกแง่หนึ่งถ้าเขาเชื่อ ผมกลัวว่าคนในบ้านจะไม่สบายใจ

เราทั้งสามคนผลัดกันอาบน้ำอาบท่า เตรียมตัวลงไปทานอาหารเช้า อาหารที่พ่อกับแม่เตรียมสำรับไว้ให้นั้นมีอยู่ 4-5 อย่าง แต่ละอย่างน่าทานมาก ไม่ว่าจะเป็นปลาผัดคึ่นช่าย แกงส้มไข่ปลา ไข่เจียวหมูสับ บลาๆ ซึ่งแต่ละเมนูล้วนเป็นอาหารโปรดของผมทั้งนั้น แต่วันนั้นอาหารพวกนั้นไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกอยากกินขึ้นมาเลย

เรื่องที่เกิดขึ้นทำให้ผมไม่อยากทานอะไร ผมได้แต่นั่งเขี่ยข้าวไปๆมาๆ จนพี่เกตทักผมว่า “เห้ยน้อง.. เป็นไรป่าวทำไมดูซึมๆข้าวปลาก็ไม่กิน ไหนมีอะไรเล่าให้พี่ฟังหน่อย” ผมได้แต่ส่ายหัวด้วยสีหน้าอิดโรย พลางพูดออกไปว่าไม่เป็นอะไรครับพี่

หลังจากทานข้าวกันเสร็จ ภารกิจของเราในวันนี้คือ ไปตัดไม้ไผ่เพื่อจะนำมาทำเป็นคบไฟรอบๆโซนปาร์ตี้ภายในลานบ้าน ซึ่งสวนหลังบ้านไอ้กาญจะมีกอไผ่อยู่ข้างๆบ่อน้ำ เราจึงเตรียมพล้า มีดดาบ เสียม เดินไปหลังบ้านกัน 3 คน 

ขณะที่เรากำลังลงมือตัดไม้ไผ่ได้จำนวนหนึ่งแล้ว หูผมแว่วได้ยินเสียงๆหนึ่งลอยมาตามลมว่า “ไปไหม…” เป็นเสียงยานๆแหบๆของผู้หญิง ซึ่งผมไม่รู้ว่ามาจากทางไหน ผมไม่ทันได้คิดเอะใจอะไร เพราะด้วยตอนนั้นมันยังกลางวันแสกๆ มันคงไม่ใช่เรื่องสัมภเวสีอะไรพวกนี้เป็นแน่ 

แต่แล้วผมก็ต้องกลับคำ เมื่อผมได้ยินเสียงเดิมอีกครั้งแต่ครั้งนี้มันชัดมาก ชัดเหมือนมีคนมายืนพูดอยู่ใกล้ๆ “ไปไหม.. ไปอยู่ด้วยกันไหม..?” ผมตกใจสะดุ้งตัวโก่งจนเผลอทำมีดพล้าหลุดมือ

“มึงงเป็นไร?” ไอ้กาญเอ่ยปากถามผมด้วยสีหน้าตกใจ ท่าทางผมตอนนั้นค่อนข้างหวาดระแวง ผมเลยถามกลับไปว่า “เมื่อกี้พี่เกตกับกาญได้ยินเสียงอะไรไหม” คำตอบที่ได้กลับมาก็คือ เสียงอะไรหรอ ไม่เห็นได้ยินอะไร ผมเลยตอบกลับไปว่า “ไม่มีอะไร ผมคงหูฝาดไปเอง”

หลังจากที่เราตัดไผ่เสร็จ เราก็มาช่วยกันทำคบไฟแบบบ้านๆ โดยนำขวดเครื่องดื่มชูกำลังมาผูกติดกลับปลายด้านหนึ่งของท่อนไม้ไผ่ที่มีความยาวประมาณ 1 เมตร ผูกทั้งสองอย่างติดกันด้วยลวด หรือเชือกหวายที่ไม่แข็งเกินไป

เมื่อต้องการใช้งานคบไฟ เพียงแค่เติมน้ำมันดีเซลลงในขวดเครื่องดื่มนั้นๆ จากนั้นม้วนกระดาษทิชชูใส่ลงไปเหมือนไส้เทียนโผล่พ้นปากขวดเล็กน้อย จะสามารถใช้เป็นคบไฟได้ทันที

ตอนนี้คบไฟได้เสร็จลงไปแล้ว งานต่อไปคือทำความสะอาดบริเวณบ้าน และติดของตกแต่งบริเวณที่จะจัดงาน แต่ด้วยความที่เมื่อคืนผมแทบไม่ได้นอน อ่อนเพลียจนไอ้กาญกับพี่เกตสัมผัสได้ทั้งสองคนจึงไล่ผมมาพัก 

