ปอบยายทอง ระวังดีๆเด้อหมู่เจ้า ข่อยสิมาหลอยกินตับหมู่เจ้าจักมื่ออยู่

ปอบยายทอง

ตาพูลและยายทอง สองผัวเมีย  ได้ย้ายเข้ามาอยู่ในหมู่บ้านของพวกเราได้สิบห้าปีแล้ว เดิมสองผัวเมียเป็นคนแถวอิสานใต้ จังหวัดที่ติดชายแดนแถวๆเขมร  และได้ย้ายครอบครัวเข้ามาอยู่ในหมู่บ้านของพวกเราตามญาติพี่น้องที่มาอยู่ก่อน แล้วก็ชักชวนกันมา เพราะว่าที่ทางทำกินก็คงจะน่าอยู่กว่าที่บ้านเก่า จึงได้พาครอบครัวมา

ตาพูลและยายทองมีลูกสองคน คนโตเป็นผู้หญิง ชื่อฝ้าย คนเล็กเป็นผู้ชาย ชื่อฟัก ลูกสาวตาพูลเป็นหม้าย  มีลูกติดหนึ่งคนเป็นผู้หญิง ชื่อ ยุ้ย  

ฝ้ายทิ้งลูกไว้ให้พ่อกับแม่เลี้ยง ส่วนตัวเองไปทำงานที่กรุงเทพฯ  แล้วก็ได้ผัวใหม่  หลังจากที่ฝ้ายไปได้ผัวคนใหม่  ก็กลับมาเยี่ยมบ้านแค่ครั้งเดียวแล้วก็ไม่มาอีก เงินก็ไม่เคยส่งให้แม่  ตาพูลและยายทองจึงต้องรับภาระทุกอย่างเอง ส่วนลูกชายก็ไม่เอาไหน ไม่ค่อยช่วยพ่อแม่ทำไร่เลย มีแต่เที่ยวไปวันๆ 

อยู่มาวันนึงตาพูลและยายทองก็ต้องปวดหัว เมื่อพ่อแม่ของเด็กสาวบ้านข้างเคียงมาบอกว่าฟักกับลูกสาวเขา อยู่ในห้องด้วยกัน สงสัยคงจะตั้งแต่เมื่อคืน   ตาพูลกับยายทองจึงต้องเอาไร่ส่วนนึงไปจำนองเพื่อเอาเงินมาแต่งลูกสะใภ้  แต่สองผัวเมียก็ถือว่าสบายใจ  เพราะฟักเป็นคนไม่เอาไหน  คิดว่าพอมีเมียแล้วก็คงจะเป็นคนขึ้นมาบ้าง  ก็คงจะไม่ถะเหรถะไหลเหมือนก่อน   

จนฟักมีลูกหนึ่งคน เป็นผู้ชาย เมื่อลูกของฟักอายุได้ห้าปี เมียของฟักก็ทำเรื่องไปทำงานที่เมืองนอก  บอกว่าจะส่งเงินมาให้  ให้ฟักอยู่เลี้ยงลูก  แต่ฟักก็ไม่เคยสนใจจะทำงาน  เอาแต่เที่ยวเตร่ไปวันๆจนพ่อตาแม่ยายเอือมระอา  และจากนั้นสี่ปีแล้วที่เมียของฟักก็ไม่เคยส่งเงินมาให้  และก็ไม่กลับมา  แต่เขาส่งให้พ่อแม่เขาและบอกให้ดูแลหลาน ส่วนฟักให้ออกไปจากบ้านเพราะเขาไม่เอาอีกแล้ว  ให้ไปหาเมียใหม่ได้  

พอเวลาผ่านไปฟักจึงต้องกลับมาอยู่กับพ่อแม่ เพราะเมียมีผัวใหม่อยู่ที่เมืองนอก ไม่กลับมาอีกแล้ว ฟักกลับมาอยู่ก็อาศัยให้พ่อแม่หาเลี้ยง  ส่วนตัวเองก็เที่ยวเตร็ดเตร่ไปกับเพื่อนฝูง  กินเหล้าเมายา ภาระจึงไปตกอยู่กับตาพูลและยายทอง  แต่ก็ยังดีบ้าง ที่ยุ้ยได้เติบโตเป็นสาว  และคอยช่วยเหลือตาและยายมาตลอด   แต่ก็ไม่ค่อยไหวเพราะฟักมักจะมาไถเงินพ่อกับแม่ตลอด  เมื่อไม่ให้ก็เอะอะโวยวายพังข้าวของ  เป็นที่เอือมระอาของชาวบ้านระแวกนั้น และบางครั้งถ้าพ่อแม่ไม่มีจริงๆฟักก็จะเอาข้าวเปลือกไปขาย  โดยไม่สนใจว่าข้าวจะพอกินคุ้มปีหรือไม่

จนวันนึงยุ้ยจึงขอตากับยายไปทำงานที่กรุงเทพฯเพื่อจะได้หาเงินมาช่วยยายกับตาอีกทางนึง ทีแรกตาพูลกับยายทองก็ไม่ตกลง แต่เมื่อยุ้ยพูดอ้อนวอนและบอกว่า ตากับยายจะได้เบาๆภาระที่น้าฟักเที่ยวมาขูดมารีด  ข้าวก็จะได้พอกินคุ้มปี  ถ้าข้าวไม่พอกิน  ก็คงจะลำบากหาเงินซื้อ  พูดไปพูดมาสองตายายก็ใจอ่อน แต่ยุ้ยไม่ได้ไปหาแม่  ยุ้ยไปหาเพื่อน ทำงานกับเพื่อน  ส่วนฝ้ายไม่ค่อยจะติดต่อมาบ้าน  และก็ไม่เคยกลับไปอีกตั้งแต่พาผัวกลับมาให้พ่อแม่รู้ว่ามีผัวแล้ว

หลังจากที่ยุ้ยไปทำงานที่กรุงเทพฯ  สองตายายก็สุดแสนจะปวดหัวกับฟัก เพราะยุ้ยส่งเงินมาทีไรฟักก็มากระโชกโฮกฮากเอาตลอด  อีกทั้งตาพูลก็แก่แล้ว สู้แรงฟักไม่ไหวเหมือนก่อน  สองตายายจึงปล่อยบ้านทิ้งไว้ให้ฟักครอบครอง   ส่วนตัวเองสองคนพากันกลับไปเยี่ยมบ้านเก่าที่อิสานใต้และก็อยู่ที่นั่นถึงสองเดือน  เพราะญาติผู้เถ่าที่มีอายุถึงร้อยปีได้ป่วยมากแต่ก็ไม่ยอมไปสักที และก็มีศักดิ์เป็นยายเถ่าของยายทอง สองตายายจึงได้อยู่ช่วยดูแลเพราะญาติพี่น้องขอร้อง   

เมื่อเสร็จงานศพของยายเถ่าแล้วสองตายายก็กลับมา แต่เมื่อมาถึงของอะไรที่พอขายได้ฟักก็เอาไปขายหมด  บ้านนี้ไม่ซื้อฟักก็เอาไปขายบ้านอื่น และบางอย่างก็เอาไปขายให้รถซื้อของเก่า  ยายทองจึงต้องหาซื้อของมาใส่บ้านใหม่   แต่คราวนี้ยายทองไม่บ่นไม่สนใจ เพราะยายทองมีเงินมากมาย จนคนแถวบ้านแซวแกว่ากลับไปเยี่ยมบ้านเก่า  กลับมามีเงินเยอะเลยนะยายทอง  ไปขายสมบัติมาเหรอ ยายทองเลยว่า  “ขายมูลยายเถ่าเรายกให่  เราว่าทุกเราเลยเอาให้”  “ขายสมบัติยายแก่  แกยกให้แกว่าจนแกเลยยกให้”

แล้วจากวันนั้นมาจนได้สองเดือน เป็ดไก่ของชาวบ้านก็ตายกันตลอด  ชาวบ้านก็บอกว่าไก่เป็นห่าตาย  ทั้งเป็ดทั้งไก่ตายติดต่อกันมาเรื่อยๆ ชาวบ้านก็ได้แจ้งปศุสัตว์ ไปเพราะหายามาใส่น้ำให้กินแล้วก็ยังไม่หายปศุสัตว์จึงได้เข้ามาดูแล้วก็ให้ยาไว้ทุกอย่างก็ซาๆไปเป็ดไก่ก็ไม่ตายอีก  ชาวบ้านพูดกันว่ายาดีจริงๆ ไก่หาย ไม่ตายอีกเลยยังกับปลิดทิ้ง 

ต่อมาย่างเข้าเดือนมิถุนายนฝนก็ตกปลอยๆทุกคนต่างตั้งหน้าลงทำนา เวลาฝนตกพวกหนุ่มๆก็จะเตรียมตัวออกไปจับกบจับเขียดเวลกลางคืน ตามประสาของคนชนบท   ก๊อปเด็กหนุ่มที่ยังโสด แต่เรื่องจับกบจับเขียดรึหาปลาก๊อปจะเก่งมาก เพื่อนไม่ได้แต่ก๊อปจะได้ ก็คงจะมีพรสวรรค์ทางนี้  

ในคืนวันนี้ก็เช่นกัน หลังจากที่ฝนเทลงมาอย่างหนัก ก๊อปก็เตรียมตัว เตรียมไฟเพื่อจะไปจับกบและเขียดเช่นทุกครั้งหลังฝนหยุด  คืนนั้นก๊อปออกไปกับเพื่อน  ชื่อเอก  เมื่อไปถึงท้องทุ่งสองคนต่างก็แยกย้ายกันส่องกบ แต่ก็ไม่ถึงกับไกลกันมาก  ก็ยังพอมองเห็นแสงไฟของกันและกันอยู่  

ก๊อปก็ส่องกบมาเรื่อยๆ จนมาถึงตรงที่เป็นบ่อ  แต่เป็นแค่บ่อตื้นๆ ที่มีป่าหญ้าคาปกคลุมอยู่   แล้วก๊อปก็ได้ยินเสียงน้ำดังจ๋อมๆๆอยู่ ก๊อปจึงปิดไฟ   เพราะคิดว่าเป็นเอก  แล้วก็คิดในใจว่า “ไอ้เอกเอ้ย กลัวก็ไม่บอกแอบมาดักหน้าเรา”  คิดแล้วก็หัวเราะในใจ  เพราะตอนนั้นก๊อปมองไม่เห็นแสงไฟของเอก ก็เลยคิดว่าเอกเดินโค้งมาดักหน้าตัวเอง  คิดแล้วก็ดับไฟแล้วเดินย่องๆลงไปที่บ่อ    หมายจะไปจ๊ะเอ๋ให้เอกตกใจเล่น พอย่องลงมาแหวกป่าหญ้าคาออก  ก๊อปเห็นเป็นเงาตะคุ่มๆนั่งก้มๆเงยๆอยู่   ก๊อปเลยนึกในใจว่าเอกจับกบแต่ทำไมไม่เปิดไฟ ก๊อปเลยย่องเข้าไปใกล้แล้วก๊อปก็เปิดไฟขึ้น…

เมื่อก๊อปเปิดไฟขึ้น คนที่นั่งอยู่ริมฝั่งหนองน้ำก็เงยหน้าขึ้นมองด้วยความตกใจเช่นกัน  ก๊อปตกใจจนแทบหงายหลัง  เพราะคนที่เงยหน้าขึ้นมามอง มีเขียดอยู่เต็มปาก และหน้านั้นก็ไม่ใช่ใคร ยายทองนั่นเอง

ก๊อปถอยหลังสองสามก้าว ยายทองก็มองก๊อปอย่างตกใจเช่นกัน แล้วก๊อปก็วิ่งอย่างไม่คิดชีวิต ไม่นานก๊อปก็ถึงบ้าน  

เสียงก๊อปวิ่งขึ้นบ้าน โครมคราม ทำให้ผู้เป็นแม่ตกใจรีบออกมาดูแล้วก็ถามลูกว่าเป็นอะไร  ก๊อบกลัวจนตัวสั่น แม่ก๊อปกอดลูก แล้วก็ถามเรื่องราว  ก๊อปค่อยๆเล่าให้แม่ฟัง  เมื่อนางจิตแม่ของก๊อปได้ฟังเรื่องจากลูกแล้ว ก็ได้เรียกพี่ๆน้องๆที่บ้านอยู่ใกล้กันมา แล้วก็เล่าทุกอย่างตามที่ก๊อปบอก ทุกคนจึงลงความเห็นว่า  ยายทองเป็นปอบ  แน่ๆเลย แต่ห้ามทุกคนพูด   เพราะญาติพี่น้องยายทองอาจจะไม่เชื่อ แล้วจะหาว่าทุกคนใส่ความ  ให้ทุกคนเฉยๆไว้ ทำเป็นไม่รู้อะไร  ส่วนเอกเมื่อกลับมา  ก็มาบ้านก๊อปและได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด  ก็บอกว่า ขนหัวลุก  แต่เอกไม่ได้เจอยายทอง  เพียงแต่คิดว่า ทำไมก๊อปกลับเร็ว  แล้วก็ไม่เรียก เลยกลับมา   

แล้วรุ่งเช้าก๊อปก็มีไข้ ไม่สบาย  ญาติพี่น้องก็ได้เตรียมหาของไว้ผูกแขนให้ก๊อปในตอนเย็น  นางจิตแม่ก๊อป ก็ได้พาก๊อปไปวัดและให้หลวงตาผูกแขนให้  ก๊อปจึงหายกลัวและตั้งแต่วันนั้นมาก๊อปก็ไม่ไปจับกบหรือหาปลาในตอนกลางคืนอีกเลย  ส่วนยายทองก็เงียบเหมือนกัน  อยู่แต่ในบ้านไม่ออกไปไหน  เก็บตัวเงียบอย่างเดียว   จนคนใกล้เคียงถามตาพูลว่ายายทองไปไหน  ไม่ค่อยเห็นเลย  ตาพูลก็จะบอกว่ายายทองนอน เพราะไม่ค่อยสบาย เมื่อลูกชายมาขอเงิน แกก็เอาให้ไป  ทุกอยา่งก็เงียบไปนาน

แล้ววันเวลาแห่งการเก็บเกี่ยวใกล้จะเริ่มขึ้นข้าวออกรวงเหลืองอร่ามทั่วท้องทุ่ง   ทุกคนในหมูู่บ้านแต่ละหลังก็เตรียมตัวที่จะลงเกี่ยวข้าว   มอญเด็กสาวที่แต่งงานใหม่กับก้อง  ท้องสาวใหญ่มาก  แล้วก็ครบกำหนดคลอด  เก้าเดือน  เมื่อมอญเจ็บท้องจะคลอดพ่อแม่ของมอญก็ได้พาไป ร.พ. ในอำเภอที่ตนเองอยู่  และมอญก็ได้คลอดลูกเป็นผู้หญิงทุกคนดีใจ  