ตอนนั้นด้วยความเหนื่อย ถึงจะกลัวแต่ร่างกายผมก็จำเป็นต้องพักผ่อน จึงเดินขึ้นบนบ้านเข้าไปในห้องนอน ล้มตัวลงเตรียมนอน เพียงไม่นานผมก็เผลอพล้อยหลับไป

ช่วงเวลาที่ผมกำลังหลับ เหมือนจิตผมยังไม่สงบทำให้หลับได้ไม่สนิท อยู่ในอาการกึ่งหลับกึ่งตื่น ตาหลับแล้วแต่หูยังพอได้ยินสิ่งรอบตัว 

ไม่นานผมก็ได้ยินเสียงแปลกๆดังขึ้นจากมุมห้อง “ฮือออ.. ฮือ” เป็นเสียงผู้หญิงคล้ายกำลัง ครวญคราง ปนร้องไห้ ด้วยความง่วงผมเลยไม่มีสติที่จะสนใจสิ่งที่ได้ยินอยู่ขณะนั้น แต่เหมือน “เธอ” คนที่อยู่ตรงนั้นจะรู้ว่าผมทำเหมือนไม่สนใจ

เธอจึงร้องครวญครางต่อและพูดออกมาเสียงอ่อยๆโหยหวนว่า “ช่วยฉันด้วย…” ทันทีที่ได้ยินเสียงนั้นผมสะดุ้งค่อยๆลืมตาขึ้นมา เพราะผมจำได้แม่นเลยว่า เสียงนั้นคือเสียงเดียวกับที่ได้ยินที่กอไผ่ 

ขณะที่ลืมตาขึ้นมาแล้ว ผมพยายามมองหาต้นตอของเสียงว่ามาจากไหน แต่ด้วยความที่บ้านเพื่อนผมเป็นบ้านไม้ที่ค่อนข้างมิดชิด หากไม่ได้เปิดหน้าต่าง มันค่อนข้างจะมืดทึบ ถึงจะเป็นตอนบ่ายแก่ๆมันก็ยังมองสิ่งที่อยู่ในบ้านยากอยู่ดี หากไม่เปิดไฟ จึงต้องใช้เวลาสักพักกว่าที่ตาจะปรับสภาพได้จนพอมองอะไรได้ชัด

เมื่อตาปรับสภาพได้แล้ว สิ่งที่ผมเห็นคือ ผู้หญิงคนเดิม นั่งอยู่ท่าเดิม แต่ตอนนี้เธออยู่ที่มุมห้อง แววตาสีแดงฉาด ปากและลิ้นที่ผิดมนุษย์มนา บวกกับผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงและเนื้อตัวมอมแมมมันทำให้ผมขนลุกยิ่ง จนแทบจะปัสสาวะราด

แต่คราวนี้เธอคนนั้นไม่ได้เข้ามาใกล้ เพียงแค่นั่งมองมาทางเตียง พรางพรึมพำอะไรอยู่ในปาก พอจะจับใจความได้ว่า “ช่วยด้วย!”

ตัวผมนั้นเป็นคนที่ค่อนข้างมีเซ้นส์พอสมควร แต่ไม่ถึงขนาดนั่งคุยกับวิญญาณหรือสื่อสารกับสัมภเวสีได้ ครั้งนี้เป็นหนแรกที่ผมรู้สึกว่าวิญญาณต้องการสื่อสารอะไรกับผม.. แต่ถึงจะรู้เช่นนั้น ความกลัวของผมนั้นมันมีมากกว่าความกล้า เจอแบบนี้ใครจะอยู่ ผมเลยรีบถีบผ้าห่มลุกไปเปิดประตูห้องนอน และวิ่งลงจากบ้านอย่างรวดเร็ว ไปหาพี่เกตกับกาญ

สีหน้าของผมตอนนั้นค่อนข้างแตกตื่นซึ่งผมรู้ตัวเองดี แต่ก็พยายามเก็บอาการเพื่อไม่ให้ทั้งสองคนแตกตื่นไปกับผมด้วย

กาญเอ่ยปาก “มึงเป็นอะไร ทำไมท่าทางลุกลี้ลุกรน” ผมตอบด้วยน้ำเสียงสั่นๆ “เปล่ากูไม่ได้เป็นไร แค่รู้สึกว่าบนบ้านมันร้อนๆนอนไม่หลับ เลยลงมาหาอะไรทำ” ตอนนั้นยอมรับเลยว่าผมแถ เพราะในห้องก็มีเครื่องปรับอากาศ

ทั้งคู่ทำสีหน้าสงสัย แต่ก็ไม่ถามซอกแซกอะไรผมต่อ เพราะรู้ว่าผมเป็นคนขี้รำคาญเล็กๆ ผมจึงถามพี่เกตต่อว่า ตอนนี้กี่โมงแล้วพี่ ผมไม่ได้หยิบโทรศัพท์มือถือลงมา ส่วนนาฬิกาข้อมือผมก็ถอดวางไว้ที่หัวเตียง