เมื่ออยู่ร.พ.ห้าวันไม่มีปัญหา  หมอก็ให้กลับได้  และแม่ของมอญก็ได้มาทำที่ทางให้ลูกได้อยู่ไฟ ตามที่แถบทางอิสานเขาทำกัน  แม่ของมอญบอกว่าให้มอญอยู่ไฟสัก  สิบเอ็ดคืน  แล้วทุกอย่างก็ตามนั้น  เมื่อมอญเข้าไฟได้สองคืน  ก้องกับพ่อก็ลงเกี่ยวข้าว ให้แม่อยู่ดูแลมอญและหลาน 

หลังจากมอญก็อยู่ในไฟได้ห้าคืน วันนี้เป็นวันที่หกก้องก็เข้ามาดูแลมอญและลูก แล้วก็พูดหยอกล้อกับมอญก่อนที่จะออกไปนา  เมื่อลูกเขยและพ่อตาลงจากบ้านไปแล้ว   ผู้เป็นแม่ก็ได้เข้ามาอาบน้ำให้ลูกสาวอีก   แล้วก็ให้มอญกินน้ำร้อน  ย่างตัวเองต่อไป  เพราะแม่ก็จะพักผ่อนบ้าง เหนื่อยทั้งกลางวันกลางคืน  แล้วแม่มอญก็นอน  ปล่อยให้ลูกสาวย่างไฟอยู่คนเดียว   

พอตกบ่ายก็ได้มีเพื่อนบ้านสองคน  มาเยี่ยมมอญ แล้วก็นั่งถามไถ่มอญว่าเป็นอย่างไร มอญไม่พูดอะไรได้แต่ยิ้ม และลุกขึ้นมานั่ง  เพื่อนบ้านถามอะไรก็ไม่พูดยิ้มอย่างเดียว  เพื่อนบ้านคนนึงก็เลยว่า  มึงเป็นอะไรมอญ  ทำไมไม่พูดอะไรเลย   มอญมองหน้าเพื่อนบ้านสองคนนั่นแล้วหัวเราะแบบอายๆ  ก้มหน้า  แล้วมอญก็ล้มลงแบบหงายหลัง   เพื่อนบ้านสองคนร้องโวยวาย   แม่ของมอญที่อยู่ข้างนอก    รีบวิ่งเข้ามาดูลูกสาว  แล้วก็พากันเขย่าตัวมอญ  ร้องเรียกพัลวัน   แต่มอญก็ไม่ฟื้นขึ้นมา

เพื่อนบ้านอีกคนรีบวิ่งไปร้องให้คนมาช่วย เมื่อทุกคนมาถึง ไม่ว่าจะเรียกหรือจะทำอย่างไร  มอญก็ไม่ฟื้นคืนมา  เมื่อตรวจดูก็มั่นใจว่ามอญหยุดหายใจแล้ว   ความวุ่นวายจึงเกิดขึ้น  แม่มอญร้องให้คร่ำครวญ  เมื่อพวกที่ไปตามพ่อกับก้องมาถึง  ก็ช่วยอะไรไม่ได้เพราะมอญตายแล้ว ทุกคนลงความเห็นว่ามอญตาย  เพราะปอบแอบกิน   

แล้วก็พูดกันเซ็งแซ่ว่าปอบที่ไหนมาจากไหน  ถึงได้มาเจอมาเห็น ต่างก็พูดกันไปต่างๆนาๆ  ส่วนนางจิต  แม่ของก๊อปได้ยินก็อยากจะพูดให้ทุกคนฟังก็ไม่กล้า เพราะพ่อแม่ของมอญกำลังเสียใจและโมโหว่าปอบที่ไหน  กลัวว่าเรื่องจะไปกันใหญ่จึงไม่กล้าพูด

แล้วงานศพของมอญก็ผ่านไป   ทิ้งไว้แต่ความโศกเศร้าเสียใจไว้ข้างหลัง  และหลานสาวตัวเล็กๆเท่านั้น  ข่าวปอบแอบกินมอญดังไปทั่วหมู่บ้านแถบนั้น ต่างก็พูดกันว่าปอบที่ไหน  รึบ้านเราแอบมีปอบ แล้วเรื่อง ที่ก๊อปไปเจอก็ค่อยๆทยอยรู้กันไปเรื่อยๆ   ทุกคนต่างตีตัวออกห่างยายทองและตาพูล  ส่วนฟักไปไหนคนก็ไล่ ไม่อยากคุยด้วย   

ฟักก็ว่าเป็นภาษาอิสาน  “อ้าวหมู่เจ้าเป็นบ้าตี้ข่อยมายามใด๋กะหละไล่แต่ข่อยหนี จักว่าพากันเป็นอีหยัง ข่อยมาเล่นนำซื่อๆกะดาย”  ทุกคนก็พูดแต่ว่า “หม่ตูขี่ค้านเว่านำมึง   ไปๆสิไปไสกะไป   บ่ บ่อไปกะยังว่าสิมาเล่นอยู่หนี่”  แล้วทุกคนก็ต้องพูดกับฟักแบบไม่เต็มใจทุกครั้งไป

แล้วเรื่องที่ยายทองเป็นปอบก็เข้าหูของฟัก ฟักพยายามถามยายทอง ยายทองก็หาว่าชาวบ้านเกลียดตัวเอง แล้วก็หาเรื่องใส่ร้าย  เมื่อฟักขยั้นขยอถามบ่อยๆ สองแม่ลูกก็มีปากเสียงกัน   แล้วยายทองก็ไม่ให้เงินฟักอีก  เวลาฟักมาขอ จึงเกิดปากเสียงกันใหญ่  ยายทองไล่ให้ฟักไปขอเงินที่ชาวบ้าน 

“ถ้าเชื่อชาวบ้านนัก   ไม่ต้องมาขอที่แก”  

“อ้าวแม่ชาวบ้านเขาเป็นคนอื่นเขาจะมาให้ชั้นได้ยังไง”  

“ก็แกเชื่อชาวบ้านนักไม่ใช่เหรอ  ก็ไปขอชาวบ้านเลย  ใครมันว่ากูเป็นปอบกูจะแจ้งความปรับไหมปากมันทุกคนเลย”  

“อ้าวแม่ทำไมพาลไปเรื่อยหละ  จะไปพูดให้เขาเกลียดเข้าไปใหญ่เหรอ  ชั้นก็ได้ยินนิดหน่อย  ก็แค่ถามดู  แล้วจากเรื่องถามเฉยๆ”  ก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ ระหว่างสองแม่ลูก  แล้วก็ไม่ค่อยเข้ากันได้เลย

ยุ้ยได้ออกจากงานกลับมาบ้าน  พร้อมกับหนุ่มบ้านไกล ที่อยู่จังหวัดแถวๆอิสานใต้  ยุ้ยท้องได้สามเดือน  พาผัวมาขอขมาตายาย  และได้พาพ่อแม่ของฝ่ายชายมาด้วย  ซึ่งยายทองก็ได้ทำพิธีผูกข้อไม้ข้อมือตามประเพณีของชาวอิสานเรา  แต่แกทำเล็กๆ  เลือกเอาแต่ญาติๆสองสามหลังคาเท่านั้น  เมื่อเสร็จสิ้นพิธี  รุ่งเช้าพ่อแม่ฝ่ายชายก็กลับ  ส่วนยุ้ยและแฟนก็ไม่ได้ไปทำงานอีก เพราะยุ้ยท้อง  จึงตั้งใจว่า จะอยู่ช่วยตาพูลและยายทองทำนา  และก็จะหากินตามประสาบ้านนอก