ผมตกใจเล็กน้อยเมื่อพี่เกตตอบกลับมา เพราะเวลามันเพิ่งผ่านไปแค่ 15 นาที แต่ความรู้สึกของผมเหมือนผมจ้องมองเธอคนนั้นนานหลายชั่มโมง

จนตกช่วงพลบค่ำ เราก็มานั่งทานอาหารเย็นร่วมกันอย่างพร้อมหน้า แต่สีหน้าของผมนั้นอ่อยเพลียกว่าที่เคยเป็น จนผมสังเกตได้ว่าพ่อกับแม่กาญ ส่งสายตามาทางกาญด้วยความสงสัยว่าผมเป็นอะไร แต่กาญก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ..ผมนั่งมองอาหารบนโต๊ะ ด้วยอาการไร้ความอยากใดๆ

ในใจผมก็คิดว่า ถึงเราจะไม่อยากแต่เราก็ต้องกิน หากไม่กินเราจะแย่ ผมเลยพยายามทานข้าว 1 ทัพพีให้หมด ซึ่งมันน้อยมากสำหรับผู้ชายตัวใหญ่อย่างผม แต่มื้อนั้นผมกลับรู้สึกว่าข้าวมันเยอะ และอิ่มมากจริงๆ

เมื่อทานข้าวเสร็จ ผมจึงขอตัวขึ้นบ้านก่อนเพื่อเตรียมอาบน้ำนอน ขณะที่อาบน้ำ ผมก็พยายามทบทวนเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดว่ามันคืออะไร มันเกิดขึ้นได้อย่างไร และผมได้ไปทำอะไรให้ใครหรือเปล่า แต่คำตอบก็คือ เปล่าเลย.. ผมไม่ได้ไปก่อกรรม หรือทำอะไรให้ใคร แล้วทำไมเขาถึงต้องมาตามผมล่ะ ตอนนั้นสิ่งหนึ่งที่ผุดขึ้นมาในหัวคือ คำที่หลวงพ่อท่านนั้นทักว่าดวงผมกำลังตก

…หรือผมจะกำลังดวงตกมากจริงๆ?…

คืนนั้นหลังจากอาบน้ำเสร็จด้วยความอ่อนเพลียอย่างมาก ผมจึงรีบเข้าห้องนอน ไม่รอเล่นเกม ไม่รอคุยกับกาญและพี่เกต เรื่องที่เกิดขึ้นกับผม ทำให้ผมไม่ลืมสวดมนต์ก่อนนอนในครั้งนี้ ผมสวดบทนะโม 3 จบ บทอิติปิโส และอื่นๆอีกเล็กน้อยเท่าที่พอจำบทสวดได้ จากนั้นก็กราบพระ ระลึกถึงพระพุทธเจ้า พระศรีอารย์ฯ และที่ไม่ลืมนึกถึงเลยก็คือ คุณบิดรมารดา

ภายหลังสวดมนต์เสร็จ ผมล้มตัวนอนลงนอน เมื่อหัวถึงหมอนผมก็หลับไปโดยไม่รู้ตัว คืนนั้นผมหลับสนิทจนไม่รู้สึกหรือฝันอะไร ตื่นมาอีกทีก็เช้าวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ 31 ธันวาคม

เช้านี้ผมรู้สึกสดชื่นกว่า เมื่อวานที่ผ่านมา ภารกิจของเราในวันนี้ก็คือการเตรียมอาหารที่จะรับประทานในงานปีใหม่ ด้วยความที่บ้านกาญค่อนข้างใหญ่ เพื่อนที่มาร่วมงานก็จะมีเพื่อนแถวบ้าน เพื่อนสมัยมัธยม และเพื่อที่อยู่ที่มหาวิทยาลัย ซึ่งทั้งหมดต่างรุ่นราวคราวเดียวกันทั้งหมด งานนี้จึงสนุกไม่น้อย (จากคำบอกเล่าของพี่เกต) เพราะทุกคนต่างรู้จักกัน โดยมีบ้านไอ้กาญเป็นตัวเชื่อมทุกคนเข้าด้วยกัน

(ผมลืมบอกไปว่า แม่กาญรับราชการคุณครูโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งในจังหวัดนั้น เป็นที่รักของนักเรียนทำให้มีเด็กรุ่นราวคราวเดียวกับกาญมาสนิทกับ กาญและแม่มากมาย)

กาญกับผมจึงอาสาออกไปซื้อของพวกขนมและเครื่องดื่มต่างๆ ส่วนพ่อก็อาสาโทรสั่งของสดทั้งไก่ หมู เครื่องในสารพัด ช่วงที่เราออกไปซื้อของกัน กาญเป็นคนขับและผมนั่งอยู่ข้างๆ เมื่อได้โอกาสอยู่กับกาญเพียง 2 คน ผมจึงยิงคำถามที่มันคาใจผมมากช่วง 1-2 วันมานี้