เมื่ออยู่มาได้สามเดือน เข้าเดือนที่สี่ แฟนยุ้ยก็ไม่อยากอยูู่  เพราะสามเดือนที่ผ่านมาในหมู่บ้านนี้ก็ได้มีปอบไปเข้าคน  รวมแล้วก็สามคน แต่ก็ไม่มีใครเป็นอะไร เพราะพ่อหมอธรรมไปจัดการไล่  ถามชื่อแซ่ก็ไม่ยอมบอก  และก็รีบออกเพราะกลัวพ่อหมอ  

แต่เหตุที่สำคัญเลยคือ เพราะแฟนยุ้ยไม่ค่อยจะพอใจกับฟักเท่าไหร่  เพราะฟักชอบมาอาละวาด อยู่บ่อยๆ  และเมื่อถูกยายทองไล่ให้ออกจากบ้าน ฟักก็ไม่พอใจแล้วก็ลามมาถึงยุ้ยด้วย  จนมีปากเสียงกัน สองคนจึงปรึกษากัน  แฟนยุ้ยก็บอกว่าห่วงยุ้ยเพราะท้องก็โตแล้ว   แล้วปอบก็เริ่มเข้าคนบ่อยขึ้น  และยิ่งได้ยินเรื่องที่ปอบแอบกินมอญตอนอยู่ไฟด้วย สองคนจึงตกลงที่จะกลับไปอยู่ที่บ้านของแฟนยุ้ย  แต่ตาพูลและยายทองก็ห้ามให้อยู่ที่นี่ต่อ  แต่ยุ้ยและหลานเขยไม่ไหว เพราะฟักอาละวาดบ่อย  จนสุดท้ายหลานสาวและหลานเขยก็ไปจากยายทองและตาพูล

เมื่อสองคนออกไปแล้วทุกอย่างก็ดำเนินไป จนกระทั่งผ่านไปอีกหนึ่งปี  ปอบก็เข้าคนบ่อยขึ้น  แต่หมู่บ้านนี้ไม่มีใครเป็นอะไร แต่หมู่บ้านอื่นก็มีข่าวว่า ปอบกินตายเช่นกัน  พอข่าวหมู่บ้านอื่นดังหนักๆ  ทุกอย่างก็เงียบ แต่กับเกิดเหตุการณ์เป็ดไก่ตายเรื่อยๆแทน   

เดี๋ยวนี้ฟักไม่ได้ติดแค่เหล้า  แต่ฟักติดยาด้วย  ถ้าขอเงินยายทองไม่ได้  ก็จะหาเอาทุกอย่างที่พอไปขายได้เอาไปขาย  ถ้ายายทองเข้าขัดขวาง  ก็จะมีการยื้อยุดฉุดกระชาก  จนยายทองต้องเจ็บตัวทุกครั้งไป   

ยายทองก็สุดที่จะเอือมระอา เดี๋ยวนี้ยายทองไม่มีที่พึ่ง  เพราะญาติพี่น้องที่อยู่ใกล้กัน ก็ไม่ค่อยสนใจ  ทั้งข่าวที่ยายทองเป็นปอบบ้าง แล้วก็ไม่อยากไปยุ่งกับฟักด้วย   ยายทองจึงเหลือแค่ตาพูล  แล้วก็หลานชายลูกของฟักที่กำลังเริ่มโต

ผู้ที่เป็นยายก็คอยห้าม  ไม่อยากให้มาหาย่า  แต่เด็กชายก็เทียวมาบ่อยๆ เพราะสงสารย่า  และเมื่อมาทีไรย่าก็จะให้เงินทุกครั้ง  จึงเป็นเหตุผลในการมาบ่อยๆ  ยายทองผู้เป็นย่าก็ได้บอกหลานว่า  มาหาย่าบ่อยๆนะเพราะย่าไม่เหลือใคร  มีแต่หลานคนเดียวเท่านั้น   มีอะไรย่าจะให้หลานหมดทุกอย่าง  ซึ่งเด็กชายก็เทียวมาตามที่ย่าบอก  

เวลาผ่านมาอีกหนึ่งปีฟักเริ่มแก่แดด  ไม่ทำมาหากิน  มีแต่ผลาญอย่างเดียว  พ่อแม่แก่ๆทำนาไว้ฟักก็เทียวโขมยไปขาย จนข้าวในยุ้งใกล้จะหมด เมื่อตาพูลและยายทองหมดความอดทน   ยายทองจึงประกาศขายที่นาและบ้าน  เพราะจะย้ายไปอยู่ที่อื่น     

เมื่อยายทองประกาศขาย ไม่ถึงเดือนก็มีคนซื้อทั้งนาและบ้าน  เพราะชาวบ้านต้องการให้ยายทองไปจากหมู่บ้านนี้    และเมื่อขายได้เงินมาแล้ว ยายทองก็เอามาแบ่งให้   ฟักที่เป็นส่วนของฟัก  ยายทองติดต่อให้ฝ้ายมารับส่วนของตน  เมื่อได้ส่วนของตัวเองแล้ว  ฝ้ายก็กลับกรุงเทพฯไป โดยบอกว่าลางานไม่ได้  ทุกอย่างแล้วแต่จะทำอย่างไร  รับรู้แค่ว่ายายทองผู้เป็นแม่จะย้ายไปอยู่กับยุ้ยแถวอิสานใต้ เท่านั้นเอง

เมื่อ แบ่งเงินให้ลูกทั้งสองคนแล้ว  ยายทองก็ยังเหลือที่ดินและยุ้งข้าวไว้ให้ฟักไว้อยู่  ฟักทำกระท่อมหลังเล็กๆติดยุ้งข้าวอยู่   แต่ที่ดินยายทองโอนเป็นชื่อหลานลูกของฟัก  และก็มอบให้หลาน  ส่วนฟักอยู่ได้แต่ไม่มีสิทธิ์ขาย  เพราะเป็นของลูก  แล้วครอบครัวของยายทองก็จากไป   โดยมีญาติผู้ชายสองคนที่ไปส่ง  ส่วนฟักยายทองไม่ให้ไป

หลังจากครอบครัวของยายทองจากไปแล้วทุกคนโล่งอกโล่งใจ   ดีใจที่หมู่บ้านนี้จะได้กลับมาสบายใจ ไม่มีเรื่องปอบให้คอยหวาดกลัวอีกแล้ว  ลูกหลานจะออกไปไหนตอนกลางค่ำกลางคืน  ไปใส่เบ็ดหรือหาปลาก็ไม่ต้องกังวลอีกแล้ว   

หนึ่งปีผ่านไปปีที่สองพึ่งจะผ่านมาได้แค่ห้าเดือน  หน้าฝนก็กำลังเข้ามาเยือน ลูกหลานก็คงจะได้ไปหากินตามประสาชาวบ้านนอก แต่อยู่ๆวันนึง  ก็ได้มีรถปิ๊กอัพสี่ประตูวิ่งเข้ามาจอดแล้วก็ถามหา  บ้านผู้ใหญ่บ้านอยู่ที่ไหน   คนที่ลงมาถาม  แต่งตัวสุภาพเรียบร้อยดูมีราศี  ทุกคนก็สงสัย  ชาวบ้านถามว่ามีอะไร ชายฉกรรจ์สองคนที่อยู่ในรถก็ยิ้มให้  คนที่ลงมาถาม ก็บอกว่า   เดี๋ยวพบกับพ่อผู้ใหญ่ก่อนนะครับ   ถ้าสนใจให้ไปที่บ้านพ่อผู้ใหญ่นะครับ  จะได้ไม่พูดหลายครั้งครับ