ผม : กาญบ้านมึงมีอะไรแปลกๆหรือเปล่า

กาญ :ก็ไม่นะ มึงเป็นอะไรหรือเปล่า กูเห็นมึงผิดปกติมาพักใหญ่ๆแล้ว

ผม : ก็กูเจอ…. (ผมก็เล่าทุกอย่างให้กาญฟังอย่างละเอียด) 

กาญหน้าถอดสีหลังจากผมเล่าจบ และมันก็ตอบกลับมาว่า “มันก็เคยเห็นบ้างเป็นเงา หรือเห็นหางตาแว๊บๆแต่ไม่เคยเจอหนักขนาดผม” กาญไม่รู้ด้วยว่าสิ่งที่มันเห็นเป็นวิญญาณจริงๆหรือเปล่า

แต่หลังจากมันฟังผมเล่าจบ ผมรู้สึกได้ว่ามันค่อนข้างเชื่อผมพอสมควร ด้วยอุปนิสัยส่วนตัวของผมเป็นคนที่ไม่โกหก เมื่อมีเรื่องคอขาดบาดตาย ถึงผมจะเป็นคนขี้เล่นแค่ไหนก็ตาม

กาญเลยบอกว่า งั้นเอางี้.. คืนนี้มึงอย่าเมามาก พรุ่งนี้เช้ากูต้องไปทำบุญปีใหม่กับพ่อแม่พอดี เดี๋ยวมึงไปพร้อมบ้านกูเลย ทำบุญเสร็จแล้วจะให้พ่อแม่กลับก่อน เดี๋ยวกูจะพามึงไปหาท่านเจ้าอาวาส เป็นการส่วนตัว…ผมจึงตอบรับตกลง เพราะคิดว่าหลวงพ่อท่านนั้นจะสามารถช่วยอะไรผมได้บ้างเป็นแน่

หลังจากกลับจาก ซูเปอร์มาเก็ต เราได้มาทั้งขนมสารพัดอย่าง เครื่องดื่มแอลกอฮอล์หลายชนิด น้ำอัดลม ของว่างต่างๆ จากนั้นก็ช่วยกันขนของลงจากรถ เมื่อถึงบ้านและจัดวางทุกอย่างบนโต๊ะ ที่คล้ายๆเคาท์เตอร์บาร์ย่อมๆตรงโซนปาร์ตี้ จากนั้นเราก็มาง่วนกับการทำอาหาร วัตถุดิบที่เรามีจะมีเนื้อเป็นหลัก ทั้งหมู 1 ตัว ไก่อีก 3 ตัว และพวกเครื่องในอีก 1 ถุง

ผมอาสาทำหมูกับกาญสองคน โดยหมูตัวนี้เราจะนำมาหันทานกัน หลังจากชำแหละหมูตัวนี้มาอย่างเรียบร้อยแล้ว สิ่งที่เราต้องทำก็คือ ทำความสะอาดหมูตัวนั้นอีกรอบ ตัดเนื้อบางส่วนออกมาเพื่อที่จะเอามาทำลาบ และทำน้ำตก จากนั้นก็นำไม้ไผ่ที่เหลือจากที่เราตัดไว้เมื่อวาน มาเสียบทำเป็นคานที่จะใช้หันหมู

เราเริ่มหันหมูตั้งแต่ 10 โมงเช้า ผมก็นั่งอยู่ตรงกองไฟ คอยทาซอส พรางกับหมุนไม้ไผ่ไปเรื่อยๆเพื่อไม่ให้หนังหมูไหม้เกรียมจนเกินไป ผมกับกาญก็ผลัดกันดูบ้าง ด้วยความที่หมูตัวใหญ่มาก เราจึงเลือกใช้ไฟอ่อนๆเพื่อให้เนื้อสุกทั่วถึงทั้งตัว กว่าหมูหันจะสุกจนสามารถทานได้จริงๆเวลาก็ปาไปเกือบ 5 โมงเย็น

ช่วงฤดูหนาว 5 โมงกว่าๆฟ้าก็เริ่มโผล้เพล้ เพื่อนๆกาญต่างเริ่มเดินทางเข้ามาบ้างแล้ว หลักจากกับข้าวทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยผมกับกาญก็แบ่งตักไปไหว้ศาลพระพรหม อฐิษฐานขอให้เจ้าที่เจ้าทางช่วยมาปกปักษ์รักษาจากภยันตรายทั้งปวง

เมื่อไหว้บูชาศาลเสร็จ ผมขอตัวไปอาบน้ำแต่งตัวใหม่ก่อน เพราะทั้งตัวมีแต่กลิ่นควันและเหม็นคาวๆจากการหันหมูมาทั้งวัน ที่สำคัญเพื่อนๆผู้หญิงกาญหน้าตาดีๆก็เยอะ ถ้าให้เขาเห็นสภาพผมแบบนี้คงอายแย่ 

ผมขึ้นบ้านแล้วถอดเสื้อผ้าเตรียมอาบน้ำ ก่อนที่จะเข้าห้องน้ำผมได้ส่องกระจกบานใหญ่ด้านหน้าก่อน ดูสภาพตัวเอง  หลังจากที่ไม่ได้ส่องมา 2 วันแล้ว สิ่งที่เห็นทำให้ผมเกิดคำถามในหัว น่าแปลกใจคือ รอยแดงแถวๆต้นคอ นั้นแทบไม่จางลงเลย ซึ่งปกติรอยช้ำเล็กๆน้อยๆอยู่บนตัวผมได้วันสองวันก็หายแล้ว มันทำเอาผมวิตกไม่น้อย

เมื่อผมอาบน้ำเสร็จ ก็ลงมาที่พื้นที่จัดงานปาร์ตี้ บริเวณนั้นจะเป็นสวนที่มีต้นไม้ขึ้นแซมไม่เยอะ กว้างพอให้เราจัดงานกันได้ไม่อึดอัด ผู้ร่วมงานนับรวมคร่าวๆ ไม่ต่ำกว่า 20 ชีวิต เราต่างดื่มเหล้า พร้อมกับทานกับแกล้ม คุยหยอกล้อกันเหมือนรู้จักกันมานาน คงเพราะด้วยฤทธิ์สุราทำให้เราพูดคุยกันได้ง่ายขึ้น และทำให้ผมลืมเรื่องไม่ดีที่เกิดขึ้นไปได้บ้าง

จนเวลาผ่านมาเรานั่งดื่มกันมาพักใหญ่ ผมรู้สึกเหมือนมีตัวอะไรจ้องมองมาจากสวนมะนาวที่อยู่ลึกเข้าไป ครั้งแรกที่ผมมองผ่านๆก็เห็นเหมือนมีแมวมองมาจากพื้นที่ตรงนั้น เพราะตาของแมวมันจะวาวๆแล้วสะท้อนแสง ผมจึงปล่อยผ่าน

แต่เมื่อผมมองไปที่ดวงตาคู่นั้นอีกครั้ง มันยังจ้องกลุ่มของพวกเราอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน เมื่อตั้งใจมองดีๆเข้าไปในความมืด มันกลับไม่ใช่ตาของแมว แต่มันเป็นดวงตาของใครบางคน ที่สามารถรู้ได้เพราะผมเห็นเงาลางๆของมนุษย์ที่กำลังยืนอยู่

ผมจึงหันไปถามกาญว่า “มีใครเข้าไปฉี่ในสวนมะนาวหรอ” กาญก็ตอบกลับมาว่า “เออคงงั้นและ มาๆชนแก้ว”

ผมจึงไม่ได้คิดอะไรต่อ เลือกที่จะไม่หันไปมองอีก ถึงเจ้าของแววตาคู่นั้นจะยังไม่ไปไหน และดูจะผิดจริตจากคนปกติธรรมดาก็ตาม

เวลาล่วงเลยมาถึงช่วงใกล้เค้าดาวน์ ไอ้กาญเจ้าของบ้านดันคออ่อนขอไปนอนก่อน ทิ้งให้ผมอยู่กับพวกเพื่อนๆมันที่แต่ละคนสภาพก็ไม่ต่างจากไอ้กาญ 

จนเที่ยงคืนครึ่ง ทุกคนตกลงกันว่าจะแยกย้ายเพราะเราดื่มกันมาหนักมาก เพื่อนบางคนที่ขับรถไหวก็ต่างขับรถกลับบ้านของตน คนที่ไม่ไหวก็นอนที่บ้านกาญมันนี่เลย สรุปแล้วคืนนั้นผมมีเพื่อนนอนด้วยร่วม 10 ชีวิต มันเลยทำให้ผมอุ่นใจขึ้นมาได้บ้าง

คืนวันขึ้นปีใหม่ถ้าจะถามว่าผมหลับสบายดีไหม มีเรื่องอะไรมากวนใจหรือเปล่า ผมคงพูดได้ไม่เต็มปากว่าหลับสบายดี เพราะหูผมยังได้ยินเสียงผู้หญิงคนเดิมแว่วๆ แต่ด้วยฤทธิ์ของน้ำเมาทำให้ผมยกหัวตัวเองไม่ขึ้น อยากแต่จะนอน ถ้าลุกขึ้นมาก็คลื่นใส้อยากอาเจียน ทำให้ผมหลับไปในที่สุด