ที่บ้านผู้ใหญ่บ้านพวกที่สนใจก็ตามไป  พวกที่อยู่ใกล้ๆ  ก็ออกมาดูเพราะกระซิบกระซาบกันให้ออกมา และก็พากันสงสัย  ว่ามีเรื่องอะไร  ทำไมถึงบอกว่าจะได้ไม่ต้องพูดหลายครั้ง   และเมื่อสามคนลงมาจากรถก็ยกมือสวัสดีทุกคน แล้วก็ถามว่าใครคือพ่อผู้ใหญ่ครับ

ทุกคนมัวแต่มองและสนใจว่าสามคนที่กำลังพูดเรื่องอะไรกับผู้ใหญ่บ้านอยู่  จนลืมมองว่ายังมีคนอีกสองคนที่นั่งอยู่เบาะหลัง กำลังค่อยๆลงมาจากรถ  เมื่อมีคนมองไปเห็น  ก็ร้องออกมาว่า   อ้าวยายทอง ตาพูล  นั่นแหละสายตาทุกคู่จึงเล็งไปยังจุดหมายเดียว  สองคนผัวเมียก็ไม่ได้พูดอะไร ลงมาแล้วก็มานั่งก้มหน้าเฉย

ผมพาลูกบ้านของผู้ใหญ่มาส่งให้ครับ   ผู้ใหญ่บ้านก็เลยถามว่า แล้วเรื่องมันเป็นยังไง  ถึงได้พามาส่ง  ทั้สามคนจึงแนะนำตัวเอง  คนนึงเป็นผู้ใหญ่บ้านอีกคน เป็นผู้ช่วย และอีกคนเป็น อ.บ.ต   แล้วผู้ใหญ่บ้านก็เป็นคนบอกว่า  ที่พวกเราได้พาสองตายายนี่มาส่ง  ก็เพราะว่า ลูกบ้านของพวกผมเขาไม่ยอมให้สองตายายนี่อยู่ต่อไป  แม้แต่จะขอเวลาสองสามวันเพื่อเก็บของก็ไม่ได้  เพราะเขาจะยิงทิ้ง  เขาไม่ยอมให้อยู่ในหมู่บ้านต่อไปอีก  “อ้าวทำไมหล่ะครับ   ตาพูลกับยายทองไปทำอะไรเหรอครับ”  ผู้ใหญ่บ้านถาม

ทั้งสามคนจึงบอกว่า ชาวบ้านเขาบอกว่า ยายทองเป็นปอบ ทุกหลังคาเรือนออกมาที่บ้านยายทองหมด  ทั้งจะยิงทิ้ง ทั้งจะเผาบ้านทั้งมีดทั้งไม้ ถ้าพวกผมไม่พามาส่ง  ทั้งสองคนนี่ตายแน่  

“แล้วพวกท่านสามคนคิดว่ายายทองเป็นปอบมั้ยครับ”  

“ถ้าคิดว่าไม่ใช่ พวกเราก็คงไม่เอามาส่งหรอกครับ ผู้ใหญ่ ทีแรกก็เป็ดไก่ตายเกลื่อน  ไม่เว้นแต่ละวัน  พอไปๆมาๆ  คนก็ตายบ่อยขึ้น และสุดท้ายหมอธรรมเค้นหนัก ปอบที่เข้าคนก็เลยบอกว่าตัวเองเป็นยายทอง”   

พูดได้เท่านั้น  พวกที่พากันออกมาดู  ก็โวยวายไม่ยอมให้ยายทองอยู่ให้ออกไปจากหมู่บ้านนี้  ผู้ใหญ่บ้านจึงขอยุติไว้ก่อน  เพื่อขอพูดทำความเข้าใจกับท่าน อ.บ.ต  และผู้ใหญ่  และผู้ช่วยก่อน  ทั้งสามคนจึงบอกว่าเรื่องข้าวของ  หรือเรื่องที่ทางและบ้าน ทุกอย่าง ยุ้ยจะเป็นคนจัดการมาให้เอง    

เมื่อทั้งสามกลับไป   ผู้ใหญ่บ้านก็ให้  ทุกคนออกความเห็น ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่ยอมให้ยายทองอยู่  ตาพูลกับยายทองก็บอกว่าตัวเองถูกใส่ร้าย  พูดกันไป เถียงกันมา  ผู้ใหญ่ก็เลยบอกว่า  ทุกอย่างผมจะรับผิดชอบเอง  แล้วก็ให้ฟักมารับพ่อกับแม่กลับไปอยู่ที่กระต๊อบหลังเล็กๆ  ของฟักนั่นเอง

เมื่อสองตายายไปแล้ว ชาวบ้าน ต่างก็พูดไปต่างๆนาๆ  หาว่าผู้ใหญ่บ้าน รับปอบเข้าบ้าน  ซึ่งผู้ใหญ่บ้าน  เป็นคนสมัยใหม่ ไม่เชื่อเรื่องอย่านี้อยู่แล้ว จึงบอกว่า  ไม่ต้องกลัว  “ถ้ามันมีจริงๆ   ก็เชิญมันมากินตูดผมเลย  ให้มันมาเลยผมขอท้า” ทำให้ทุกคนยอมฟังพ่อผู้ใหญ่ไปก่อน แต่บางคนก็ยังพูดว่า  มากินผู้ใหญ่บ้านทีเถอะจะได้เชื่อเสียที  ผู้ใหญ่บ้านหัวเราะ ขบขันแล้วบอกว่า มาเลยๆๆอยากให้มันมาจริงๆ

ยุ้ยได้ขายที่และเหมารถเอาของมาส่งยาย  ชาวบ้านและญาติที่อยู่ในหมู่บ้านนี้  ต่างถามถึงเรื่องราวที่ไปที่มาของการที่เขาเอารถมาส่งยายทอง   ยุ้ยก็บอกว่าไม่รู้หรอก  รู้แต่ว่าเมื่อยายไปอยู่ใหม่ๆ เป็ดไก่ก็ตายเยอะ  และต่อมาปอบก็เข้าคนบ่อย  มีทั้งตายและไม่ตาย  เมื่อหมอธรรม  ทำพิธีไล่ ก็จะถามชื่อแต่ปอบก็ไม่ยอมบอกชื่อ   แต่ยอมออกไปแต่โดยดี   และต่อๆมา  เมื่อคนที่ถูกบอกเข้า ถูกไล่ถูกเฆี่ยนก็เลยบอกว่าตัวเองชื่อยายทอง  เมื่อชาวบ้านโวยวาย  ยายก็บอกว่าโดนใส่ร้าย  แต่พอนานๆเข้าปอบก็ไปเข้าคนอีก   และก็บอกว่าตัวเอง  ชื่อทอง  พอเข้าคนมากๆ ถามทีไรก็จะบอกแต่ว่าชื่อทอง  ชาวบ้านเลยเฮโลมาไล่ออกจากหมู่บ้าน   ยุ้ยก็ทำได้แค่นี้หละ