วันรุ่งขึ้น เช้าวันที่ 1 มกราคม ผมสะดุ้งตื่นประมาณ 7 โมงครึ่งพรางนึกได้ว่าเช้าวันนี้เรามีนัดทำบุญ เลยรีบสะกิดกาญให้ตื่น กาญตื่นมาแล้วดูนาฬิกาพร้อมตอบว่า ตอนนี้ไปก็ไม่ทันแล้ว เพราะเวลานี้พ่อแม่คงทำบุญเลี้ยงอาหารเช้าพระเรียบร้อย

แต่เรายังมีหนึ่งข้อสงสัยสำคัญนั่นคือเรื่องของผม เราทั้งคู่จึงรีบลุกไปอาบน้ำเตรียมตัว เพื่อที่จะไปวัด ตอนที่เราเดินไปถึงวัดเป็นเวลา 8 โมงกว่าๆ พอเข้าวัดไปเราก็เห็นท่านเจ้าอาวาสแต่ไกล กำลังกำไม้กวาดทางมะพร้าวกวาดใบไม้ตรงลานวัดอยู่

เมื่อเดินไปถึงท่านเราก็กราบนมัสการ ท่านก็พูดสวนกลับมาว่า “โดนมาหนักเหมือนกันนะโยม” พระท่านทักโดยที่ผมยังไม่ทันเอ่ยปากเล่าอะไรให้ท่านฟังสักคำ ผมได้แต่ตอบท่านด้วยน้ำเสียงเนือยๆว่า “ใช่ครับท่าน” และก็เริ่มเล่าเรื่องทั้งหมดให้หลวงพ่อท่านฟัง

หลังจากเล่าจบหลวงพ่อก็ถอนหายใจสุดแรง “เฮ้อ..” พร้อมกับพูดว่า “อาตมา ไม่อยากยุ่งเรื่องพวกนี้หรอกนะ..แต่อาตมาก็ไม่อยากให้คนตายสร้างเวรสร้างกรรมเพิ่มอีกเช่นกัน มันจะเป็นบ่วงติดตัวทำให้เขาไปไหนไม่ได้”…ถ้างั้นอาตมาจะยื่นมือช่วยโยมก็แล้วกัน… หลวงพ่อพูดทิ้งท้าย

หลวงพ่อชวนเราเข้าไปที่กุฏิ และถามคำถามหนึ่งซึ่งผมก็หาคำตอบไม่ได้ว่า “โยมไปทำอะไรที่ไม่ถูกไม่ต้องมาหรือเปล่า”

ผมนั่งนึกไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อแน่ใจแล้วผมถึงตอบท่านว่า “ไม่ครับ” 

“ถ้างั้นอาตมาคงไม่ทราบสาเหตุได้ เพราะตัวโยมเองก็ไม่รู้เช่นกัน..อาตมาจะเชิญเขามาพูดคุยกันเลยดีกว่า”

ผมรู้สึกตกใจกับคำพูดของหลวงพ่อ แต่เพื่อให้ทุกอย่างจบลง คงจำเป็นต้องแข็งใจพบหน้าเธอคนนั้นอีกครั้ง

ท่านเจ้าอาวาสจึงหันไปกราบพระ บนโต๊ะหมู่บูชาที่ตั้งอยู่มุมของกุฏิ และได้จุดธูปสวดมนต์อาราธนาอยู่พักหนึ่ง หลังจากท่านสวดมนต์เสร็จ ก็ปักธูปและก้มลงกราบพระอีกครั้ง

“ไหนโยมคนไหนที่มารบกวนเด็กหนุ่มคนนี้ ต้องการอะไรออกมาคุยกันหน่อยสิ้” หลวงพ่อเอ่ยปากออกเสียงด้วยน้ำเสียงค่อนข้างแข็งกร้าว แต่ยังคงความสำรวม

หลังจากสิ้นเสียงท่านได้ไม่นาน ก็ปรากฎภาพผู้หญิงร่างกายสกปรก หน้าตาน่าเวทนาคนนั้นยืนอยู่ด้านล่างของกุฎิ และส่งสายตาอาฆาตมาที่ผมพร้อมกับขยับปากพรึมพำ ซึ่งมีแค่ผมกับหลวงพ่อเท่านั้นที่เห็น กาญเพื่อนผมมันได้แต่นั่งงง

“โยมต้องการอะไรจากเขา มีเวรมีกรรมอะไรร่วมกันถึงต้องตามเขามาด้วย”

ผมเห็นผู้หญิงคนนั้นทำท่าทีเหมือนกำลังตอบหลวงพ่อ แต่ผมไม่สามารถฟังได้ว่าผู้หญิงคนนั้นพูดอะไร เพราะผมแทบจะไม่ได้ยินอะไรเลย

ครู่หนึ่งหลวงพ่อหันมาหาผมแล้วถามว่า “โยมไปสุสานคนจีนที่อยู่หลังวัดมาใช่ไหม?”

“ใช่ครับ ผมไปตั้งแต่วันแรกที่มาถึงเพราะกาญไปไหว้บรรพบุรุษ ผมจึงตามไปด้วย”

(ผมลืมบอกไปว่าหลังวัดจะมีฮวงซุ้ยคนจีน และฮวงซุ้ยนั้นขนาดกว้างมาก จนกินพื้นที่มาติดกับรั้วหลังบ้านกาญ คือถ้าข้ามรั้วที่ติดบ่อน้ำหลังบ้านไปจะเจอกับสุสานทันที)

หลวงพ่อ : แล้วโยมรู้ไหมว่าโยมไปเดินเหยียบแถวๆหลุมฝังกระดูก ของผู้หญิงคนนี้

ผม : อะไรนะครับ ผมยังไม่ได้เหยียบอะไรแปลกๆเลย

หลวงพ่อ : โยมลองนึกดีๆ โยมผู้หญิงคนนี้เขาเป็นศพไม่มีญาติ จึงไม่มีฮวงซุ้ยสวยๆเหมือนคนอื่น พอตายไปก็ได้แต่ฝังดินเปล่าๆ ป้ายชื่อบนหลุมศพก็ยังไม่มี

ผมลองนั่งนึกอยู่ครู่นึงก็นึกออกว่า ช่วงที่กาญมันไปไหว้หลุมศพบรรพบุรุษ ผมรู้สึกเมื่อยจึงคิดจะหาที่นั่งรอ พอมองไปก็เห็นเนินดินเตี้ยๆ มีหญ้าขึ้นเล็กน้อย จึงได้ทิ้งตัวลงนั่งบนเนินดินนั้น เพื่อรอเพื่อน ผมจึงแน่ใจได้ว่า “ต้องเป็นจุดนั้นเป็นแน่”

หลวงพ่อได้ถามผู้หญิงคนนั้นอีกว่า เด็กคนนี้เขาไม่ได้ตั้งใจ ไม่รู้เรื่อง โยมจะให้เขาทำยังไง เลิกยุ่งกับเขาได้ไหม แล้วหลวงพ่อเงียบก็ไปสักพักหนึ่ง ด้วยความร้อนใจผมจึงถามคำถามออกไป

ผม : หลวงพ่อครับเขาว่าอย่างไรบ้าง ?

หลวงพ่อ : เขาอยากให้โยมไปขอขมาเขาในจุดๆนั้น และต้องบวชให้เขาด้วย เพราะทุกวันนี้เขายังไม่ได้ไปผุดไปเกิดด้วยกรรมทั้งหลายที่เคยก่อมา

ผม : แล้วผมต้องบวชนานเท่าไหร่ครับหลวงพ่อ เพราะผมยังต้องเรียนอยู่

หลวงพ่อ : ระยะเวลาไม่ใช่เรื่องสำคัญหรอกโยม ถ้าโยมตั้งใจภาวนาบุญให้เขา

บวชแค่ 3 วัน 7 วันก็มากเพียงพอแล้ว

ผม : ได้ครับ ผมจะลาเรียนมาบวชให้เธอคนนั้น

ด้วยความที่ผมเป็นคนง่ายๆ ผมก็โทรบอกพ่อ-แม่ และโทรลาอาจารย์ที่มหาวิทยาลัย ผมบอกกับพ่อแม่ว่า จะบวชที่วัดนี้เลยสัก 3 วัน โกนหัวเข้าวัด ไม่ต้องมาหรอกเดินทางลำบาก แล้วก็ได้ไหว้วานให้กาญกับพี่เกตช่วยเป็นธุระให้ หาของที่ต้องใช้ในการเข้าพิธีอุปสมบท กาญจึงไปเล่าให้พ่อแม่ตนเองฟัง ทั้งพ่อและแม่กาญจึงเต็มใจที่จะช่วยผม

เมื่อจัดการกับกิจทางโลกเสร็จผมก็พร้อมที่จะเข้าโบสถ์เพื่อบวชอุทิศส่วนบุญให้เธอ วันรุ่งขึ้นวันที่ 2 มกราคม ผมได้เดินไปยังสุสานหลังวัด โดยเตรียมอาหารคาวหวานน้ำดื่ม พร้อมธูป ผมจัดแจงอาหารใส่กระทงใบตองเล็กๆ จากนั้นก็จุดธูปหนึ่งดอก และพยายามสื่อถึงผู้หญิงคนนั้น ว่าผมไม่ได้ตั้งใจทำให้เขาไม่พอใจ ที่ผมทำไปมันเป็นความไม่รู้ จึงขอให้เธอช่วยอภัยให้ผมและยอมรับการขอขมาในครั้งนี้