หลังจากยุ้ยกลับไป  ชาวบ้านทุกคนต่างรอว่าเมื่อไหร่ปอบจะไปเข้าคน  ต่างคนต่างก็กลัว  แต่ยายทองก็ไม่เคยไปสุงสิงกับใคร  อยู่แต่บ้าน  ตาพูลก็ออกไปรับจ้างเล็กๆน้อยๆ เมื่อเวลาผ่านไปนานวันเข้าก็มีข่าว ปอบไปกินหมู่บ้านนั้น หมู่บ้านนี้  แต่ในหมู่บ้านที่ยายทองอยู่เงียบมาก   ทุกคนจึงเฉยๆเพราะไมใช่ในหมู่บ้านของตน   ยายทองก็เก็บตัวเงียบเช่นกัน   ส่วนฟักเดี๋ยวนี้ ก็ยังเหมือนเดิม   แต่ดีว่ารู้จักไปรับจ้างบ้างเพราะยายทองแก่แล้วก็เจ็บออดๆแอดๆ  แต่ยายทองก็ยังมีเงินไม่ขาดมือเหมือนเดิม  ฟักก็รับจ้างบ้าง ขอแม่บ้างคละเคล้าไป

ในช่วงฤดูหนาวของปีนี้เป็นปีที่หนาวที่สุดในรอบหลายปี  ตอนนี้ยายทองไม่ค่อยสบาย ผอมหลายโรครุมเร้า ร่างกายก็ผอมเหี่ยวย่น  เดินหลังงุ้มๆ ก้มหน้า ไม่ค่อยมองหน้าคน  ในคืนนึงเด็กๆไปเที่ยว ดูหมอลำที่หมู่บ้านใกล้เคียง  จนถึงเวลาตีสองเด็กหนุ่ม ในหมู่บ้านเราสามคน  ก็ชวนกันกลับ ก็พากันนั่งรถมอไซค์กลับ  วิ่งเร็วก็ไม่ได้ เพระหนาวจนปวดไปหมด  

พอรถเริ่มวิ่งเข้าหมู่บ้านมา  สายตาของเด็กหนุ่มสามคนก็แว๊บมองไปเห็นเงาตะคุ่มๆ อยู่ในป่าหญ้าคาใกล้ๆกับถนน  ทั้งสามคนสงสัย  ว่าหนาวสุดๆเช่นนี้ใครยังออกมาทำอะไร  แต่รถก็วิ่งเลยมาแล้ว  จึงชลอรถแล้วตกลงกันว่าเดินไปดูจะได้รู้ว่าใคร 

เมื่อเดินมาใกล้ยังไม่ทันถึงตัว คนคนนั้นก็รีบลุกขึ้นยืนหันหน้ามาหา  เด็กสามคนตกใจ  ร้องขึ้นพร้อมกัน  ยายทอง!!  ยายทองยิ้มมองหน้าเด็กๆโดยที่ไม่พูดอะไรสักคำ  เด็กๆก็แปลกใจ ในอากาศที่หนาวสุดๆแบบนี้  แต่ทำไมยายทองแค่ใส่ผ้าถุงกับเสื้อคอกระเช้าตัวเดียว ไม่หนาวหรือไง  แล้วออกมาทำอะไรอยู่ตรงนี้   แต่เมื่อมองลงไปยังพื้นดิน  ที่ปูด้วยหญ้าคาเด็กทั้งสามคนถึงกับต้องวิ่งไปที่รถ โดยไม่ฟังเสียงอะไรทั้งนั้น   เพราะที่พื้นนั้นคือซากไก่ที่ถูกฉีกจนหายไปครึ่งตัว ขนกระจายเกลื่อน

เมื่อเด็กหนุ่มสามคนมาถึงบ้านของอีกคน   ก็ตกลงกันว่าคืนนี้ขอนอนค้างกันที่บ้านเพื่อนนี้แหละ เช้าวันรุ่งขึ้น ข่าวยายทองก็ถูกซุบซิบไปทั่วบ้าน  จนมาถึงหูของหลานชายคนเดียวของยายทองซึ่งเป็นลูกของฟัก  เดี๋ยวนี้เด็กชายโตเป็นหนุ่มน้อยแล้ว  หลานคนนี้ยายทองมักจะเรียกว่า หำน้อย ซึ่งก็ไม่ใช่ชื่อของหลาน เพราะหลานชายชื่อกร  

เหตุที่เรียกหลานว่าหำน้อย เพราะแกรักมาก  (ตามที่ชาวอิสานเขาเรียกกัน)  และกรก็รักย่าเหมือนกัน   เมื่อได้ยินคนพูดในทางที่ไม่ดี  กรจึงมาหาย่า ทั้งที่ยายก็ห้าม  ยายบอกกรว่าน่ากลัวอย่าไปยุ่ง  แต่กรก็ไปเหมือนเดิม ยายทองเมื่อเห็นหลานมาหาก็ดีใจ  โอ้ยหำน้อยมาหาย่าแล้ว  มาลูกมา ย่ายิ่งคิดถึงอยู่   

กรจึงเล่าเรื่องที่คนพูดเรื่องย่าของเขาให้ฟัง  ยายทองเลยว่าปากคน  มันไม่มีอะไรพูด มันก็พูดไป มันเห็นว่าย่าไม่เคยไปต่อปากต่อคำกับใคร  มันก็สนุกพูด   ไม่มีเรื่องพูดมันก็ไปหาเรื่องมาพูดให้ย่าอยู่นั่นแหละ  เพราะเขาเกลียดพ่อเรานั่นแหละ  พ่อเรามันกินแต่เหล้า  กินแต่ยาอีก ชาวบ้านเขาเลยเกลียด  แล้วมันก็พาลมาหาย่าด้วย กรเชื่อที่ย่าเขาพูดทุกอย่าง  เพราะย่าดีกับกร  และรักกรมาก  ให้เงินกรเป็นประจำ   และกรก็รักย่าเขาเช่นเดียวกัน

พอเวลาผ่านไปอีกไม่นาน  ยายทองก็ยังเก็บตัวเงียบ  ไม่ไปสุงสิงกับใคร  แกก็จะอยู่แบบเงียบๆ  จนคนสงสัยว่ายายทองทำไมเก็บตัวเงียบจัง เมื่อชาวบ้านถามฟัก ฟักก็จะพูดแต่ว่า  ไม่รู้แกก็ทำอะไรของแกอยู่แต่ในบ้านนั่นแหละ  ส่วนตาพูลผู้เป็นพ่อป่วยด้วยโรคเบาหวานบ้าง  ความดันบ้าง ก็จะมีแต่นอน  

ชาวบ้านก็เลยว่า เบาหวานความดัน  มันมียากิน มันไม่ได้ร้ายแรงถึงกับต้องล้มหมอนนอนเสื่อนะ แกไปหาหมอรึเปล่าฟักก็ว่า ไปยาแกก็มีกินแต่แกก็มีแต่นอน  แต่ก็คงไม่เป็นอะไร  เพราะแม่แกก็คอยดูแลอยู่   ไม่ห่างเลย  

พอคลอยหลังฟัก  คนก็จะพูดกันไปมากมาย  เรื่องเป็นห่วงตาพูล ที่ไม่ค่อยสบาย  เพราะแค่เป็นเบาหวาน ทำไมต้องล้มหมอน นอนเสื่อ   พอเวลาผ่านมาอีกไม่นานหลังจากที่  ชาวบ้านพูดกันคุยกันเรื่องตาพูล   เช้าวันนึง  ผู้ใหญ่บ้านก็ได้ประกาศว่า  ตาพูลตายแล้ว  นอนเสียชีวิตเฉยๆด้วยโรคของแก ให้ชาวบ้านออกมาดูแลและช่วยกันคนละไม้ละมือ