หลังจากนั้นผมก็ได้โกนหัวเข้าพิธีบวชแบบง่ายๆ ห่มผ้าเหลืองเข้าสู่ร่มโพธิ์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตลอดเวลาที่อยู่ในผ้าเหลือง ผมก็ได้ปฏิบัติตนตามศีลที่พระสงฆ์พึงมี อาราธนาศีล ศึกษาบทสวดมนต์คำสอนต่างๆ และหมั่นภาวนาแผ่เมตตาให้สรรพสิ่งต่างๆบนโลก รวมถึงเจ้ากรรมนายเวรและ “เธอ”

มีอยู่ 2-3 ครั้งที่ผมเห็นเธอ มานั่งอยู่หน้ากุฏิ แต่ครั้งนี้ที่เห็นมันต่างออกไปเธอดูสะอาดสะอ้าน ผมเผ้าเรียบร้อย หน้าตาแจ่มใส และมีรอยยิ้ม ทุกครั้งที่เดินลงจากกุฏฺิ หากเธอนั่งอยู่ตรงนั้น เธอจะยิ้มให้เสมอและก้มลงกราบ ผมก็ได้แต่พูดว่า “เจริญพรโยม”

เมื่อเวลาเดินทางมาจนถึงวันสุดท้ายในการบวช ผมรู้สึกอิ่มบุญและอิ่มใจ ทุกวันและทุกคืนในช่วงที่อยู่ในผ้าเหลืองผมไม่เคยโดนรบกวนจากสิ่งใดเลย

วันนั้นผมก็ขอให้พี่เกตช่วยหาดอกไม้ ธูปเทียน และซองใส่ปัจจัยมาให้ รวมถึงเสื้อผ้าของผม และผมก็เข้าพิธีสึก หลังเสร็จพิธีผมก็กราบขอบคุณหลวงพ่อ และเตรียมที่จะกราบลาท่าน แต่ผมก็ยังมีคำถามที่ค้างใจอยู่เลยถามท่านออกไป

ผม : หลวงพ่อครับ ทำไมตอนแรกที่ผมเห็นเธอคนนั้น รูปลักษณ์เธอช่างน่ากลัว ไม่น่าพิศมัย และดูสกปรก

หลวงพ่อ : โยมคนนั้นคงก่อกรรมเบียดเบียนคนอื่นไว้เยอะ เขาเล่าให้อาตมาฟังว่าสมัยมีชีวิต ประกอบอาชีพหากบหาปลาตามทุ่งนา เป็นผู้หญิงตัวคนเดียว ญาติสนิทมิตรสหายก็ไม่มี เวรกรรมจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เมื่อตายไป โยมเขาต้องออกมาในรูปลักษณ์ที่น่ากลัวเช่นนั้น

หลวงพ่อยังพูดต่ออีกว่า “ช่วงนั้นโยมกำลังดวงตกประกอบกับไปทำให้เขาไม่พอใจ บางคนที่เจอกับเหตุการณ์แบบนี้อาจอันตรายถึงชีวิตเลยก็มี “

สุดท้ายผมจึงได้กราบลาพร้อมถวายปัจจัยจำนวนหนึ่งให้กับท่านเจ้าอาวาส จากนั้นท่านก็ให้พรและผมก็เตรียมออกจากอุโบสถ

เมื่อผมเดินออกจากอุโบสถเพื่อจะมุ่งหน้าไปเก็บของที่บ้านพี่เกต สายตาผมชำเลืองไปยังข้างๆบ่อจรเข้ในวัด เห็นเธอคนนั้นในสภาพปกติเหมือนคนทั่วไป กำลังยืนเหมือนรอส่งผมอยู่ ผมจึงยิ้มให้ และเดินกลับ

ชีวิตหลังจากนั้นของผมก็กลับเข้าสู่ภาวะปกติ กลับไปเรียนตามเดิม ใช้ชีวิตเหมือนเดิม ที่ต่างคือ ผมเชื่อเรื่องพวกนี้มากขึ้น เชื่อในกฏแห่งกรรม และเชื่อว่าไม่มีอะไรดีไปกว่าการก่อกรรมดี

สุดท้ายนี้อยากฝากเพื่อนๆที่ติดตามอ่านกระทู้ผมจนจบว่า “ชีวิตมนุษย์เรานั้นมีเหมือนกันคือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย แต่สิ่งที่เราสามารถเป็นต่างจากคนอื่นได้คือ การเป็นคนดี อยู่ในศีลธรรมและไม่เบียดเบียนผู้อื่น” เพียงถือปฏิบัติได้เท่านี้คุณก็จะมีความสุขได้ โดยที่ไม่ต้องพึ่งเงินทองมากมายก่ายกอง

Cr.สมาชิกพันทิปหมายเลข 2663583 

LEAVE A REPLY

Please enter your comment!
Please enter your name here