ชาวบ้านเมื่อได้ยินข่าว  ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า  ยายทองแอบกินผัวตัวเอง  ต่างก็กลัวไม่อยากไปช่วยงาน  ส่วนมากจะมีแต่ผู้ชายเท่านั้นที่มาช่วย  ส่วนผู้หญิงก็จะมีแต่ ฝ้าย ยุ้ย  แล้วก็ญาติๆกันเท่านั้น

เมื่อเสร็จสิ้นงานศพตาพูล ลูกหลานและญาติพี่น้องก็กลับหมด มีแต่ความเงียบเหงา เพราะชาวบ้านไม่สุงสิงกับยายอยู่แล้ว ส่วนฟักก็ไปตามเรื่องตามราว บางครั้งเจอเพื่อนขี้ยาเหมือนกันก็ไปเตลิดแบบไม่กลับ  พอนึกอยากกลับก็กลับมาเอง 

เดี๋ยวนี้ยายทองซูบผอมเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก  หลังจากตาพูลตาย  แม้แต่ญาติก็ไม่สนใจยายทองเลย  ดูเหมือนทุกคนจะรังเกียจยายทองมากๆ  กรมาดูแลยายทองบ้างเป็นบางครั้ง  เพราะยายของกรห้ามกรไม่ให้มา  กรก็แอบหนียายมาหยายทองเรื่อย   เพราะกรสงสารผู้เป็นย่ามาก   

ยายทองล้มหมอนนอนเสื่อ  ป่วยกระเสาะกระแสะ  ร่างกายเหมือนมีแต่โครงกระดูก  แกจะพูดแต่ว่า  ย่าหิวจัง หำน้อยเอ้ย ทั้งเหนื่อย เจ็บปวดตามร่างกาย กรไปหาซื้อกับข้าวที่ย่าชอบมาให้กิน  แต่แกก็ไม่กิน  มีแต่บอกว่าเหนื่อย  เจ็บปวดตามร่างกาย  ไม่รู้เป็นอะไร เอาแต่นอนทั้งวัน

กรรอฟักผู้เป็นพ่อ ที่ไปเที่ยวกับเพื่อน แต่ก็ไม่กลับมาสักที   เพราะกลางคืนไม่มีคนนอนเฝ้าย่า เพราะตอนกลางวันก็แอบมาหาย่าได้  แต่พอกลางคืน ตาและยายห้ามไม่ให้มาเด็ดขาด  ฟักนั่งดูย่าแล้วก็รอผู้เป็นพ่อ   ยายทองจะครางฮือๆ แล้วก็ว่าทั้งเจ็บทั้งปวดไปทั่วตัว  

กรนั่งนิ่งคิด แล้วความคิดเด็กหนุ่มก็เตลิดนึกถึงสองสามวันก่อน  มีคนพูดว่าหมู่บ้านที่อยู่ห่างกันออกไป มีปอบเข้าคน  แล้วก็มีหมอดีมาปราบ หมอถามว่าชื่ออะไร  เป็นใครมาจากไหนแต่คนที่ว่าปอบเข้าก็ไม่ยอมพูด  หมอธรรมจึงเฆี่ยนร้องอยู่เป็นนาน  ปอบก็บอก ปล่อยเถอะจะไปเดี๋ยวนี้ แล้วก็ออกโดยไม่ยอมบอกชื่อ หรือว่าจะเป็นย่าเรา  เด็กหนุ่มแอบคิด

เรื่องยายทองล้มป่วย  ลือไปทั่วทั้งหมู่บ้านแต่ก็ไม่มีใครมาดู  ก็จะมีแต่ญาติที่อยู่ใกล้ๆ  ที่เดินมาดูบ้าง เวลาที่ฟักอยู่  ยายทองป่วยมานานลุกไปไหนไม่ได้  แต่ทำไมยายทองจึงไม่ยอมตายสักที   นี่คือคำถามที่ชาวบ้านว่ากันไปต่างๆนาๆ 

แต่ที่แน่ๆคือยายทองจะมอบของดีที่อยู่บนหิ้งพระให้กับกร แต่กรไม่เอา  เพราะยายเคยถามกรว่าย่าเคยพูดจะเอาอะไรให้มั้ย   กรเลยว่าเคยพูดว่าจะเอาของดีให้ แต่ย่ายังไม่ได้ให้  แล้วยายก็ห้ามกรไม่ให้เอาของที่ย่าจะให้เด็ดขาด   แล้วก็ห้ามไปหายายทอง  แต่กรขอร้องเพราะย่าไม่มีใคร  ยายจึงให้กรรับปากว่าจะไม่เอาอะไรจากยายทองเป็นเด็ดขาด  กรจึงตกลง ยายว่าถ้าเอามา ยายจะไม่ยอมอยู่กับหลานอีกต่อไป  ยายจะหนีไปอยู่กรุงเทพฯ  กับแม่ของกร  และยายก็บอกด้วยว่า  ของดีนั้นก็คือสิ่งที่ทำให้ยายทองเป็นปอบ

นานวันยายทองยิ่งทรุดหนัก  ยายทองบอกว่าเจ็บปวดตามเนื้อตามตัวมานานแล้ว  กรเด็กหนุ่มคิดว่าย่าต้องถูกเฆี่ยนตั้งแต่คราวนั้นแน่ๆ  ยายทองเรียกหาแต่หลาน  หำน้อยเอ้ย หำน้อย  อยู่ทั้งวัน  เมื่อได้สติยายทองก็ออดอ้อนหลานให้รับของดีบนหิ้งพระ  แต่กรก็ไม่ยอมเอา ไม่ว่ายายทองจะหว่านล้อมอย่างไรกรก็ไม่ยอม   ย่ามีเงินให้หำน้อยเยอะอยู่นะ  กรก็ว่าไม่เอาหรอกย่า  ไม่อยากได้   ไม่ว่ายายทองจะพูดอย่างไรกรก็ไม่ยอม   จนกรไม่ไปหายายทองหลายวัน   เพราะไปทีไรย่าก็พูดแต่เรื่องให้รับของอย่างเดียว

จนมาถึงวันนี้   กรได้ยินคนพูดกันว่า  ยายทองตายแล้ว  ตายเมื่อเช้านี่เอง   กรตกใจมาก  รีบวิ่งไปที่บ้านย่า ก็ได้เห็นชาวบ้านและผู้ใหญ่บ้านมาที่บ้านของย่า  เมื่อยายทองตายแล้ว ผู้ใหญ้บ้านก็ประกาศให้ชาวบ้านรับรู้ว่า ในหมู่บ้านได้มีคนเสียชีวิต คือยายทอง ขอให้ชาวบ้านออกมาช่วยกัน คนละไม้ละมือ

คนไปเยอะมาก  และก็แอบซุกซิบกันไปต่างๆนาๆ  กรร้องให้ที่ไม่ได้มาดูย่าตอนสิ้นใจ  ฟักดุด่ากร ว่ากรไม่สนใจย่า  กรก็ไม่พูดอะไร   ช่วยงานจนเสร็จ  แล้วก็บวชจูงย่าด้วย   พอเสร็จงานได้สามวัน  กรก็สึกออกมา 

หลังจากสึกได้สามวัน  กรก็ไปหาพ่อ  แล้วแอบไปดูของที่อยู่บนหิ้งพระย่า  แต่กรไม่เห็นอะไรมีแต่พระพุทธรูปองค์เดียวอยู่บนหิ้งพระ  กรเดินออกมาจากห้องมา  เห็นพ่อยืนมองอยู่  จึงถามผู้เป็นพ่อไปตรงๆว่า  

“พ่อของที่อยู่บนหิ้งพระหายไปไหน” 

“ทำไม  มึงอยากได้เหรอ”  

“ป่าว แค่ถามดู  ย่าบอกว่าของดี จะให้ผมรับเอา”  

“แล้วทำไมไม่เอา”  

“ผมกลัว”

“กลัวอะไร  แล้วตอนนี้มาถามทำไม” 

“ ก็ถามดู   ย่าเอาให้พ่อเหรอ” 

“เออ  ก็เอาให้มันแล้วๆจบๆกันไป”  

“มันคืออะไรพ่อ”  

“ ไม่รู้เว้ย

“แล้วพ่อเอาไปไว้ไหน ไม่เห็นอยู่บนหิ้งพระ”   

“เอามาไว้ทำไมบนหิ้งพระ”   

“อ้าวก็เห็นย่าเอาไว้ แล้วพ่อเอาไปไว้ไหน”   

“ป่าช้าเว้ย”  

“ทำไมเอาไปไว้ป่าช้าพ่อ”   

“อ้าวก็พ่อไม่เอานี่หว่า”  

“แล้วพ่อไปเอากับย่าทำไม”  

“ อ้าวก็บอกว่าเอาให้แล้วๆจบๆไง”   

“ได้ด้วยเหรอพ่อ”  

“ทำไมจะไม่ได้วะ ไม่สนใจเว้ย กูอยากทำอะไรกูก็ทำ ใครจะทำไม”  

กรได้แต่มองหน้าพ่อ  โดยมีคำถามในใจมากมายแต่ก็ไม่กล้าพูดออกมา ฟักใช้ชีวิตตามปกติ  ซึ่งชาวบ้านก็สงสัยว่าฟักจะเป็นคนรับของจากยายทองรึเปล่า เมื่อยายของกรถาม กรก็บอกยายตามที่ตัวเองรู้   แล้วทุกคนก็รู้เรื่องราวว่าฟักคือคนที่รับเอาของจากยายทอง  ทำให้หลายคนไม่อยากเสวนากับฟัก  บางคนก็พูดคุยด้วย แต่ก็คิดว่าฟักจะเป็นปอบหรือเปล่า 

ฟักไม่ได้มีเมียใหม่เพราะ ไม่มีใครสนฟัก  เพราะฟักหาเงินได้ก็เอามาลงขวด  แล้วก็เสพยา  พอเงินหมดก็หาใหม่ ได้เงินแล้วก็หยุดมากินมาเล่นมาเสพยา พอหมดก็ไปรับจ้างใหม่  เป็นอย่างนี้ตลอด   แต่ฟักก็ไม่เดือดร้อน   ไม่สนใจด้วย   

ฟักไปทำงานก่อสร้างกับพวกพ้องในตัวอำเภอได้สองเดือนแล้ว ทุกคนโล่งใจที่ฟักไม่อยู่บ้าน  ฟักทำงานได้หกเดือน  จนงานเสร็จ ก็กลับมาอยู่บ้านอีก  กินเล่นเที่ยวตามบ้านเหมือนเดิม ไม่มีใครอยากคุยกับฟัก  แต่ฟักไม่สน  แถมบางครั้งฟักจะหัวเราะ  อยางสนุกสนาน   แล้วก็พูดว่า  

“หมู่เจ้าย่านข่อยวะติ  ย่านข่อยเป็นปอบหลอยมาเข่าหมู่เจ้าบ้อ  โอ้ยอยากหัวเด้ ระวังดีๆเด้อหมู่เจ้า  ข่อยสิมาหลอยกินตับหมู่เจ้าจักมื่ออยู่ ระวัง ระวัง”  พูดแล้วก็หัวเราะอย่างสนุกสนาน  พร้อมๆกับเสียงด่าแบบไม่ยั้งของพวกชาวบ้าน  แต่ฟักก็ไม่สนใจในคำด่าของใคร  มีแต่หัวเราะแบบสะใจ  ในความกลัวของชาวบ้าน  มีแต่พูดล้อเลียนให้ชาวบ้านด่า

จนต่อมาก็ได้มีชาวบ้านไหลตาย  ทุกคนต่างสงสัยว่า  เธอเป็นอะไรตาย  ในเมื่อทุกวันก็ยังดีๆอยู่  ชาวบ้านเริ่มซุบซิบว่าตายเพราะ  ปอบฟักหรือเปล่า เมื่อต่างคนต่างพูด  และขยายความออกไป จากน้อยคนที่สงสัย  ก็กลายเป็นหลายคน  

ฟักก็ได้มาช่วยงานศพกับพวกเพื่อนบ้าน  ท่ามกลางสายตาที่สงสัยของคนในงาน จนถึงวันเผา ฟักไปช่วยงานทุกอย่าง  หลังจากเสร็จพิธีที่ป่าช้า  ทุกคนก็กลับ  ฟักก็ช่วยจนถึงตอนเย็น  ฟักบอกเพื่อนๆที่อยู่ในงานว่าเหนื่อย ขอไปบ้านก่อนนะเดียวจะกลับมา   แล้วฟักก็ขี่รถมอไซค์ออกมาจะข้ามถนนเพื่อกลับเข้าซอยบ้าน  

ทุกคนในงานได้ยินเสียง ดังตูมสนั่นหวั่นไหว พากันรีบวิ่งออกมาดูที่ถนน แล้วทุกคนก็ตกใจ  แทบช๊อค  เพราะคนที่โดนรถชนก็คือ ฟักนั่นเอง  ฟักข้ามถนนโดยคงไม่ได้มองรถ  หรืออย่างไรก็ไม่มีใครรู้  โดนรถชน และถูกลากไปถึงสิบเมตร   เมื่อคนที่ไปถึงก่อนประคองฟักขึ้นมา  ก็ได้บอกว่า ฟักตายแล้ว  

เมื่อตำรวจออกมาตรวจ จนเสร็จเรียบร้อย  งานศพของฟักก็ดำเนินต่อกันมา จากคนที่ตายก่อน  ที่ยังไม่แล้วเสร็จ  งานศพฟักก็ต่ออีก   กรเสียใจร้องให้  และก็บวชอีกเป็นครั้งที่สอง  เพื่อจูงพ่อและก็อยู่ถึงสามพรรษา  กรจึงได้สึกออกมา

บางคนก็บอกว่าโล่งใจที่ฟักตาย แต่บางคนก็บอกว่าสงสาร  ต่อไปคงไม่มีใครมาพูดให้ด่าอีกแล้ว  คำว่าปอบจึงเงียบไป และก็ ไม่มีใครได้ยินว่า ปอบเข้าคนอีก  ปอบยายทอง จึงได้เงียบไปจนถึงทุกวันนี้ แล้วทุกท่านหละคะคิดว่า ยายทองเป็นปอบหรือเปล่า …

Cr. คุณ หมู’ม หัน’น

Previous articleบ้านพักนายทหาร
Next articleผู้โดยสารข้างทาง ขับรถกลางคืนหากคุณเจอใครยืนโบกมือเรียกอยู่ข้างทาง อย่าจอดรับพวกเขาเหล่านั้นเด็ดขาด